Monday, December 31, 2012

๒๕๕๖ ปีมหามงคล พระชันษาครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

๒๕๕๖ ปีมหามงคล พระชันษาครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนาพุทธศักราช 2556 ปีที่หน้าประวัติศาสตร์ของวงการคณะสงฆ์ไทยต้องบันทึกถึงความสำคัญอีกครั้งเพราะเป็นปีที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย จะทรงมีพระชันษาครบ 100 ปี หรือ 1 ศตวรรษนับเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่เจริญพระชันษายิ่งยืนนานกว่าสมเด็จพระสังฆราชในอดีตที่ผ่านมาทั้งยังทรงดำรงตำแหน่งต่างๆทางคณะสงฆ์ยาวนานกว่าพระสงฆ์รูปอื่นๆ คือ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 23 ปี ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต 24 ปี ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร 51 ปีย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2469 จากสามเณรที่บวชแก้บน ณ วัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี และได้เข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม และบวชเป็นพระสงฆ์ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2476 พระองค์ทรงปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดและครบถ้วน จนกระทั่งได้รับพระ ราชทานสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลำดับที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2532สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงสร้างประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทยไว้อย่างมากมายในด้านการพระศาสนา ช่วงที่พระองค์ยังไม่ได้มีพระอาการประชวร จะทรงประทานพระโอวาทสั่งสอนพระภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่อยู่ในฐานะพระอุปัชฌาย์อยู่เสมอ ทั้งยังทรงสอนกรรมฐานแก่พุทธศาสนิกชนเป็นประจำทุกวันพระ และหลังวันพระเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังทรงเสด็จไปปฏิบัติศาสนกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และเยี่ยมพระสงฆ์ในพื้นที่ต่างๆอยู่เสมอ เพื่อจะได้ทรงทราบปัญหาของคณะสงฆ์ ทั้งยังทรงสร้างโรงพยาบาลถวายเป็นพระอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 18 พระองค์ขึ้นในภูมิภาคต่างๆส่วนด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่มกิจการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ ทรงส่งพระธรรมทูตไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย ทั้งยังเสด็จไปให้การบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรในอินโดนีเซีย ทำให้เกิดคณะสงฆ์เถรวาทและวัดทางพระพุทธศาสนาเถรวาทขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเป็นครั้งแรกทรงส่งพระธรรมทูตไปยังออสเตรเลียทำให้เกิดวัดเถรวาทคือ วัดพุทธรังษี ขึ้นในทวีปนี้เป็นแห่งแรก ด้านงานพระนิพนธ์ ทรงพระนิพนธ์หนังสือต่างๆ จำนวนมาก และทรงแปลถึง 5 ภาษา คือ ไทย จีน อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศสขณะที่ด้านการศึกษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นผู้ดำริให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยทรงเป็นอาจารย์รุ่นแรกของมหาวิทยาลัยด้วยคุณูปการที่ทรงสร้างไว้ให้กับพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ ที่ประชุมสุดยอดพุทธศาสนิกแห่งโลก ที่มีสุดยอดผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2555 ได้มีมติทูลถวายตำแหน่งพระเกียรติยศอันสูงสุด “ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา” แด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แห่งราชอาณาจักรไทยพระอนิลมาน ธมฺมสากิโย ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช บอกว่า ใบประกาศถวายตำแหน่งดังกล่าว ระบุว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้ทรงได้รับการเคารพอย่างสูงสุดและได้รับการไว้วางใจอย่างสุดซึ้งจากพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาว่า ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แห่งดินแดนแห่งรอยยิ้ม ทรงเป็นผู้สอนพระ ธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุกคนปฏิบัติธรรมตั้งอยู่ในพระปัญญาธรรมและพระกรุณาธรรม ทั้งทรงเป็นผู้นำราชอาณาจักรไทยไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง นับว่าเป็นแบบอย่างของสากลโลก และทรงมีพระบารมีปกแผ่ไพศาลไปทั่วราชอาณาจักรไทยและประเทศพุทธศาสนาทั่วโลก พระศรัทธาที่เปี่ยมพระทัยในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระองค์ได้รับการแซ่ซ้องและเทิดทูนจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ด้วยความซาบซึ้งในพระกรณียกิจทั้งปวงในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในนามของพุทธศาสนิกชน 370 ล้านคนทั่วโลก พร้อมสุดยอดผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศ ขอทูลเกล้าถวายพระเกียรติยศอันสูงสุดนี้ ด้วยความปีติโสมนัสยิ่ง“สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นที่ยอมรับของคณะสงฆ์ทุกนิกาย  พร้อมทั้ง เป็นที่เทิดทูนของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก แม้แต่องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ยังนับถือ และเรียกพระองค์ว่า เป็นพี่ชายคนโตของฉัน” พระอนิลมาน  กล่าวถึงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงได้รับความนับถือจากคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนจากทั่วโลกอย่างแท้จริงและเนื่องในวโรกาสที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะทรงมีพระชันษาครบ 100 ปี ในวันที่ 3 ต.ค.2556 นี้ รัฐบาล มหาเถรสมาคม (มส.) สำนังานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร และมูลนิธิหอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญจึงจัดกิจกรรมเนื่องในวโรกาสสำคัญดังกล่าวโดยให้เริ่มจัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.2555 จนถึงวันที่ 3 ต.ค.2556 โดยแบ่งการจัดกิจกรรมออกเป็นส่วนต่างๆดังนี้วัดบวรนิเวศวิหาร จัดแสดงนิทรรศการ จัดพระราชพิธี และบำเพ็ญพระกุศล รวมทั้งจัดทำเอกสารเผยแพร่พระประวัติ พระศาสนกิจ โดยจะเน้นการจัดกิจกรรม 2 ช่วง คือ วันที่ 21 เม.ย. 2556 ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับวันสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และช่วงวันที่ 3 ต.ค. 2556 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระองค์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดแสดงนิทรรศการในสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งจัดทำบุญตักบาตรในวันที่ 3 ต.ค. 2556 และจัดปฏิบัติธรรมในวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม และวัดไทยในต่างประเทศมูลนิธิหอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญ จัดกิจกรรมวันที่ 21 เม.ย. 2556 โดยจะมีการจัดประมวลงานทางธรรม เพื่อคัดสรรผลงานทางธรรมของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ออกมาเผยแพร่สู่สาธารณะ ภายในงานเทศกาล “ญาณสังวร”ขณะที่ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะจัดตั้ง ห้องสมุดพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย โดยจะเป็นห้องสมุดแห่งแรกที่จะรวบรวมมรดกทางธรรมของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไว้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นลายพระหัตถ์ หนังสือพระนิพนธ์ หนังสือวิชาการส่วนพระองค์ พระสุรเสียงที่พระองค์ทรงเทศน์ในงานต่างๆ รวมไปถึงพระรูปที่หาชมได้ยาก โดยเริ่มดำเนินการรวบรวมข้อมูลต่างๆตั้งแต่เดือนต.ค.2555 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.2556 นอกจากนี้ ยังมีโครงการจัดสร้างโบสถ์ดิน เพื่อเป็นต้นแบบแห่งความพอเพียงให้กับวัดต่างๆ โดยจะสร้างโบสถ์ดินเป็นต้นแบบ 9 แห่ง ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศเนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลนี้ ทีมข่าวศาสนา ในนามพุทธศาสนิกชนชาวไทยขอน้อมถวายพระพรสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขสงฆ์ที่มีพระชันษายืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยทีฆายุโก โหตุ มหาสังฆราชา. ทีมข่าวศาสนา

ในหลวงเสด็จออกพระที่นั่งอนันตฯสุดยอดข่าวแห่งปี 55

ในหลวงเสด็จออกพระที่นั่งอนันตฯสุดยอดข่าวแห่งปี 55
เอแบคโพล เผย ข่าว ในหลวง เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม สุดยอดข่าวทอล์คออฟเดอะทาวน์ ปี 55 ส่วนข่าวการเมืองในรอบปีไม่มีความสร้างสรรค์ สุดยอดพิธีกรข่าวยังเป็นของ สรยุทธ ถ้อยคำภาษาข่าวต้องยกให้ เออีซี และความรักสามัคคีของคนในชาติ...ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สุดยอดข่าวทอล์คออฟเดอะทาวน์ของสื่อสร้างสรรค์แห่งปี 2555 พบว่า สุดยอดของ “ข่าวการเมือง” ที่สร้างสรรค์แห่งปี พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 51.4 ระบุไม่มีข่าวการเมืองที่สร้างสรรค์เลยในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 19.1 ระบุเป็นข่าว นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ นายกฯ อภิสิทธิ์ ประกาศจุดยืนร่วมกันต่อต้านคอรัปชัน ร้อยละ 10.5 ระบุนายกฯ ยิ่งลักษณ์ พบคารวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ร้อยละ 9.4 ระบุข่าวฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันคิดแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร้อยละ 7.2 ระบุข่าวการเตะฟุตบอลกระชับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสื่อมวลชน ตามลำดับ ผลการจัด 5 อันดับสุดยอดของข่าวเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์แห่งปี 2555 พบว่า ร้อยละ 36.2 ระบุการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ร้อยละ 17.9 ระบุนโยบายรัฐบาล 300 บาทต่อวันและเงินเดือน 15,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 14.7 ระบุ ผู้นำสหรัฐฯ และจีนเยือนไทย ขยายการลงทุน และเศรษฐกิจโลกผ่านจุดวิกฤติแล้ว ร้อยละ 13.3 ระบุ อัตราการขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และร้อยละ 8.1 ระบุนโยบายโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล ตามลำดับ ในขณะที่ร้อยละ 9.8 ระบุไม่มีข่าวเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์เลยในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมาส่วนสุดยอดของข่าวสังคมที่สร้างสรรค์แห่งปี 2555 พบว่า อันดับที่หนึ่งหรือร้อยละ 65.1 ได้แก่ การนำเสนอข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม อันดับสองได้แก่ Taxi พลเมืองดีเก็บเงินคืนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ข่าวขอทานบริจาคเงินให้วัด และคนไทยน้ำใจดีอื่นๆ ได้ร้อยละ 15.4 อันดับที่สาม ได้แก่ ข่าวรัฐบาลเปิด “บ้านอุ่นใจ” แก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม ได้ร้อยละ 7.3 อันดับที่สี่ได้แก่ ข่าวช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ได้ร้อยละ 5.5 และอันดับที่ห้า ได้แก่ ข่าวจับกุมปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ได้ร้อยละ 4.8 ในขณะที่ร้อยละ 1.9 ระบุไม่มีข่าวสังคมที่สร้างสรรค์เลยในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมานอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงสุดยอดของ “พิธีกรรายการข่าว” ที่สร้างสรรค์ปี 2555 ที่ผ่านมา พบว่า อันดับที่หนึ่งหรือร้อยละ 63.8 ได้แก่ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อันดับสองได้แก่ นายกิตติ สิงหาปัด ได้ร้อยละ 11.2 อันดับที่สามได้แก่ นายธนิวัฒน์ พัฒนวีรคุณ ได้ร้อยละ 6.9 อันดับที่สี่ได้แก่ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ได้ร้อยละ 4.5 และนายธีระ ธัญญไพบูลย์ ได้ร้อยละ 4.0 ในขณะที่ร้อยละ 9.6 ระบุอื่นๆ อาทิ จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ เขมสรณ์ หนูขาว มีสุข แจ้งมีสุข พิสิทธิ์ กิรติการกุล พิษณุ นิลกลัด ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ชุติมา พึ่งความสุข เป็นต้นเมื่อสอบถามถึงสุดยอดของถ้อยคำในภาษาข่าว ที่สร้างสรรค์แห่งปี 2555 ที่ผ่านมา พบว่าอันดับหนึ่ง ได้แก่ คำว่า “เออีซี (AEC) หรืออาเซียน” เพราะสร้างความสนใจ ตื่นตัวในหมู่ประชาชน ได้ร้อยละ 54.7 อันดับที่สอง ได้แก่ ถ้อยคำว่า “ความรักความสามัคคีของคนในชาติ” เพราะช่วยลดความขัดแย้ง แตกแยกของคนในชาติ ได้ร้อยละ 23.8 อันดับสาม ได้แก่ “ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ” เพราะเป็นทางออกปัญหาวิกฤติการเมือง ลดปัญหาขัดแย้ง และเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย อันดับสี่ ได้แก่ “กฎหมายปรองดอง” เพราะช่วยลดปัญหาความแตกแยก ลดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ได้ร้อยละ 6.2 และร้อยละ 7.8 ระบุอื่นๆ เช่น ประมูล 3จี/ต่อต้านคอรัปชัน/ความสุข และเมาไม่ขับ เป็นต้น.

พรปีใหม่คนไทยขอให้ ในหลวง ทรงแข็งแรง การเมืองเลิกทะเลาะ

พรปีใหม่คนไทยขอให้ ในหลวง ทรงแข็งแรง การเมืองเลิกทะเลาะ
“สวนดุสิตโพล” เผยพรปีใหม่ของคนไทยส่วนใหญ่ ขอให้ ในหลวง ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง ส่วนความคาดหวังต่อนักการเมืองอยากให้เลิกทะเลาะเบาะแว้ง หวังให้ นายกฯ ปู เป็นผู้นำที่ดี ตั้งใจทำงาน และ มาร์ค ให้ความร่วมมือรัฐบาลพัฒนาชาติ ปรามรัฐอย่าเห็นแก่พวกพ้อง...เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2556 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อความคาดหวังในปี 2556 พบว่า พรปีใหม่ที่คนไทยอยากขอให้กับประเทศไทย อันดับ 1 ขอให้ในหลวงทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป 51.96% อันดับ 2 ขอให้คนไทยรักใคร่ สามัคคี ไม่ทะเลาะกัน ไม่แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย 26.18% อันดับ 3 ขอให้บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่ดีกินดี เศรษฐกิจรุ่งเรือง 21.86%ส่วนความคาดหวังต่อนักการเมืองไทย อันดับ 1 เลิกทะเลาะเบาะแว้ง ไม่แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย 60.14% อันดับ 2 เลิกทุจริตคอรัปชัน ไม่นึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง มุ่งทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน 25.56% อันดับ 3 ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการเมืองไทย ประชาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา สามารถพึ่งพาได้ 14.30% ขณะที่ความคาดหวังต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อันดับ 1 เป็นผู้นำที่ดี ตั้งใจทำงาน ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ ทำเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง 49.24% อันดับ 2 นำพาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า แก้ปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 28.41% อันดับ 3 สร้างความสามัคคีปรองดอง /เปลี่ยนการเมืองไทยให้เป็นการเมืองที่ขาวสะอาด 22.35% และความคาดหวังต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้หมดไป 42.21% อันดับ 2 การทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องยุติธรรม 41.33% อันดับ 3 เป็นตัวหลักสำคัญในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นทางการเมือง 16.46%นอกจากนี้ในส่วนความคาดหวังต่อรัฐบาล อันดับ 1 มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานอย่างเต็มที่ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือเห็นแก่พวกพ้อง 40.58% อันดับ 2 บริหารบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โกงกิน ยึดหลักคุณธรรมจริยธรรม 37.72% อันดับ 3 นโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรงควรทำให้สำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจน 21.70% และความคาดหวังต่อฝ่ายค้าน อันดับ 1 ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน นำความรู้ความสามารถที่มีมาใช้พัฒนาบ้านเมืองอย่างเต็มที่ เห็นแก่ส่วนรวม 41.27% อันดับ 2 ทำหน้าที่ของฝ่ายค้านที่ดี ไม่เล่นเกมการเมือง ไม่ค้านทุกเรื่อง 36.55% อันดับ 3 เป็นแบบอย่างของนักการเมืองที่ดี ช่วยกันพัฒนาการเมืองไทยให้ดีขึ้น 22.18%

Sunday, December 30, 2012

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง
เอแบคโพล เผย ความสุขมวลรวมของคนไทยยังคงเพิ่มสูงต่อเนื่อง เดือน ธ.ค. อยู่ที่ 7.61 จากเต็ม 10 เพราะความเป็นหนึ่งเดียวในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ส่วนในปี 56 อยากให้นักการเมืองสร้างความปรองดอง และสิ่งที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นคือความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์...เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2555 น.ส.ปุณฑรีก์  อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลศึกษาวิจัย เรื่อง ความสุขประเทศไทยประจำปี 2555 กับ จุดแข็ง โอกาส แรงบันดาลใจ และผลลัพธ์ของประเทศไทยที่คนไทยต้องการในปี 2556 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จาก 7.40 ในเดือน ต.ค. มาอยู่ที่ 7.53 ในเดือน พ.ย. และมาอยู่ที่ 7.61 ในเดือน ธ.ค. โดยดัชนีความสุขที่มีค่าสูงสุดยังคงอยู่ จากการได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คืออยู่ที่ 9.54 รองลงมาคือบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 7.80 สุขภาพใจอยู่ที่ 7.63 สุขภาพกายอยู่ที่ 7.40 หน้าที่การงาน การประกอบอาชีพที่ทำอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 7.22 วัฒนธรรมประเพณีไทยอยู่ที่ 7.17 และภาพลักษณ์ของประเทศไทย คนไทยในสายตาต่างชาติ   อยู่ที่ 7.13 ตามลำดับส่วนองค์กรและคณะบุคคลที่ประชาชนเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างความปรองดองของคนในชาติในปี 2556 ที่จะมาถึงนี้ พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 35.2 ได้แก่ นักการเมือง รองลงมาคือ ร้อยละ 27.5 ได้แก่ สื่อมวลชน อันดับสามหรือร้อยละ 13.2 ได้แก่ กลุ่มนายทุน และการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รองลงไปคือ กองทัพ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ องค์กรอิสระ เช่น สถาบันศาล กรรมการสิทธิฯ และอื่นๆ เช่น วุฒิสมาชิก เป็นต้นเมื่อถามถึง “โอกาส” ของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรก หรือร้อยละ 45.9 ระบุเป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก รองลงมาร้อยละ 26.7 ระบุมีการค้าการลงทุนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 11.4 ระบุเป็นประเทศที่เจริญเติบโตด้วยเทคโนโลยี ร้อยละ 10.9 ระบุคนในชาติมั่งมี ร่ำรวย เป็นสุขและคุณธรรมมั่นคงในจิตใจของประชาชน และสุดท้ายคือร้อยละ 5.1 ระบุเป็นศูนย์รวมหรือฮับด้านสุขภาพและความสวยความงามของผู้คน ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อถามถึงจุดแข็งของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 36.7 ระบุเป็นประชาธิปไตย รองลงมาคือ ร้อยละ 23.3 เป็นประเทศเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ รองๆ ลงไปคือ ทำเลดีเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน มีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นเมืองแห่งโอกาส ตามลำดับสำหรับแรงบันดาลใจของคนไทยที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 48.9 ระบุความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รองลงมาร้อยละ 16.8 ระบุความเสียสละ ความกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน และรองลงไปคือ การให้อภัย มีความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความขยันหมั่นเพียร มีวินัย จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่คนไทยต้องการในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 38.1 ระบุความสงบสุข ร่มเย็น ความเป็นเอกภาพปรองดองของคนในชาติ รองลงมาคือร้อยละ 24.3 ระบุ ร่ำรวย มีกิน มีใช้ และรองๆ ลงไปคือ คุณธรรมและหลักศาสนา ความมั่นคงในจิตใจของผู้คน สุขภาพใจร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และเป็นที่ยอมรับชื่นชอบของนานาประเทศทั่วโลก ตามลำดับ พร้อมย้ำว่า ผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศชาติสงบสุขร่มเย็นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักให้อภัย และเกิดความปรองดองของคนในชาติขึ้นอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้จบปริญญาหรือการศึกษาสูงมากนัก และมีรายได้น้อยแต่คิดได้ และคิดเป็น มีวุฒิภาวะทางปัญญา โดยเล็งเห็นว่า ประเทศชาติและประชาชนจะอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์ ถ้านักการเมืองทำบทบาทที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตยโดยการลดความขัดแย้ง ในหมู่ประชาชนไม่ใช่ตัวสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน.

อธิบดีกรมป่าไม้ พูดเป็นนัยส่อย้ายเริงชัยเป็นผู้ตรวจฯซี10

อธิบดีกรมป่าไม้ พูดเป็นนัยส่อย้ายเริงชัยเป็นผู้ตรวจฯซี10
อธิบดีกรมป่าไม้ พูดเป็นนัย เริงชัย ประยูรเวศ อาจมีแววไปต่อ เพราะตำแหน่งผู้ตรวจราชการ กระทรวงทรัพย์ฯ ระดับ10 ยังว่างรอแต่งตั้ง ยัน ไม่ใช่คนจัดโผตามที่เป็นข่าว ระบุกับ เริงชัย- มโนพัศ เป็นเหมือนพี่น้อง ส่วน ดำรงค์ พิเดช เหมือนพ่อ... เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2555 นายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีนายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การโยกย้ายข้าราชการระดับ 9 ของกระทรวงทรัพยากรฯ จำนวน 3 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการย้ายนายเริงชัย ประยูรเวศ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ ไปเป็นรองอธิบดีกรมป่าไม้ ถือเป็นการลดเกรด เนื่องจากนายเริงชัยเคยเป็นอธิบดีกรมป่าไม้มาก่อน ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่จะเป็นผู้พิจารณาโยก ย้ายข้าราชการเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากอำนาจคำสั่งของตน ตนไม่ได้เป็นผู้พิจารณาโยกย้าย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวมองว่าการโยกย้ายข้าราชการในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกับการทำงานของข้าราชการ คนอื่นๆ ในกรมอุทยานฯ เพราะการเป็นข้าราชการอยู่ที่ไหนก็ต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ส่วนกรณีที่นายดำรงค์กล่าวว่าการย้ายข้าราชการระดับ 9 ได้แก่ นายวิทยา หงส์เวียงจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักอุทยานฯกับนายไพศาล สถิตวิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่า ไปเป็นผู้ตรวจราชการกรมอุทยานฯไม่ถูกต้อง เพราะการย้ายในตำแหน่งดังกล่าวจะต้องมีความผิดร้ายแรง และมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาความผิด จึงจะสามารถย้ายได้นั้น ตนไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของตน ด้าน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงศ์ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวถึงเรื่องที่เป็นข่าวว่า เป็นหนึ่งในทีมงานจัดโผการโยกย้ายข้าราชการในกรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกับ นายนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรี กระทรวงทรัพย์ฯ ว่า ไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยเข้าไปยุ่งกับการบริหารจัดการงานของกรมอื่นๆ และเรื่องการย้ายข้าราชการระดับ 9 นั้น เป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ไม่เกี่ยวกับอธิบดีเลย มีคนมาถามผมเหมือนกันเรื่องนี้ จึงขอชี้แจงเลยว่าไม่เกี่ยวกับผม ถามแบบนี้เหมือนกับการดูถูกปลัดว่าเป็นตรายาง ซึ่งความเป็นจริงแล้ว นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอนเชื่อว่า การดำเนินการเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลบางอย่าง ตามความเหมาะสม ซึ่งตอนนี้ ตำแหน่งระดับ 10 คือ ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรฯ ยังว่างอยู่อีก 1 ตำแหน่ง ยังไม่รู้ว่าจะมีการโยกใครไปนั่งตรงนั้น มีผู้อาวุโสภายในกระทรวงทรัพยากรฯ ถึง 3 คน ที่จะต้องถูกโยกให้ไปอยู่ตรงนั้น อาจจะเป็นรองคนใดคนหนึ่ง ในกรมป่าไม้ รวมไปถึง รองเริงชัยด้วยก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้หลังปีใหม่ อาจจะทราบ แต่อย่าถามผม เพราะผมไม่รู้ ต้องไปถามท่านปลัดฯเอง อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวนายบุญชอบ กล่าวอีกว่า สำหรับนายเริงชัยกับตนนั้น ส่วนตัวแล้ว รู้จักและทำงานร่วมกันมากว่า 20 ปี มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน ตนนับถือนายเริงชัยเหมือนพี่คนหนึ่ง เช่นเดียวกับนายมโนพัศ และนายดำรงค์ ซึ่งนายดำรงค์นั้น ตนคิดว่าเป็นเหมือนพ่อคนหนึ่งด้วยซ้ำ เพราะทำงานถวายสมเด็จย่า มาตั้งแต่อยู่ดอยตุง แต่ในเรื่องหน้าที่การงานนั้น ก็ต้องปฏิบัติกันไปตามภาระที่ได้รับมอบหมาย อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวด้วยว่า เพิ่งเห็นคำสั่งเมื่อตอนเย็นวันศุกร์ (29 ธ.ค.) เบื้องต้นก็ดีใจ ที่ได้ทำงานกับท่านรองเริงชัย วันหน้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก ตามหน้าที่แล้ว ผมจะมอบหมายให้ท่านรองเริงชัย ทำงานในตำแหน่งของท่านรองวิฑูรย์ ชลายนนาวิน คือ ทำงานด้านการป้องกันและปราบปราม โดยส่วนตัวเชื่อว่าท่านจะทำหน้าที่นี้ได้ดี อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาเป็นวันหยุด ผมยังไม่ได้คุยกับท่านรองเริงชัยเลย คิดว่า ในวันที่ 4 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันที่ท่านรัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากรฯ นายปรีชา นัดอธิบดีทุกกรม ไปร่วมกันทำบุญที่กระทรวง น่าจะได้คุยกัน.

โอกาสเด็กไทยที่สูญเปล่า

โอกาสเด็กไทยที่สูญเปล่า
เหลียวหลัง 1 ปีการศึกษาชาติยุคปฏิรูปฯ ทศวรรษที่ 2 รับประชาคมอาเซียนการศึกษา คือรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศแต่ยิ่งนับวันรากฐานที่ว่าเหมือนจะยิ่งส่อเค้ารางถึงความง่อนแง่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังถูกสังคมมองว่าให้ความสำคัญกับการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศเพียงแค่ “ลมปาก”เพราะขณะที่นโยบายด้านการศึกษาต้องการความต่อเนื่อง แต่น่าเสียดายที่ระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี ของการบริหารงานรัฐบาลนายกฯปู กระทรวงศึกษาธิการกลับเป็นกระทรวงที่ใช้รัฐมนตรีเปลืองที่สุดถึง 3 คนวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุลคนแรกคือ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงคุณครู ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.2554 -18 ม.ค.2555 และถูกปรับไปนั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยส่ง นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เข้ามารับช่วง รมว.ศึกษาธิการ แทน แต่อยู่ในตำแหน่งนี้ได้แค่ 9 เดือน ในวันที่ 28 ต.ค. 2555 ก็ถูกปรับออก และส่ง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เข้ามากุมบังเหียนในตำแหน่ง เจ้ากระทรวงศึกษาธิการ จนถึงวันนี้เมื่อเหลียวหลังไปดูตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา “ทีมการศึกษา” ขอฟันธงว่า การเดินเครื่องงานการศึกษาชาติแทบจะเรียกได้ว่า “ย่ำอยู่กับที่” โดยเฉพาะเรื่องของ “การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2” ซึ่งถือเป็น “วาระสำคัญของชาติ” ที่มีการตีกรอบเงื่อนเวลาให้ใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ต้องเร่งดำเนินการปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552-2561ทั้งๆที่มี คณะกรรมการกำหนดนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 หรือที่เรียกกันว่า กนป. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และยังมี คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 มี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน แต่นับตั้งแต่ รัฐบาลปู 1 จนถึง รัฐบาลปู 3 การปฏิรูปการศึกษาไทยเหมือนถูก “ใส่เกียร์ว่าง” ยังไม่มีการขับเคลื่อนแม้แต่น้อยขณะเดียวกัน กลับมีแต่นโยบายประชานิยมผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด อาทิ โครงการ One table PC per Child หรือการแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้น ป.1 โดยไม่สะทกสะท้านกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่า แต่เมื่อประกาศเป็น “สัญญาประชาคม” ไปแล้วก็ต้องทำ และในที่สุดก็เปิดไฟเขียวขยายการแจกแท็บเล็ตเพิ่มให้กับนักเรียนชั้น ม.1 ในปีการศึกษา 2556ตามมาด้วย กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ดึงเข้าไปมีเอี่ยวด้วยคำบัญชาให้ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ กศน. ที่มีหน่วยงานกระจายอยู่ทุกพื้นที่ รับผิดชอบรับลงทะเบียนสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่ง กศน.ก็ “จัดให้” ด้วยการเปิด กศน.ตำบลทุกแห่งเป็นหน่วยรับลงทะเบียน จนยอดสมาชิกพุ่งขึ้นทันตาเห็นการเปิดตัว โครงการกองทุนตั้งตัวได้ ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการสร้างผู้ประกอบการรายย่อย เตรียมขึ้นแท่นเป็น “เถ้าแก่น้อย” โดยให้นักศึกษาหรือบัณฑิตใหม่ใช้เป็นแหล่งกู้ยืมเงินเพื่อเป็นต้นทุนในการสร้างอาชีพ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเชิญนายกรัฐมนตรีมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2555และล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2555 ก่อนปิดศักราชปีงูใหญ่ มีการเปิดตัว โครงการยกระดับการศึกษาประชาชน จบ ม. 6 ใน 8 เดือนอย่างมีคุณภาพ เพื่อยกระดับการศึกษา “คนรากหญ้า” ให้เรียนจบ ม.6 ใน 8 เดือนโดยมีมติคณะรัฐมนตรีผ่าน ร่างกฎกระทรวง ว่าด้วยการแบ่งระดับและเทียบระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนที่ยังไม่จบ ม.6 นำความรู้และประสบการณ์มาประเมินเทียบระดับการศึกษาเพื่อให้จบ ม.6 ได้แบบ “ก้าวกระโดด” โดยไม่ต้องเทียบการศึกษาทีละระดับตามรูปแบบเดิมสุชาติ ธาดาธำรงเวชยิ่งเมื่อย้อนไปดูการทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะในระยะที่ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รับช่วงเข้ามากุมบังเหียนตั้งแต่เมื่อต้นปี สิ่งที่สะท้อนให้เห็นคือ การเดินสายกดปุ่มเปิดงานอีเวนต์ และทัวร์ต่างประเทศ แต่กลับไร้ซึ่งสัญญาณในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2ภารกิจที่เป็นหน้าที่หลักของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากจะสร้าง “คนเก่ง” ให้เปี่ยมไปด้วยความรู้ ด้วยการจัดการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพแล้ว ยังต้องสร้าง “คนดี” ด้วยการปลูกฝังให้เด็กไทย ซึ่งถือเป็นอนาคตสำคัญของชาติ เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์ สุจริต ด้วย แต่น่าเสียดายที่ผู้หลัก ผู้ใหญ่ ในระดับบริหารของกระทรวงศึกษาธิการบางคนที่ควรจะเป็น “ต้นแบบ” ของจริยธรรม กลับมีข่าวที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใส่ออกมาสู่สาธารณะเป็นระยะๆ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์ในโครงการปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2 หรือเอสพี 2 และที่น่าเศร้าใจยิ่งไปกว่านั้นคือ การที่เจ้ากระทรวงศึกษาธิการกลับแสดงท่าที “สวนทาง” กับการเดินหน้านำตัวคนกระทำผิดมาลงโทษที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ เป็นครั้งแรกในแวดวงสื่อการศึกษา ที่เจ้ากระทรวงถูกสื่อมวลชนสายการศึกษาเข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้พิจารณาพฤติกรรมและการทำงาน จนในที่สุดก็มีการปรับออกจากคณะรัฐมนตรีพงศ์เทพ เทพกาญจนาและแล้วความหวังของการศึกษาชาติเหมือนจะเริ่มจุดประกายขึ้นอีกครั้ง เมื่อ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ถูกส่งมาคุมบังเหียน เจ้ากระทรวงศึกษาธิการ ด้วยความที่เป็นนักกฎหมาย เคยเป็นถึงอดีตผู้พิพากษา และคลุกคลีในแวดวงการศึกษาชาติมาแล้ว จากการเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์แต่การที่ นายพงศ์เทพ นั่งควบรองนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งตำแหน่ง จึงทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า การจะหันมาทุ่มเทงานการศึกษาชาติแบบเต็มตัวคงเป็นเรื่องที่ลำบากและก็ต้องยอมรับว่า การเดินเครื่องงานการศึกษาชาติ ณ วันนี้ ไม่ใช่เรื่องหมูๆเสียแล้ว เพราะทันทีที่รับตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ นายพงศ์เทพ ก็ถูกรับน้องด้วย ผลการวิจัยการจัดอันดับความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษ ในกลุ่มประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ จำนวน 54 ประเทศ ของ บริษัทเอดูเคชั่น เฟิร์สต์ ที่ระบุว่า ไทยรั้งอันดับ 53 ซึ่งเป็นตำแหน่ง “รองบ๊วย” ประเทศที่มีความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษต่ำที่สุดตอกย้ำอีกระลอกด้วยผลการจัดอันดับประเทศที่มีการพัฒนาทางการศึกษา จัดทำโดย หน่วยข่าวกรองเศรษฐศาสตร์ หรือ อีไอยู ของ เพียร์สัน บริษัทด้านการศึกษาและธุรกิจสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ สัญชาติอังกฤษ ที่ออกมาเผยข้อมูลเมื่อเดือน พ.ย.2555 ระบุว่า ประเทศไทยรั้งอันดับที่ 37 จากการจัดอันดับทั้งหมด 40 ประเทศ ในขณะที่ฟินแลนด์ครองอันดับ 1 เกาหลีใต้ รั้งอันดับ 2 ตามติดมาด้วย ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์และปิดฉากปีงูใหญ่แบบหนักหนาสาหัส ชนิดอึ้ง! กันไปทั้งวงการศึกษา ด้วย ผลวิจัยการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ พ.ศ. 2554 หรือ TIMSS 2011 จัดโดย The International Association for the Evaluation of Educational Achievement หรือ IEA ที่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท. ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2555ผลวิจัย Timss ระบุว่า ในระดับชั้นประถมศึกษาซึ่งเป็นการประเมินเด็ก ป.4 พบว่า วิชาคณิตศาสตร์ของเด็กไทยอยู่ในอันดับที่ 34 จาก 52 ประเทศที่ร่วมประเมิน ถูกจัดอันดับอยู่ใน “กลุ่มแย่” ส่วนวิทยาศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 29 ถูกจัดอยู่ใน “กลุ่มพอใช้”ขณะที่ระดับมัธยมศึกษา ซึ่งประเมินเด็ก ม.2 พบว่า วิทยาศาสตร์จัดอยู่ในอันดับที่ 25 และคณิตศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 28 จาก 45 ประเทศ ถูกจัดอันดับให้อยู่ใน “กลุ่มแย่” ทั้ง 2 วิชา และที่น่าตกใจกว่านั้นคือคะแนนเฉลี่ยตกฮวบฮาบ จากการประเมินเมื่อปี 2007แต่ท่ามกลางความน่าวิตกชนิดที่เรียกว่าอกสั่นขวัญกระเจิง ยังมีเรื่องที่น่ายินดี และเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์คือ การที่นายพงศ์เทพ ในฐานะเจ้ากระทรวงศึกษาธิการออกมายอมรับผลการประเมินที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ และถึงขั้นประกาศ “ปฏิรูปหลักสูตร” ทั้งระบบ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย“ทีมการศึกษา” อยากจะบอกพร้อมกับฝากความหวังว่า ท่ามกลางสารพัดเรื่องที่น่าวิตก การส่งสัญญาณด้วยการยอมรับในความอ่อนด้อยในงานการศึกษาชาติของเจ้ากระทรวงศึกษาธิการ น่าจะเป็นการเดินมาถูกทาง เพราะหมดเวลาแล้วที่จะออกมา “แก้ตัว” ว่าสาเหตุที่การศึกษาของเด็กไทย “ตกต่ำ” ขนาดนี้ เป็นเพราะเกณฑ์ประเมินของต่างชาติมาตรฐานสูงเกินไป เพราะขาดแคลนงบประมาณ หรือมาจากการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีบ่อยๆ จนนำไปสู่นโยบายด้านการศึกษาที่ไม่ต่อเนื่องหมดยุคแล้วที่จะมัวแต่มา “โยนกลอง” กันไปมาว่าใครเป็น “คนผิด”???แต่ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายในสังคม ควรจะออกมาร่วมด้วยช่วยกัน “แก้ไข” เพื่อคุณภาพการศึกษาที่ดีของเด็กไทย ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกหลานของเราทุกคนจากวันนี้เหลือเวลาอีกเพียง 3 ปี ประเทศไทยก็จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มตัว ในปี 2558 สิ่งที่ต้องเร่งเครื่องคือการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กไทย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการศึกษาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างคน อันจะนำมาซึ่งความเข้มแข็ง และความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของอาเซียน รวมไปถึงเศรษฐกิจโลกแต่หากยังปล่อยให้ปัญหาการศึกษา เป็น “มะเร็งร้าย” ที่กัดกร่อนคุณภาพเด็กไทยต่อไป โดยที่ไม่ช่วยกันแก้ไขแล้ว มาตรฐานการศึกษาไทยคงรอนับเวลาปิดฝาโลงแน่นอนที่ผ่านมาทุกรัฐบาลมักจะประกาศเสมอว่างานการศึกษาคือเรื่องที่ “ปลอดการเมือง” แต่ในที่สุดคำประกาศครั้งแล้วครั้งเล่าก็เป็นได้แค่เพียง “ลมปาก” ที่สร้างความผิดหวังซ้ำซากณ วันนี้ วันที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2556 คำถามที่ค้างคาในใจคนไทยส่วนใหญ่ที่อยากส่งต่อถึงรัฐบาล คงไม่ต่างกันคือ ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลจะมีความจริงใจและจริงจัง นำพา “การศึกษาไทย” ก้าวข้ามวาระซ่อนเร้นทาง “การเมือง” เพื่อสร้างรากฐานของประเทศให้มั่นคงและยั่งยืนอย่าปล่อยให้เด็กไทย “เสียโอกาสทอง” ด้วยการอยู่อย่างไร้ความหวังอีกเลย!!! ทีมการศึกษา

สร้างภูมิคุ้มกันรับมือ AEC

สร้างภูมิคุ้มกันรับมือ AEC
สแกนแนวคิด เด็กมอ มองประเทศไทย พร้อม-ไม่พร้อม สู่ประชาคมอาเซียนอีกเพียง 2 วันก็จะนับถอยหลังอำลา “ปีมังกรทอง” เข้าสู่ปฏิทินใหม่ “ปีมะเส็ง–งูเล็ก” ที่หนุ่มสาวชาวมหาวิทยาลัย คงเตรียมเฮ ลั้ลลา กับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเริ่มนับหนึ่งใหม่แต่หากจะย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ ปีมังกรทอง หรือ งูใหญ่ ที่ผ่านมา คงมีหลากหลายประเด็นที่ชวนให้ แฮปปี้ หรืออย่างกรณี “น้องน้ำ” ที่ใครๆหวาดผวาจะเป็น ปัญหา และภาวนา “อย่ามาให้เจอ...อีกเลย” ก็แคล้วคลาดไปได้ในหลายพื้นที่ของประเทศโดยเฉพาะกรุงเทพฯขณะที่อีกเรื่อง ฮอต ในรอบปี 2555 ที่ถูกหยิบยกมา เม้าท์มอย กันในทุกวงการอย่างไม่ขาดสาย และยังคงเป็นประเด็นเด็ดที่น่าจะยังไม่เลิก จ้อ กันต่อในปีหน้านั่นคือ เรื่องของการเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (Asean Economic Community) ในปี 2558ยิ่งภายในรั้วมหาวิทยาลัย งานนี้ถูก จับตา และยกให้เป็น พระเอก ในการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนที่จะรับมือกับการร่วมวงเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างมีคุณภาพทีมสกู๊ปมหาวิทยาลัย เลยขอ สุมหัว และ แท็กทีม เดินสายสู่ประตูรั้วอุดมศึกษา หยิบยก AEC มาเป็นโจทย์ตั้งวงถกกับ นิสิตนักศึกษาวัยทีน ก่อนอำลาปี 2555เริ่มที่หนุ่มน้อย หน้าใส สรวิชญ์ เตชะวิเชียร “โจอี้” ปี 1 คณะวิทย์ รั้วจามจุรี ชี้เปรี้ยงว่า “การรวมตัวกันของกลุ่มประเทศ อาเซียนน่าจะส่งผลดีให้กับประเทศไทยและประเทศสมาชิก เพราะจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งด้านต่างๆ ในการต่อรองหรือเพิ่มความได้เปรียบให้กับกลุ่มประเทศสมาชิกมากกว่าการไม่รวมกลุ่ม และขณะนี้จะเห็นความกระตือรือร้นรับมือทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ รวมถึงการทำงาน แต่อย่างไรก็ตาม หากเทียบระหว่างประเทศสมาชิกในอาเซียนด้วยกัน สำหรับประเทศไทยนั้นผมยังมองว่าเราอาจจะด้อยในเรื่องของภาษา เพราะแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาร์ กัมพูชา ลาวยังหันมาเรียนรู้ภาษาไทย นอกเหนือจากภาษาของตัวเองและภาษาอังกฤษ ขณะที่คนไทย แม้แต่ภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อยได้ ยิ่งภาษาเพื่อนบ้าน เราไม่เคยเห็นความสำคัญที่จะเรียนรู้ จึงอยากฝากเรื่องความสำคัญในการกระตุ้นหรือจัดการการเรียนการสอนด้านภาษาให้กับคนไทยมากกว่าที่เป็นอยู่”ว่าแล้วก็ขอล่องสู่แดนใต้ เจ๊าะแจ๊ะ กับหนุ่ม เฟรชชี่มาดเข้ม กันบ้าง สุพจน์ เกษรสิทธิ์ “ตั้ม” ปี 1 สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ฟันธงว่า “ไทยเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาเซียนยังไม่ทั่วถึง จะรับรู้เฉพาะกลุ่มคนที่ศึกษาเพื่อรับมือและเพื่อผลประโยชน์ แต่คนที่อยู่ห่างไกลยังไม่รับรู้หรือไม่เห็นความสำคัญ จึงควรประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนได้รู้อย่างทั่วถึงทั้งความสำคัญ ผลกระทบ ซึ่งผมคิดว่าการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนมีทั้ง ผลดีคือการแลก เปลี่ยนวัฒนธรรมภาษา  และทรัพยากร ทำให้มีภูมิต้านทานต่อประเทศมหาอำนาจ แต่ผลเสียก็มีไม่น้อยคือประเทศที่มีความพร้อมน้อยก็อาจเกิดความเหลื่อมล้ำ และเกิดการเอารัดเอาเปรียบขึ้นได้ ส่วนเยาวชนไทยก็ยังมองเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ค่อยเห็นความสำคัญ เมื่อเปิดประเทศโอกาสการแย่งงานจะเกิดขึ้นสูง คนที่เรียนน้อยหรือไม่มีความรู้ทางภาษา ไม่เข้าใจวัฒนธรรม ก็อาจถูกแย่งงานได้ เราจึงต้องสร้าง ภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองในทุกด้าน”ล่องใต้แล้ว ก็ต้องขอขึ้นไป แอ่วเหนือ รับลมหนาวกันหน่อย สอดส่ายสายตา พอดีปะเข้ากับหนุ่มมหาวิทยาลัยพะเยา ปริญญา ชื่นสุวรรณ “บูล” ปี 1 นิติศาสตร์ ที่ชี้ถึงผลดีกับการเข้าสู่อาเซียนว่า “ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวิชาการมากขึ้น ส่วนแง่เศรษฐกิจก็สามารถ ต่อรองผลประโยชน์ทางการค้าการลงทุนได้ง่ายขึ้น ขณะที่ผลกระทบก็มีเช่นกัน เพราะทำให้เกิดการแข่งขันสูงในตลาดแรงงาน เมื่อมีประชากรหลั่งไหลเข้าออกกันง่ายขึ้น โดยเฉพาะการดึงตัวอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถสูง ทำให้ประเทศไทยอาจขาดอาจารย์ที่เก่งๆ ไปได้ สำหรับผมซึ่งจะจบปี 2558 รับอาเซียน ก็ยอมรับว่ามีความ กังวลเล็กน้อยในเรื่องภาษา โดยเฉพาะด้านนิติศาสตร์ ที่อาจจะมีการว่าความเป็นภาษาอังกฤษ เพราะ เมื่อมีการเปิดประเทศเสรีก็คงมีข้อขัดแย้งต่างๆ ตามมา ซึ่งนักกฎหมายไทยก็ต้องพัฒนาภาษาควบคู่ไป เนื่องจากต้องมีการใช้กฎหมายระดับสากล อย่างไรก็ตามผมอยากฝากรัฐบาลช่วยประชาสัมพันธ์การเปิดประชาคมอาเซียนมากยิ่งขึ้น โดยเน้นให้ความรู้เยาวชนรวมถึงประชาชนทั่วไปว่า เมื่อเปิดแล้วเกิดผลดีอย่างไร เกิดผลเสียอย่างไร ควรปรับตัวอย่างไร และควรพัฒนาในเรื่องของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทั่วถึง”มาเปิดใจกับอีกหนึ่งหนุ่มมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คุณากร วิวัฒนากรวงศ์ “จา” ปี 2 สาขาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน คณะบริหารธุรกิจ เปิดมุมมองว่า “ประเทศไทยเตรียมการ เรื่องนี้พอสมควร และคิดว่าการเปิดอาเซียนจะเกิดผลดีมากกว่า ผลเสีย เช่น การทำงานข้ามประเทศจะเสรีมากขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสการทำงานของคนในประเทศ ส่วนการค้าและการลงทุนก็จะเป็นตลาดรวม โดยใช้พื้นฐานของข้อกำหนดเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดกว้างเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย ส่วนผลเสียคิดว่า ด้วยความที่ทุกอย่างเสรี ดังนั้นการแข่งขันของคนในประเทศก็จะเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุน การทำงาน ส่วนการเตรียมพร้อมของเยาวชนไทยนั้น ทุกภาคส่วนก็เตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนไทยใส่ใจเรื่องภาษามากขึ้น ผมคิดว่าไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ แต่ต้องมองถึงความสำคัญของภาษาที่ 3 เช่น ภาษาบาฮาซา (ภาษาอินโดนีเซีย) ภาษาจีนด้วยครับ”เจ๊าะแจ๊ะจอแจกับหนุ่มๆมาดเท่ที่ไอเดียเก๋ไก๋ไม่เบาแล้ว ขอเปลี่ยนแนวมาจ้อกับสาวๆ ไฉไลที่มีแนวคิดแจ๋วๆกันบ้างประเดิมกับ สาวหมวยแดนอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นันทิพร พงษ์ศิริยะกุล “ทราย” ปี 1 คณะการบัญชีและการจัดการ ขอแจมว่า “เนื่องด้วย ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงเชื่อว่าจะส่งผลดีให้กับผลผลิตทางการเกษตรที่จะเข้าสู่ตลาดอาเซียน แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือ การศึกษา โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษ เด็กไทยยังมีพื้นฐานไม่แน่นพอ แม้แต่ทรายเอง ยอมรับว่าภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง ยิ่งเมื่อจบการศึกษาในปี 2558 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้วก็จะกังวลมากกับการหา งานทำ การยอมรับจากองค์กรที่รับเข้าทำงาน เพราะเมื่อเข้าสู่อาเซียนชาวต่างชาติก็จะเข้ามาลงทุนในประเทศ AEC มากขึ้น ดังนั้นการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษจะต้องมีมากขึ้น ผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษรวมถึงภาษาอื่นๆ ก็จะมีความได้เปรียบ จึง อยากให้รัฐบาลหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพัฒนาระบบการศึกษาให้มากขึ้นเน้นภาษาอังกฤษและภาษาจีน รวมถึงการสอนที่สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับอาเซียน”ขณะที่สาววิศวะ มาดกิ๊บเก๋ อภัสนันท์ เชื้อสังข์พันธุ์ “อีฟ” ปี 3 สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ส่งเสียงใสๆ มาร่วมเม้าท์ว่า “การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นการเปิดโลกกว้างขึ้น ทั้งด้านการทำงานที่สามารถทำงานในประเทศสมาชิกอาเซียนได้ง่ายขึ้น การได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศเรา แต่ผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นคือ ตลาดแรงงานมีโอกาสเลือกผู้เข้ามาทำงานมากขึ้น หากคนไหนไม่มีคุณภาพ ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานที่มีความเป็นไปได้สูง ดังนั้นอยู่ที่การเตรียมความพร้อม ซึ่งหากดูความพร้อมของเยาวชนกับการรับมือเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต้องยอมรับว่าเรายังด้อยด้านภาษาและด้านวิชาการ จึงอยากฝากให้เยาวชนได้ตระหนัก สำหรับอีฟเองก็ได้เตรียมตัวระดับหนึ่งโดยเฉพาะการเรียนรู้ภาษา และใฝ่ฝันที่อยากไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์เพราะเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตด้านเทคโนโลยี จึงอยากเรียนรู้เพื่อเสริมทักษะมากขึ้น”ปิดฉากก่อนส่งท้ายปี กับสาวหน้าหวาน ทิพรดา กองศักดิ์ “หมูตุ้ย” ปี 2 โปรแกรมวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา บอกว่า “ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนมากพอสมควร ซึ่ง ม.ราชภัฏนครราชสีมาก็มีการจัดกิจกรรมมากมายที่มุ่งเน้นให้นักศึกษาได้เรียนรู้วัฒนธรรมของชาวอาเซียน นอกจากการมุ่งเน้นในเรื่องภาษาแล้ว เราต้องศึกษาถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของแต่ละประเทศเพื่อที่จะปรับตัวแล้วเข้าใจในวัฒนธรรมนั้นๆ ทำให้ส่วนตัวแล้วไม่มีความกังวลใจเรื่องการมีงานทำในอนาคต เพราะ ยิ่งประเทศไทยก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก็เปรียบเสมือนการเปิดประตูบ้านต้อนรับนักลงทุน สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การประกอบอาชีพในอนาคตของเรามีช่องทางเลือกงานได้ตรงกับความสามารถของเราได้มากยิ่งขึ้น ถือเป็นโอกาสทองของนักศึกษาที่จบใหม่ อย่างไรก็ตามในฐานะที่หนูเป็นเยาวชนคนไทยก็อยากจะฝากให้ผู้ใหญ่มีความสามัคคีร่วมผลักดันประเทศของเราให้ก้าวหน้าและยืนอยู่บนเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างสง่างาม”หลากหลายไอเดียโดนๆที่ “ทีมสกู๊ปมหาวิทยาลัย” ขอเป็นสื่อกลางส่งต่อให้ผู้เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาและนำสู่การปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรมขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดในการเตรียมตัวเข้าสู่ AEC อย่างสมศักดิ์ศรีคือ คนไทยทุกคนต้องลุกขึ้นเตรียมความพร้อมด้วยตัวเอง อย่าเพียงแต่รอรับฝ่ายเดียว...!!!15 คำศัพท์ฮอต-วลีฮิต “วัยโจ๋” รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์เรื่องนี้ถึงครูอังคนาแน่ : มีที่มาจากเด็กชายชั้น ม.ต้นคนหนึ่ง ออกมาสร้างคลิประบายความในใจที่ถูกเพื่อนเขี่ยออกจากกลุ่มผ่านโลกออนไลน์ และปิดท้ายด้วยคำว่า “เรื่องนี้ถึงครูอังคนาแน่” จนกลายเป็นวลีฮิตชั่วข้ามคืนที่นำมาใช้เมื่อต้องการจะฟ้องเรื่องราวที่เกิดขึ้นแก่ ใจดี สปอร์ต กทม. และ สงสัยไม่ช็อต? : อีกหนึ่งวลีฮิตในโลกออนไลน์ มีที่มาจากชายวัยกลางคนรายหนึ่ง ส่งข้อความสนทนาเฟซบุ๊ก ถึงสาวหน้าตาดี ว่า แก่ ใจดี สปอร์ต กทม. พร้อมอาสาช่วยจ่ายค่าผ่อนคอนโดให้ แต่ผู้หญิงเงียบเลยบอกว่า “สงสัยไม่ช็อต” งานนี้ถูกสาวออกมาแฉ จนรู้กันทั้งเมืองเนยรักโลก : คนดังบนโลกไซเบอร์ที่มียอดฟอลโลเวอร์พุ่งกระฉูด เธอใช้ชื่อทวิตเตอร์ว่า Noey Zupermarket ชอบโพสต์ข้อความ แนวรักธรรมชาติ แบบจิกกัด และมักมีวลีเด็ดชวนขำ อย่าง มีเพื่อนถามเนยว่าชอบกินอะไร เนยบอกได้อย่างเดียวเลยค่ะ เนยไม่กินผัก เนยถือว่าเป็นการตัดไม้ทำลายป่า แต่ละข้อความจะทิ้งท้ายว่า “เนยรักโลก” จนวัยโจ๋ชอบเอามาจิกกัดคนที่รักธรรมชาติว่าเป็นเพื่อน “เนยรักโลก” เป็ดพ่นไฟ : ชาวเน็ตให้นิยามคำนี้ว่า “สุดยอด-เหนือคำบรรยาย” ต้นตอมาจากคลิปดังจากจีน ที่มีภาพฝูงเป็ดในเล้าพ่นไฟออกจากก้น และในคลิป ยังมีภาพชายคนหนึ่งจับเป็ดโยนขึ้นท้องฟ้าคล้ายจรวด ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดยอดมากเซราะกราว : เป็นภาษากัมพูชา ความหมายคือ บ้านนอก ซึ่ง “โน้ต...อุดม แต้พานิช” นำมาเผยแพร่ใน “เดี่ยวไมโครโฟน 9” จนกลายเป็นกระแสฮิตติดปากจุงเบย : เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “จังเลย” เพราะแป้นพิมพ์ของทั้ง “สระอุ”, ”ไม้หันอากาศ” และ “ล” , “บ” อยู่ใกล้กันทำให้พิมพ์ผิดอยู่บ่อยๆ จนกลาย เป็นศัพท์วัยรุ่นในที่สุด มักใช้สื่อถึงความแอ๊บแบ๊ว เช่น น่ารักจุงเบย ปาดหน้าเค้ก : เป็นคำพูดที่นำมาใช้เวลาถูกใครทำอะไรตัดหน้า หรือแซงหน้า อย่าง “นี่เธอเมื่อคืนชั้นเล็งพ่อหนุ่มหล่อข้างโต๊ะ อยู่ดีๆก็โดนใครไม่รู้ มาปาดหน้าเค้กซะงั้น”กรรมสะสมไมล์ : เป็นการเปรียบเทียบคนที่ชอบทำบาปกรรมว่าเป็นการสะสมไมล์ เหมือนที่สายการบินให้ลูกค้าสะสมไมล์เดินทางจิ้น : เป็นคำย่อมาจากคำว่า “จินตนาการ” ความหมายที่นำมาใช้มักจะค่อนไปในทางชู้สาว อย่าง ฉันเห็นแมนกับต้นจับมือกัน เห็นแล้วจิ้นไปไกลเลยฟิน : มาจากคำว่า “ฟินาเล่” หมายถึงการจบแบบสมบูรณ์ ซึ่งส่วนมากมักใช้กับความรู้สึก “สุดยอด, ดีใจสุดๆ” อย่าง “แหม! ได้คุยกับหนุ่มที่แอบปลื้ม มานาน รู้สึกฟินสุดๆ”ปลวก : เป็นคำที่ใช้เรียกพวกที่ชอบเรียกร้องความสนใจ หรือสร้างซีนให้ตัวเอง รวมไปถึงพวกที่ชอบจิกกัดเหน็บแนมคนอื่นไปทั่ว เหมือนกับปลวกกาก : ความหมายคือของเหลือ หรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งวัยรุ่นนำมาเป็นคำที่ใช้ดูถูกคนที่ทำตัวไม่มีประโยชน์ หรืองี่เง่าทำอะไรที่ไม่ได้เรื่องเวิ่นเว้อ : อาการพร่ำเพ้อพรรณนาที่น่ารำคาญ ซึ่งมักใช้กับคนอกหักที่ไม่หลุดพ้นความเศร้าซะทีกินตับ : มีที่มาจากเพลง “กินตับ” ของ “เท่ง เถิดเทิง” ซึ่งบรรดาขาโจ๋เอาไปพูดตาม เช่น “หน้าตาแบบนี้น่าพาไปกินตับ” โดยมีความหมาย สื่อถึงการชักชวนไปมีเพศสัมพันธ์จัดเต็ม, จัดหนัก : เป็นคำที่ใช้พูดในสถานการณ์ที่ต้องการทำอะไรแบบเต็มที่ อย่าง “ปีใหม่นี้จัดเต็มมาเลยนะ”.

จัดอันดับสุดยอด 10 สาว สวัสดีแคมปัส แห่งปี55

จัดอันดับสุดยอด 10 สาว สวัสดีแคมปัส แห่งปี55
ตลอดปีมังกร 2555 สวัสดีแคมปัส ได้ทำหน้าที่แนะนำนักศึกษาที่โดดเด่นและมีความน่าสนใจในทุกๆ สัปดาห์ เราได้พบความคิดและข้อคิดดีๆ จากน้องๆ รวมถึงเรื่องราวที่ทำให้เราทึ่งกับนักศึกษากลุ่มนี้ที่โตกว่าที่คิด บางคนสามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้ รวมถึงรับผิดชอบค่าเล่าเรียนด้วยตัวเอง ด้วยการทำงานไปด้วย บางคนมีดีกรีเป็นถึงนางแบบ นักแสดง บางคนเป็นนักกีฬา และที่ สวัสดีแคมปัส ดีใจเป็นที่สุดคือ น้องบางคนที่เราแนะนำให้รู้จัก จากที่ไม่มีใครรู้จักได้ทำงานสายบันเทิง ออกสื่อให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เมื่อปีเก่าผ่านไป สวัสดีแคมปัส จึงรวบรวมผลงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ร่วม 50 สัปดาห์ และได้คัดเลือก 10 คนที่น่าสนใจ เป็น 10 สุดยอดสวัสดีแคมปัส ปี 2555 ที่มียอดคลิกมากที่สุด เรียงลำดับมาให้ชมกันอีกรอบอันดับที่ 10 กิ๊ฟ กรรณาภรณ์ เอี่ยมวิบูลย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาทักษะการติดต่อสื่อสารเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา สาวผู้หลงรักศิลปะ และพิธีกรคนเก่งจากเคเบิลทีวี อ่านเรื่องราวของเธอ เพื่อทำความรู้จัก กิ๊ฟ และชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/264876อันดับที่ 9 เดียร์ ณิชกานต์ กิจสกุล นักศึกษาชั้นปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาว BU Ranger ที่มีหลักการเรียนอย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ เป็นอีกคนที่น่าจับตามองถึงผลงานสายบันเทิงในอนาคตอันใกล้นี้ อ่านเรื่องราวของเดียร์ เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/311194อันดับที่ 8 ซอลีฮะห์ กวินธิดา สาสกุล หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า ฮะห์ นักศึกษาชั้นปี 1 สาขาอิสลามศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต สาวเรียบร้อย ดีกรีดาวคณะ เจ้าของความคิด เอาชนะที่คนส่วนมากแพ้ อ่านเรื่องราวของ ฮะห์ เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/299614 อันดับที่ 7 อลิซ ชญาดา สนธิรักษ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักร้องสาวจากค่ายอาร์สยาม ผู้หลงรักเสียงเพลงตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งกำลังมีผลงานอยู่ในตอนนี้ อ่านเรื่องราวของ อลิซ เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/270156อันดับที่ 6 อายอายส์ กมลเนตร เรืองศรี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชานิเทศศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นเจ้าแม่โฆษณาและเอ็มวีอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีผลงานละครกับทางช่อง 3 เคยมาลง สวัสดีแคมปัส ถึง 2 ครั้งด้วยกัน อ่านเรื่องราวของ อายอายส์ เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/255922อันดับที่ 5 ยีน เกวลิน ศรีวรรณนา นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานาฏศิลป์สากล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร นางเอกสาวป้ายแดงจากเรื่องลับ ลวง หลอน ทางช่อง 3 ผู้ผ่านเวทีประกวดนางงามมาก่อน อ่านเรื่องราวของ ยีน เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/275572อันดับที่ 4 ติ๊นา ศุภนาฎ จิตตลีลา นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต สาวหล่อที่โด่งดังไปยังต่างประเทศจากภาพยนตร์เรื่อง Yes or No นอกจากนี้เธอยังสนใจและชอบการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ อ่านเรื่องราวของ ติ๊นา เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/263137อันดับที่ 3 ณฉัตร วัลเณซ่า เมืองโคตร นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กับดีกรีมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2012 อ่านเรื่องราวของ ณฉัตร เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/251030อันดับที่ 2 แอนนา ชาลินี เพียรธนภาคย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ว่าที่คุณหมอ ดีกรีดาวมหาวิทยาลัย ปี 2555 อ่านเรื่องราวของ แอนนา เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/279081อันดับที่ 1 สุดยอด สวัสดีแคมปัส 2555 คือ ใบเตย อนัญญา สุนทรศารทูล นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ดาวมหาวิทยาลัยปี 2555 ดีกรีทุนนาฏศิลป์ อ่านเรื่องราวของ ใบเตย เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/282485ท้ายที่สุด สวัสดีแคมปัส ขอสวัสดีปีใหม่ ให้ผู้อ่านและแฟนๆ ทุกท่านมีความสุข สุขภาพพลานามัยแข็งแรง สมใจดังหวังและดังฝันทุกประการในปี 2556 อย่างไร สวัสดีแคมปัส ก็จะทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุดในปีนี้ ฝากติดตามกันทุกวันศุกร์เช่นเคยนะจ๊ะ.

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง
เอแบคโพล เผย ความสุขมวลรวมของคนไทยยังคงเพิ่มสูงต่อเนื่อง เดือน ธ.ค. อยู่ที่ 7.61 จากเต็ม 10 เพราะความเป็นหนึ่งเดียวในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ส่วนในปี 56 อยากให้นักการเมืองสร้างความปรองดอง และสิ่งที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นคือความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์...เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2555 น.ส.ปุณฑรีก์  อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลศึกษาวิจัย เรื่อง ความสุขประเทศไทยประจำปี 2555 กับ จุดแข็ง โอกาส แรงบันดาลใจ และผลลัพธ์ของประเทศไทยที่คนไทยต้องการในปี 2556 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จาก 7.40 ในเดือน ต.ค. มาอยู่ที่ 7.53 ในเดือน พ.ย. และมาอยู่ที่ 7.61 ในเดือน ธ.ค. โดยดัชนีความสุขที่มีค่าสูงสุดยังคงอยู่ จากการได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คืออยู่ที่ 9.54 รองลงมาคือบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 7.80 สุขภาพใจอยู่ที่ 7.63 สุขภาพกายอยู่ที่ 7.40 หน้าที่การงาน การประกอบอาชีพที่ทำอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 7.22 วัฒนธรรมประเพณีไทยอยู่ที่ 7.17 และภาพลักษณ์ของประเทศไทย คนไทยในสายตาต่างชาติ   อยู่ที่ 7.13 ตามลำดับส่วนองค์กรและคณะบุคคลที่ประชาชนเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างความปรองดองของคนในชาติในปี 2556 ที่จะมาถึงนี้ พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 35.2 ได้แก่ นักการเมือง รองลงมาคือ ร้อยละ 27.5 ได้แก่ สื่อมวลชน อันดับสามหรือร้อยละ 13.2 ได้แก่ กลุ่มนายทุน และการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รองลงไปคือ กองทัพ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ องค์กรอิสระ เช่น สถาบันศาล กรรมการสิทธิฯ และอื่นๆ เช่น วุฒิสมาชิก เป็นต้นเมื่อถามถึง “โอกาส” ของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรก หรือร้อยละ 45.9 ระบุเป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก รองลงมาร้อยละ 26.7 ระบุมีการค้าการลงทุนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 11.4 ระบุเป็นประเทศที่เจริญเติบโตด้วยเทคโนโลยี ร้อยละ 10.9 ระบุคนในชาติมั่งมี ร่ำรวย เป็นสุขและคุณธรรมมั่นคงในจิตใจของประชาชน และสุดท้ายคือร้อยละ 5.1 ระบุเป็นศูนย์รวมหรือฮับด้านสุขภาพและความสวยความงามของผู้คน ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อถามถึงจุดแข็งของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 36.7 ระบุเป็นประชาธิปไตย รองลงมาคือ ร้อยละ 23.3 เป็นประเทศเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ รองๆ ลงไปคือ ทำเลดีเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน มีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นเมืองแห่งโอกาส ตามลำดับสำหรับแรงบันดาลใจของคนไทยที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 48.9 ระบุความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รองลงมาร้อยละ 16.8 ระบุความเสียสละ ความกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน และรองลงไปคือ การให้อภัย มีความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความขยันหมั่นเพียร มีวินัย จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่คนไทยต้องการในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 38.1 ระบุความสงบสุข ร่มเย็น ความเป็นเอกภาพปรองดองของคนในชาติ รองลงมาคือร้อยละ 24.3 ระบุ ร่ำรวย มีกิน มีใช้ และรองๆ ลงไปคือ คุณธรรมและหลักศาสนา ความมั่นคงในจิตใจของผู้คน สุขภาพใจร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และเป็นที่ยอมรับชื่นชอบของนานาประเทศทั่วโลก ตามลำดับ พร้อมย้ำว่า ผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศชาติสงบสุขร่มเย็นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักให้อภัย และเกิดความปรองดองของคนในชาติขึ้นอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้จบปริญญาหรือการศึกษาสูงมากนัก และมีรายได้น้อยแต่คิดได้ และคิดเป็น มีวุฒิภาวะทางปัญญา โดยเล็งเห็นว่า ประเทศชาติและประชาชนจะอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์ ถ้านักการเมืองทำบทบาทที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตยโดยการลดความขัดแย้ง ในหมู่ประชาชนไม่ใช่ตัวสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน.

Tuesday, December 25, 2012

ประโยชน์แท้จริงของยาทำให้นอนหลับ ที่แท้เกิดขึ้นเองในจิตใจของคนไข้ทั้งสิ้น

ประโยชน์แท้จริงของยาทำให้นอนหลับ ที่แท้เกิดขึ้นเองในจิตใจของคนไข้ทั้งสิ้น
นักวิจัยซึ่งได้ศึกษาคุณประโยชน์ของยานอนหลับขนานต่างๆ กล่าวว่า คุณประโยชน์ของยาเหล่านี้ ครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใช้เองนักวิจัยทั้งของมหาวิทยาลัยลินคอล์นและโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดของสหรัฐฯ กล่าวว่า “ความสำคัญทางด้านการแพทย์ของยาเหล่านี้เป็นที่น่าสงสัย” และเปิดเผยผลการศึกษาว่า ยาพวกนี้จะออกฤทธิ์ก็ต่อเมื่อคนไข้เกิดความรู้สึกในใจขึ้นแล้วเท่านั้น ยังไม่พบหลักฐานในการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ยาเป็นคุณประโยชน์ในการแก้ปัญหาการนอน แบบเดียวกับคุณประโยชน์ของการนอน อย่างพอเพียงเลย.

แผนการศึกษาชาติดีแน่ แต่นำไปปฏิบัติได้ยาก!

แผนการศึกษาชาติดีแน่ แต่นำไปปฏิบัติได้ยาก!
สกศ. ปั้น 7 ยุทธศาสตร์ตามแผนพัฒนาประเทศ-รัฐบาล เอกสารดีใช้อ้างอิงได้การศึกษาไทยดีแน่ แต่นำไปใช้ปฏิบัติได้ยาก พร้อมรับฟังความเห็น และเร่งแก้ไขปัญหาการศึกษาไทยเข้าขั้นโคม่า จากการประชุมวิชาการเรื่องแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 (พ.ศ.2555-2559) โดยรับฟังความคิดเห็นในวงกว้าง ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2555-2559 จำเป็นต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัย ซึ่งเป็นแผนหลักที่ทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรวมถึงรัฐบาลต้องดำเนินการเพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน คาดว่าจะปรับปรุงเสร็จและประกาศใช้ในเดือน พ.ค.2556 ขณะเดียวกัน ในเดือน ม.ค.2556 สกศ.จะจัดทำยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาชาติ พ.ศ.2555-2558 โดยคำนึงถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเบื้องต้น สกศ.จะเสนอ 7 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ, การสร้างรายได้ และขยายโอกาสทางการศึกษา, การปฏิรูปครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง, การใช้งานวิจัยทางการศึกษา, การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา, การใช้เทคโนโลยีกับการศึกษา, การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน นอกจากนี้ สกศ.จะจัดทำข้อมูลและสถิติทางการศึกษา ทั้งเรื่องสัดส่วนนักเรียนต่อครู, การเข้าเรียนและจบของนักเรียนแต่ละช่วงชั้น, จำนวนนักเรียนชายซึ่งลดน้อยลง ในการเรียนสายสามัญจะเข้าสู่การเรียนสายอาชีพหรือไม่, จำนวนประชากรที่เข้าเรียนสถาบันอุดมศึกษาที่ลดน้อยลง, รวมทั้งการติดตามดูว่าประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ยังสามารถอ่านออกเขียนได้อยู่หรือไม่ เลขาธิการ สกศ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สกศ.จะติดตามและประเมินผลยุทธศาสตร์ 7 ประการ ดังกล่าว เพื่อติดตามว่าหน่วยงานต่างๆ มีการนำยุทธศาสตร์ไปใช้หรือไม่ และแก้ไขปัญหาต่างๆ หรือไม่ ทั้งจะเดินสายรับฟังความคิดเห็นการจัดทำยุทธศาสตร์นี้ในแต่ละภูมิภาคก่อนประกาศใช้ด้วย ทั้งนี้ แผนการศึกษาชาติเป็นแผนใหญ่ของประเทศที่ทุกหน่วยงานจะต้องปฏิบัติตาม ส่วนยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาปรับให้สอดคล้องกับนโยบายของแต่ละรัฐบาลได้ จากการเปิดอภิปายทั่วไป รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แผนการศึกษาชาติเป็นแผนการศึกษาชาติฉบับวรรณกรรมวิชาการ เพราะเอกสารดีใช้อ้างอิงได้ อ่านแล้วมีความสุข การศึกษาไทยดีแน่ แต่นำไปใช้ปฏิบัติได้ยาก อย่างไรก็ตาม การนำเสนอแผนการศึกษาชาติต่อ ครม. จะต้องหาจุดเด่นให้ ครม.ทึ่ง ให้เห็นว่าการศึกษาไทยอยู่ในขั้นวิกฤติหรือโคม่า จะต้องรีบทำแผนนี้จึงมีชีวิต 

ภาคประชาชนจี้บังคับใช้ พ.ร.บ.ทางหลวง รับมือปีใหม่

ภาคประชาชนจี้บังคับใช้ พ.ร.บ.ทางหลวง รับมือปีใหม่
“ภาคประชาชน” จี้ ผบ.ตร.ทางหลวง บังคับใช้ พ.ร.บ.ทางหลวง รับมือปีใหม่ วอนเอาผิดร้านค้าตั้งโต๊ะขายเหล้าเบียร์ริมถนนหน้าปั๊ม ซัดโกยเงินไม่สนกฎหมาย ชี้จุด ระบาดถนนสายสำคัญ สระบุรี-แก่งคอย...วัน ที่ 25 ธ.ค. ที่กองบังคับการตำรวจทางหลวง นายจะเด็จ  เชาวน์วิไล ที่ปรึกษาเครือข่าย ผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  พร้อมด้วย เครือข่ายเฝ้าระวังแอลกอฮอล์กรุงเทพฯ เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กว่า 30 คน เดินทางเข้า ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อ พล.ต.ต.พงษ์สิทธิ์  แสงเพชร  ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เพื่อขอให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ตั้งแผงลอยขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ริมทางและกฎหมายห้ามดื่มบนรถนายจะเด็จ  กล่าวว่า ภาคประชาชน ได้สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวเช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ความไม่ปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งจะพบว่าในถนนทางหลวง ที่มีผู้สัญจรไปมาจำนวนมาก รถเคลื่อนตัวได้ช้า โดยเฉพาะจุดที่มีสถานีบริการ น้ำมันเชื้อเพลิง จะเป็นจุดแวะพักที่สำคัญ แม้มีกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณดังกล่าว แล้วแต่ปัญหาที่พบคือผู้ค้ารายย่อย ใช้โอกาสนี้นำสินค้า และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาวางขายริมถนนปากทางเข้าและออกสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น จากสระบุรีขึ้นไปอำเภอแก่งคอย มีให้เห็นเป็นจำนวนมาก“การขายในลักษณะ นี้ ทำให้เกิดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุบัติเหตุ และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 38, 39 และมาตรา 44 รวมไปเป็นการส่งเสริมให้เกิดการดื่มบนรถซึ่งเป็นความผิดตามประกาศสำนัก นายกรัฐมนตรี  เรื่องกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง ซึ่งเป็นกฎหมายออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. 2555 เป็นต้นมา มีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นายจะเด็จ  กล่าวนายจะเด็จ  กล่าวอีกว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นภาคประชาชนขอแสดงจุดยืนและเรียกร้อง ต่อกองบังคับการตำรวจทางหลวงดังต่อไปนี้ 1. ขอให้บังคับใช้ พ.ร.บ.ทางหลวง มาตรา 38, 39 และมาตรา 44 กับผู้ที่ตั้งร้านขายสินค้า อาหารและที่สำคัญคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ริมถนนทางหลวง โดยเฉพาะบริเวณทางเข้าและออกสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงจุดพักรถสำคัญๆ เพื่อลดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และความปลอดภัยในการเดินทางของ ประชาชน 2. เร่งประชาสัมพันธ์และบังคับใช้กฎหมายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถ ขณะอยู่บนทาง ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี  เรื่องกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง และ 3. ขอให้กำลังใจการปฏิบัติงานของตำรวจทางหลวง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในการ ใช้รถใช้ถนนและลดอุบัติเหตุจราจร โดยเครือข่ายซึ่งมีภาคีอยู่ทุกจังหวัด  ยินดีเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการดำเนินงานของตำรวจทางหลวงขณะที่ พล.ต.ต.พงษ์สิทธิ์  กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของเครือข่ายฯ ซึ่งทางตำรวจจะนำไปบังคับใช้และยินดีกวดขันในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบ หรือขอบเขตที่สามารถทำได้ เพราะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ช่วงปีใหม่สาเหตุหลักของอุบัติเหตุมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม กรมทางหลวงมีมาตรการให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย ลดยอดอุบัติเหตุ และขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย.

Sunday, December 23, 2012

ส่งเสริมเลี้ยงไก่คอล่อนน้ำหนัก รสชาติ เนื้อนิ่มกว่าไก่พื้นเมือง

ส่งเสริมเลี้ยงไก่คอล่อนน้ำหนัก รสชาติ เนื้อนิ่มกว่าไก่พื้นเมือง
ปศุสัตว์พัทลุงสนับสนุนส่งเสริมเลี้ยงไก่คอล่อนเป็นอาชีพเสริม มีน้ำหนัก รสชาติ เนื้อนิ่มดีกว่าไก่พื้นเมือง เผยรายละ 5,000-8,000 บาทต่อเดือน...เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายไพโรจน์ อินทรศรี ปศุสัตว์จังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ในขณะนี้ไก่คอล่อนเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างจังหวัดมาก เพราะนอกจากจะต้านทานโรคได้ดีและมีน้ำหนัก รสชาติ เนื้อนิ่มดีกว่าไก่พื้นเมือง ซึ่งมีราคาจำหน่ายสูงอีกด้วย จึงทำให้มีเกษตรกรหันมาเลี้ยงไก่คอล่อนเป็นอาชีพเสริมมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในขณะนี้มีไม่น้อยกว่า 300 ราย โดยทางสำนักงานฯได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปให้การดูแลการเลี้ยง การป้องกันรักษาโรคติดต่อ รวมทั้งการดูแลระบบจัดการและระบบการตลาดและเตรียมผลักดันให้เป็นสินค้า จำหน่ายตามจุดสำคัญๆ ในพื้นที่ จ.พัทลุง ในเร็วๆ นี้ด้าน นายถนัด ดำนุ้ย ประธานกลุ่มเลี้ยงไก่คอล่อนบ้านแพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มเลี้ยงไก่คอล่อนของตนมีสมาชิก จำนวน 40 คน โดยส่วนใหญ่จะนำตาข่ายมากั้นเป็นบริเวณคอกในบริเวณต้นไม้ผล และทำโรงเรือนหลังเล็กๆ สำหรับการวางไข่ เนื่องจากไก่คอล่อนบินไม่สูงเหมือนไก่พื้นเมือง ส่วนมูลไก่ก็เป็นปุ๋ยชั้นดีของต้นไม้ ทำให้ไม้ผลให้ผลผลิตตลอดทั้งปี ส่วนการจำหน่ายนั้นจะมีพ่อค้าทั้งในและต่างจังหวัดมารับซื้อถึงกลุ่ม นอกจากนั้นสมาชิกของกลุ่มยังมีการจำหน่ายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ให้เกษตรกรโดยทั่วๆ อีกด้วย จนส่งผลให้สมาชิกของกลุ่มมีรายได้ไม่น้อยกว่ารายละ 5,000-8,000 บาท/เดือน.

สพป.สตูลตั้งศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครอง-ช่วยเหลือนักเรียน

สพป.สตูลตั้งศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครอง-ช่วยเหลือนักเรียน
สพป.สตูล จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน แก้ปัญหายาเสพติด-ครอบครัว สร้างบุคลากรคุณภาพของประเทศ...เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายนิสิต ชายภักตร์ ผอ.สำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สตูล กล่าวว่า สพป.สตูล ได้รับมอบนโยบายจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน (ฉก.ชน.) ประจำ สพป.เพื่อให้การป้องกันช่วยเหลือแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับนักเรียน เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาดของสารเสพติด ปัญหาสภาพครอบครัว เพื่อให้สามารถได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพ เจริญเติบโตอย่างปลอดภัยในสังคม เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศในอนาคตนายนิสิต กล่าวอีกว่า ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สพป.จะมีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ที่พร้อมออกไปให้การดูแลคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนใน จ.สตูล รวมทั้งการละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชน ปัญหาความเสี่ยงในการถูกคุกคามทางเพศ การตั้งท้องก่อนวัยเรียน ปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็กและเยาวชนที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม พร้อมการส่งเสริมดูแลเด็กและเยาวชนที่ประสบปัญหาในการดำเนินชีวิต ให้ได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ สพป.สตูล ใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นกำลังในการปกป้องเด็กและเยาวชน โดยหากพบภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนใน จ.สตูล สามารถโทรแจ้งที่ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล หมายเลขโทรศัพท์ 0-7472-2314 หรือ 08-9876-2817.

นายก อบจ.เชียงใหม่จี้ออก กม.ห้ามขายเหล้าทางเท้า

นายก อบจ.เชียงใหม่จี้ออก กม.ห้ามขายเหล้าทางเท้า
ผู้บริหารท้องถิ่น-สมาพันธ์ท่องเที่ยว จี้รัฐ ออก ก.ม.ห้ามขายเหล้าทางเท้า ชี้ ไม่ซ้ำซ้อนกำกวม เหตุพ.ร.บ.ความสะอาดฯ มีจุดผ่อนผันเปิดช่อง ย้ำมาตรการนี้ ไม่ได้กลั่นแกล้งใครวันที่ 23 ธ.ค. นายบุญเลิศ  บูรณุปกรณ์  นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่  กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ประดิษฐ  สินธวณรงค์  รมว.สาธารณสุข  ระบุว่า ไม่สามารถประชุมคณะกรรมการ นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เพื่อพิจารณาประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางเท้าได้ และมีแนวโน้มว่า กฎหมายตัวนี้ จะไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากเกรงว่า จะซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นๆ ว่า ในภาพรวม หากสามารถบังคับใช้กฎหมายนี้ได้ จะเป็นเรื่องดี ในการป้องปราม ไม่ให้มีการขาย หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บนทางสาธารณะได้ง่าย และไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งผู้มีรายได้น้อย หรือไปซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นแต่อย่างใดทั้งนี้ ทราบกันดีว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยของปัญหาสังคม หากมีการควบคุม ปัญหาดังกล่าวจะลดลงได้ ยกตัวอย่าง จากจังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากหากนำกฎหมายฉบับนี้เข้ามาบังคับใช้จะควบคุมได้มากนายสุรพล เธียรสูตร นายกเทศมนตรีเมืองน่าน กล่าวว่า  การที่พื้นที่ทางเท้าหรือริมทาง กลายเป็นสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผลต่อสังคมมาก เพราะเป็นการเพิ่มขึ้นของนักดื่มหน้าใหม่ และง่ายต่อการชวนกันมานั่งดื่ม จากนั้นปัญหาอื่นๆ ก็ตามมาเป็นลูกโซ่ ทั้งเรื่อง อุบัติเหตุ สุขภาพอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เรามีกฎหมายห้ามขายในวัด โรงเรียน  ชัดเจน แต่บนทางเท้าไม่มี ซึ่งหากเร่งบังคับใช้หลังจากนี้ก็เชื่อว่าจะส่งผลดี ช่วยสังคมลดปริมาณอุบัติเหตุ และรัฐมนตรีสาธารณสุขควรเปิดรับฟังความคิดเห็นพูดคุยร่วมกับภาคเครือข่ายประชาสังคมด้วย“เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่ ต้องทำความเข้าใจกับสังคมว่ากฎหมายนี้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ซึ่งร่างกฎหมายเห็นได้ชัดเจนว่ามีการพยายามยื้อกันอยู่ เรื่องจึงติดขัด รัฐมนตรีสาธารณสุข อาจถูกกดดัน ทำให้ต้องชะลอ หรือต้องนำเนื้อหาไปปรับปรุง การระบุว่า สามารถใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว หรือเกรงว่าจะซ้ำซ้อน กำกวม กับกฎหมายตัวอื่น กฎหมายห้ามขายเหล้าบนทางนั้นหากมีผลออกมา ก็จะไม่เป็นกฎหมายที่ซ้ำซ้อน เพราะหากจะพูดถึง  พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียกร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535  บริเวณฟุตบาทเอง ก็มีจุดผ่อนผัน ประเด็นสำคัญคือ เราต้องคุมเข้มทั้งสองจุดนั้นไม่ให้มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถที่จะทำได้ และจะยิ่งรัดกุมมากขึ้น  ซึ่งไม่ใช่มาระบุว่า การออกกฎหมายนี้จะซ้ำซ้อน กำกวม เพราะเป็นกฎหมายคนละตัวกัน” นายสุรพล  กล่าวนายกเทศมนตรีเมืองน่าน  กล่าวว่า เพื่อผลประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ตนอยากให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ พิจารณาเรื่องนี้ให้รัดกุม รับฟังข้อมูลจากคนทำงาน และควรมานั่งควบคุมดูแลด้วยตัวเอง ไม่ควรมอบหมายให้ใครมาทำหน้าที่แทน  และเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันทั้งสังคม สื่อประเด็นออกไปสู่สาธารณะให้มากที่สุด อย่าให้เรื่องนี้ตกอยู่ในมือของคนที่มองไม่เห็นปัญหา แม้ปีใหม่นี้จะไม่ทันแต่ต้องคิดไปถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือเทศกาลต่างๆอย่างไรก็ตาม กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และกระทรวงวัฒนธรรรม หนึ่งในกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติควรมีมุมมองเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วมันจะส่งผลดีและเป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวมขณะที่นายสุรพล กำพลานนท์วัฒน์ นายกสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของมุมมอง ถ้าคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการจะไม่สามารถขับเคลื่อนได้เลย ทั้งๆ ที่เรื่องการออกกฎหมายห้ามขายเหล้าบนทางเป็นเรื่องที่ดี ในอดีตเราไม่เคยมีการรณรงค์ห้ามขายเหล้าในเทศกาล แต่เมื่อได้ทำก็เกิดสิ่งที่ดีขึ้น เมืองไทยมีวัฒนธรรมทีดีงาม บริเวณทางเท้าก็ถือเป็นจุดหนึ่งในสังคม ที่จะแสดงให้เห็นภาพลักษณ์“ทุกวันนี้ภาคส่วนต่างๆ มีการรณรงค์ผลกระทบที่เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งในระดับผู้ใหญ่ก็ต้องยอมรับว่าทำเพื่อลูกหลานในวันข้างหน้า ต้องเห็นว่าอันไหนที่เป็นประโยชน์ต้องรีบทำ ทุกวันนี้งานหาดใหญ่ทุกงาน เรามีสโลแกนพ่วงท้าย ว่าไร้แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญมาก ที่ต้องรับผิดชอบกับสังคม และเป็นผลดีกับผู้ค้ารายย่อยด้วยซ้ำเพราะเขาขายอาหารได้มากกว่า กำไรดีกว่า ขายน้ำเมา คนรายได้น้อยไม่ควรเสียเงินกับน้ำเมา และไม่เมากลับไปทุบตีลูกเมียด้วย ต่างจากหลายปีที่ผ่านมา หาดใหญ่ เคยมีงานอีเวนต์ ลานเบียร์ ตามเทศกาลต่างๆ ซึ่งมีผลสะท้อน และผลกระทบรอบด้านชัดเจน และบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ไม่เคยออกมารับผิดชอบเลย” นายสุรพล กล่าว  นายสุรพล กล่าวอีกว่า เรื่องการออกกฎหมายห้ามขายเหล้าบนทางเท้านี้  ถ้าเรามัวแต่มานั่งรอผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี หรือราชการ มันต้องใช้ระยะเวลายาวนานมาก กว่าจะมีผลบังคับใช้ เรื่องเร่งด่วนที่สุดในขณะที่เราต้องทำก็คือ  ทั้งเครือข่าย บุคคล นักกิจกรรมทั่วประเทศ  ที่ทำงานขับเคลื่อนเรื่องนี้ ต้องช่วยกันออกมาแสดงความคิดเห็น สะท้อนเสียงประเด็นนี้ ให้เร็วที่สุด ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการทั้งหมดควรใช้พลังสังคมเข้ามาช่วย หากพลังสังคมเข้มแข็ง นักการเมืองก็ต้องฟัง.

Saturday, December 22, 2012

กษ.ชงยุทธศาสตร์ด้านการเกษตร รับมือภูมิอากาศโลกแปรปรวน

กษ.ชงยุทธศาสตร์ด้านการเกษตร รับมือภูมิอากาศโลกแปรปรวน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอความเห็นชอบยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2556–2559 หวังให้ภาคเกษตรปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และสร้างความมั่นคงของฐานการผลิต... ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 25 ธ.ค. 55 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ได้ขอความเห็นชอบยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2556–2559 ซึ่งกำหนดวิสัยทัศน์ “สร้างภูมิคุ้มกันภาคเกษตรกร สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาคเกษตร สามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เสริมสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตร สร้างความมั่นคงของฐานการผลิต เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อให้ภาคเกษตรมีส่วนร่วมในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเหมาะสม เป็นธรรม บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีนวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเพื่อสนับสนุนให้มีการพัฒนาและจัดการองค์ความรู้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในการปรับตัวและการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อย และการเก็บกักก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งสนับสนุนการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ         นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนของสังคมกับสิ่งแวดล้อม ความเป็นหุ้นส่วนของภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และชุมชนเกษตรในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความร่วมมือ ในการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทั้งกรอบความร่วมมือในประเทศและระหว่างประเทศ       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ภาคเกษตรเพียงพอที่จะรักษาพื้นที่เกษตรและกำลังแรงงานในภาคเกษตรมากขึ้น เพื่อคงความมั่นคงทางด้านอาหาร ให้ภาคเกษตรมีส่วนร่วมในการเก็บกัก และช่วยประชาคมโลกลดก๊าซเรือนกระจก ที่สอดคล้องความสามารถของเกษตรกร โดยการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ รวมทั้งมีองค์ความรู้ มีการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เพื่อการปรับตัว การสร้างภูมิคุ้มกันภาคเกษตรกร การลดการปล่อยและการเก็บกักก๊าซเรือนกระจกที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ และมีเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ความสำเร็จ ความรู้ เทคโนโลยี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างโอกาสและความเท่าเทียมกันในสังคม         สำหรับระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี (พ.ศ.2556–2559) ภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์มี 3 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มี 2 กลยุทธ์ คือ 1. เตรียมความพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกัน 2. การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเก็บกักและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร มี 2 กลยุทธ์ คือ 1. การพัฒนาระบบข้อมูลและองค์ความรู้ก๊าซเรือนกระจก 2. ส่งเสริม สนับสนุนการปรับระบบการผลิตสู่เกษตรกรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ที่ 3 การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร มี 5 กลยุทธ์ คือ 1. การพัฒนาเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 3. เพิ่มศักยภาพบุคลากร 4. พัฒนาการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือกับต่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ 5. สร้างกลไกในการติดตาม ขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ          ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตรฯ จะมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนภูมิอากาศ เกิดการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีระบบ ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เกษตรกรมีภูมิคุ้มกัน สามารถรองรับและบรรเทาปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคเกษตรกรของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป.

ศธ.ขอเพิ่ม600อัตรา ครูสอนภาษาตปท. รองรับเออีซี

ศธ.ขอเพิ่ม600อัตรา ครูสอนภาษาตปท. รองรับเออีซี
กระทรวงศึกษาธิการ ขอความเห็นชอบโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สอง หวังผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน ขอ ครม.อนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุผู้รับทุน จำนวน 600 อัตรา...ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ครม. วันที่ 25 ธ.ค. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ขอความเห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สองเพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน โดยขออนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุผู้รับทุนจำนวน 600 อัตรา ในช่วงปี พ.ศ.2556–2561 โดยเฉลี่ย 150 ทุนต่อปี ทั้งนี้ จำนวนทุนต่อปีอาจปรับเพิ่ม–ลด ไม่เกินร้อยละ 5 ตามสถานการณ์ที่จำเป็น        ศธ. รายงานว่า ได้ดำเนินการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศที่สำคัญๆ โดยเฉพาะภาษาของประเทศคู่ค้า ได้แก่ ภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน รัสเซีย เวียดนาม เขมร พม่า และภาษาบาฮาซามาเลย์/อินโดนีเซีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้ภาษาต่างประเทศและขีดความสามารถในการแข่งขันของคนไทย อันเป็นการเตรียมความพร้อมและความเข้มแข็งสู่ประชาคมโลก และประชาคมอาเซียนตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเร่งรัดพัฒนาคุณภาพการศึกษา ยกระดับองค์ความรู้ให้ได้มาตรฐานสากล แต่ปัญหาใหญ่ที่ประสบตลอดมาคือ ขาดแคลนครูผู้สอนที่มีคุณภาพ โรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนโดยอาศัยครูไม่ตรงวุฒิ ซึ่ง ศธ. โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดอบรมความรู้ด้านภาษาและการสอนอย่างต่อเนื่องให้ครูไม่ตรงวุฒิเหล่านี้ โดยร่วมมือกับองค์กรเจ้าของภาษา พร้อมทั้งจัดหาครูอาสาสมัครที่เป็นเจ้าของภาษามาร่วมสอนด้วย แต่วิธีการดังกล่าวแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง เพราะครูไม่ตรงวุฒิบางส่วนไม่สามารถสอนได้อย่างลึกซึ้งเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับความต้องการและความจำเป็นด้านคุณภาพและปริมาณที่ทวีขึ้นๆ ดังนั้น ในช่วงปี พ.ศ. 2550–2552 สพฐ.ได้แก้ปัญหาอันนำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนอย่างยั่งยืน ด้วยการร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ทุนศึกษาด้านการสอนภาษาจีนแก่บัณฑิตจบใหม่ในสาขาวิชาเอกภาษาจีน เพื่อพัฒนาเป็นครูที่มีคุณภาพและมีคุณวุฒิในวิชาชีพตามมาตรฐานของคุรุสภา จำนวน 300 คน และบรรจุเข้ารับราชการเป็นครูสอนภาษาจีนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. 300 โรงทั่วประเทศ โดยเฉลี่ยอัตราเกษียณ ในช่วงเวลา 3 ปี มาตรการดังกล่าวช่วยเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้ภาษาจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยครูที่มีคุณภาพ โดยที่ปัจจุบันการบรรจุครูรุ่นใหม่ในสาขาภาษาต่างประเทศที่สองทำได้ยากขึ้น เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาที่ผลิตบัณฑิตวุฒิครูในสาขาวิชาภาษาญี่ปุ่นและเยอรมันมีน้อยมาก รวมทั้งไม่มีสถาบันอุดมศึกษาใดผลิตบัณฑิตวุฒิครูสาขาวิชาภาษาเกาหลี สเปน รัสเซีย และภาษาประเทศอาเซียน บัณฑิตวิชาเอกภาษาต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นวุฒิศิลปศาสตร์ ไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ หากไม่ศึกษาเพิ่มเติมหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู และตั้งแต่คุรุสภาประกาศยกเลิกการรับรองหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2553 จึงทำให้การจัดหาครูสอนภาษาต่างประเทศในสาขาวิชาที่ขาดแคลนเหล่านี้ยากขึ้นมากกว่า หรือแทบไม่มีทางเป็นไปได้       อย่างไรก็ตาม สำนักงาน ก.พ. มีความเห็นว่า การขออนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุผู้รับทุนตามโครงการ จำนวน 600 อัตรานั้น เห็นควรให้ ศธ. ใช้วิธีการบริหารจัดการจากอัตราว่างที่มีอยู่ก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อพิจารณาจัดสรรจากอัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ว่างลง จากการเกษียณอายุราชการในแต่ละปีต่อไป.

ศธ.ชงโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะเทิดพระเกียรติพระเทพฯ

ศธ.ชงโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะเทิดพระเกียรติพระเทพฯ
กระทรวงศึกษาธิการ ขอ ครม. อนุมัติปรับเปลี่ยน โครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หวังกระตุ้นและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชน...ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ครม. วันที่ 25 ธ.ค. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ขออนุมัติปรับเปลี่ยน “โครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ” ตามที่บรรจุไว้ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เป็น “โครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ” โดยใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการดำเนินการโครงการคงเดิม คือ ต.ค. 2555-ก.ย. 2556         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศธ. รายงานว่า ศธ. ได้มีหนังสือถึงกองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักราชเลขาธิการ ขอให้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ ศธ. ดำเนินการ “โครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี : คูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ” เนื่องในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ ในปี 2558 ซึ่งกองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักราชเลขาธิการได้มีหนังสือแจ้งว่า ได้นำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทแล้ว มีพระราชกระแสขอเปลี่ยนจากการจัดโครงการดังกล่าว เป็นการจัดซื้อหนังสือให้ห้องสมุดต่างๆ รวมทั้งมีการจัดอบรมให้กับผู้ที่จะมาใช้ห้องสมุดได้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับระเบียบวินัย และข้อพึงปฏิบัติในการเข้าใช้ห้องสมุด การเคารพสิทธิ์ผู้อื่น ตลอดจนการช่วยดูแลรักษาห้องสมุดร่วมกัน เห็นว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กและประชาชนจะดีกว่า        ดังนั้น เพื่อเป็นการสนองตอบต่อพระราชกระแสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ศธ.จึงได้จัดทำโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะเพื่อจัดหาหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร รายสัปดาห์ รายปักษ์ หนังสือ สำหรับห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ตลอดจนบ้านหนังสือ : ห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน เพื่อเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมการอ่านให้กับประชาชนทั่วไป และสร้างโอกาสในการอ่านให้เกิดขึ้นกับประชาชนในระดับรากหญ้าที่อยู่ในหมู่บ้าน ที่ด้อยโอกาสในการอ่านที่มีสาเหตุมาจากปัญหาหลายประการ อาทิ ห้องสมุดอยู่ห่างไกลบ้านพัก เดินทางไม่สะดวก หนังสือราคาสูง ไม่มีเงินเหลือพอที่จะซื้อหนังสืออ่าน การจัดหาหนังสือให้กับบ้านหนังสือ : ห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน ที่อยู่ในหมู่บ้าน และห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จึงจะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดขึ้นกับทุกคนได้อย่างแท้จริง ดังพระราชปณิธานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี           โดยโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสที่จะเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2558  และเพื่อกระตุ้นและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล รวมทั้งเพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบบ้าน หนังสืออัจฉริยะ หรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชน ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” และองค์ความรู้ที่สนใจได้อย่างต่อเนื่อง      กำหนดเป้าหมายให้มีบ้านหนังสืออัจฉริยะ หรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชนในพื้นที่ปกติทั่วประเทศ จำนวน 40,000 แห่ง บ้านหนังสืออัจฉริยะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา จำนวน 1,800 แห่ง และห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จำนวน 87 แห่ง.

Friday, December 21, 2012

กมธ.วุฒิฯ จี้ตรวจสอบร้านขายปืนและเกมรุนแรง

กมธ.วุฒิฯ จี้ตรวจสอบร้านขายปืนและเกมรุนแรง
กมธ.การพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชนฯ วุฒิสภา จี้ให้กวดขันร้านเกมที่นำเกมรุนแรงมาให้เด็กเล่น รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบการอนุญาตเปิดร้านขายปืน และจำนวนปืนที่ส่ังมาจำหน่ายย้อนหลังไป 5 ปี...เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. มีรายงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ได้ประชุมกันที่ห้องประชุม 310 อาคารรัฐสภา 2 เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมี นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธานในการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้หารือถึงกรณีเกิดคดีสะเทือนขวัญนักเรียนใช้อาวุธกราดยิงในโรงเรียนมีนักเรียนเสียชีวิตหลายคนที่ประเทศสหรัฐฯ และต่อมาจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าเด็กมีปัญหาทางจิต รวมทั้งติดเกม ส่งผลให้เกิดอารมณ์รุนแรง ซึ่งในประเทศไทยก็กำลังเกิดปัญหาคล้ายคลึงกัน เนื่องจากปัจจุบันมีร้านเกมจำนวนมากนำเกมการต่อสู้รุนแรงมาให้เด็กเล่น ขณะที่ผู้ปกครองก็ปล่อยปละละเลย โดยไม่สนใจดููว่าเกมมีลักษณะความรุนแรงมากน้อยขนาดไหนนางสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีปัญหาน่าห่วงคือ วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา แม้กระทั่งผู้ใหญ่ติดเกมกันงอมแงม เล่นกันวันละหลายช่ัวโมง ร้านเกมในปัจจุบันก็ตกแต่งในบรรยากาศที่มอมเมาเยาวชน นอกจากนี้ เกมที่ไม่เหมาะสมมีความรุนแรงก็มีมาก ทำให้คนเล่นเกิดซึบซับอารมณ์รุนแรงตามไปด้วย เช่น เกมให้ผู้เล่นหาวิธีปล้น และเกมผู้ร้ายทำอย่างไรจึงจะไปข่มขืนผู้หญิงได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสนใจในเรื่องนี้ด้วยด้านนายอนันต์ วรธิตินันท์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ระยะหลังเยาวชนที่มีพฤติกรรมรุนแรงมีการใช้อาวุธปืนมากขึ้น จึงควรมีมาตรการในการควบคุมอาวุธปืนให้รัดกุม พร้อมทั้งเสนอให้คณะกรรมาธิการฯ ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบเรื่องการออกใบอนุญาตเปิดร้านจำหน่ายปืน และจำนวนปืนที่มีการส่ั่งเข้ามาขายว่ามีมากน้อยเท่าไรทั้งนี้ ก่อนจบการประชุม ที่ประชุมมีมติให้ประธานคณะกรรมาธิการฯ ทำหนังสือแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เข้มงวดกวดขันร้านเกมด้วย พร้อมทั้งทำหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ ขอทราบจำนวนการอนุญาตให้เปิดร้านขายปืน ย้อนหลังไป 5 ปี และจำนวนปืนท่ี่ส่ั่งเข้ามาจำหน่ายด้วย.

กรมอุทยานฯโวไฟป่าคุมได้ เล็งเพิ่มมาตรการช่วงปีใหม่

กรมอุทยานฯโวไฟป่าคุมได้ เล็งเพิ่มมาตรการช่วงปีใหม่
รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช มั่นใจคุมไฟป่าอยู่ คาดหลังปีใหม่ความชื้นลดลง เล็งเพิ่มมาตรการป้องกันไฟป่าเพิ่มขึ้น วอนชาวบ้านลด ละ เลิก การเผาในที่โล่ง...เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 55 ที่อาคารกริตสามะพุทธิ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช เป็นประธานการจัดประชุมเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง โดยนายธีรภัทร กล่าวว่า ปัจจุบันการเกิดไฟป่าถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการสำรวจพื้นที่ในภาคเหนือ ขณะนี้พบว่ามีการเผาเพื่อกำจัดเศษซากผลผลิต ที่เหลือจากการทำการเกษตร หรือการเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่ในการทำการเกษตรเท่านั้น ยังไม่พบการเกิดไฟไหม้ในพื้นที่ป่า ซึ่งขณะนี้ป่ายังคงมีความชื้น จึงทำให้เกิดไฟป่าได้ยาก สำหรับพื้นที่ในป่าพรุควนเคร็ง ก็ยังคงมีความชื้น เพราะฝนตกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาคอีสานก็แห้งแล้งเป็นบางพื้นที่เท่านั้น ดังนั้น สถานการณ์การเกิดไฟป่าทั่วประเทศในขณะนี้ จึงน่าจะสามารถควบคุมและป้องกันได้ แต่หลังปีใหม่นี้คาดว่า ความชื้นของป่าจะลดลง ความแห้งแล้งจะเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะมีมาตรการป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้นมากขึ้นเช่นกันรองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวอีกว่า กรมอุทยานฯ ได้เตรียมความพร้อมและเฝ้าระวังการเกิดปัญหาไฟป่า และภาวะหมอกควันอย่างใกล้ชิด โดยการเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง การใช้จำนวนจุดความร้อนเป็นข้อมูลประกอบในการควบคุม และแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่ สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับแนวกันไฟ พบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบทำแนวกันไฟในพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องดูพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ให้แนวกันไฟมีความเชื่อมโยงครอบคลุมในทุกพื้นที่ และสิ่งที่สำคัญคือหน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ ต้องควบคุมปริมาณการเกิดไฟป่าให้ลดน้อยลงจากปีที่แล้วประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์นอกจากนี้จะมีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง ซึ่งหากชาวบ้านจำเป็นต้องเผาในพื้นที่การเกษตร เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าไปช่วยควบคุมการเผาเพื่อไม่ให้ลุกลามไปในพื้นที่ป่า หรือแนะนำชาวบ้านให้ดำเนินการชิงเผาในช่วงเวลาที่ไม่มีความเสี่ยง รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาไฟป่า เพื่อเกิดความตระหนักและเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลด ละ เลิก การเผาในที่โล่ง ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานให้เกิดการบูรณาการประสานงานร่วมกัน เพื่อให้การปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าว.

ปี 2555 คนไทยเดือดร้อนปัญหาบริการสุขภาพ-สาธารณสุข มากสุด

ปี 2555 คนไทยเดือดร้อนปัญหาบริการสุขภาพ-สาธารณสุข มากสุด
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผย ปี 2555 คนไทยได้รับความเดือดร้อนเรื่องการบริการสุขภาพและสาธารณสุขมากที่สุด รองมาคือปัญหาหนี้บัตรเครดิต จี้รัฐเร่งคลอด กม.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค...วันที่ 21 ธ.ค. ที่สำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 6 ภูมิภาค แถลงข่าวรายงานสถานการณ์ ความทุกข์ของผู้บริโภคประจำปี 2555 ว่า จากการรับเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคผ่านศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคของมูล นิธิฯ และเครือข่ายผู้บริโภคตลอดปี 2555 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,446 ราย จากทั้งหมด 7 กลุ่มปัญหา ได้แก่ปัญหาด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข ปัญหาด้านการเงินการธนาคาร ปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาด้านสื่อและโทรคมนาคม ปัญหาด้านบริการสาธารณะ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป ปัญหาด้านอาหาร ยา และเครื่องสำอางพบว่ากลุ่มปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด อันดับ 1 คือ ปัญหาด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข มีจำนวน 718 ราย ในจำนวนนี้เป็นการร้องเรียนกรณีศูนย์ออกกำลังกาย (แคลิฟอร์เนียว้าว) ที่ปิดบริการโดยไม่แจ้งให้ทราบ แต่ยังมีการรับสมัครสมาชิกตลอดชีพ ทั้งที่ไม่สามารถเปิดให้บริการได้แล้วมากถึง 669 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 30 ล้านบาทรองลงมาคือเรื่องมาตรฐานการ รักษาพยาบาล ระบบส่งต่อผู้ป่วย และการใช้สิทธิในกองทุนฉุกเฉิน อันดับ 2 คือ ปัญหาด้านการเงินการธนาคาร มี 292 ราย ส่วนใหญ่เป็นปัญหาการชำระหนี้ไม่ตรงตามเวลา ผู้ให้บริการบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และธุรกิจเช่าซื้อ ส่วนมากมีการติดตามทวงหนี้ที่เป็นการละเมิดสิทธิ และมีคดีฟ้องร้องเป็นคดีมากขึ้นสูงกว่าปีที่ผ่านมา รองลงมาคือปัญหาจากบริษัทประกันภัย ที่มักมีข้ออ้างกับผู้บริโภคว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เข้าเงื่อนไขของ การรับประกันเลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า อันดับ 3 คือ ด้านอสังหาริมทรัพย์ 124 ราย ประเด็นที่ส่งผลกับผู้บริโภคส่วนใหญ่คือ ปัญหาบ้านจัดสรร โดยเฉพาะการผิดสัญญาซื้อขายของบ้านเอื้ออาทร ที่เจ้าของบ้านถูกธนาคารและการเคหะแห่งชาติดำเนินการเปลี่ยนแปลงสัญญา โดยอ้างว่าทางการเคหะฯ ได้ซื้อบ้านคืนแล้ว หากผู้บริโภคยังต้องการอาศัยอยู่ต่อต้องจ่ายค่าเช่าคืนละ 100 บาท และท้ายสุดการเคหะฯ ก็จะดำเนินการฟ้องคดี เพื่อขับไล่ผู้บริโภคออกจากบ้านหลังนั้นนอกจากนี้ ยังมีกรณีโครงการหมู่บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ละเลยไม่จัดหา จัดสร้างพื้นที่ส่วนกลางตามที่สัญญาไว้ในสัญญาโครงการ จำนวน อันดับ 4 ด้านสื่อและโทรคมนาคม 96 ราย พบว่ามีลักษณะของการได้รับซิมฟรีแล้วถูกเรียกเก็บเงินภายหลัง ทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้บริการคือ ปัญหาสูงสุดในขณะนี้ รองลงมาคือปัญหาวันหมด แต่เงินไม่หมด แต่ไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้ถือเป็นความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมายของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันดับ 5 คือ ด้านบริการสาธารณะ 95 ราย เรื่องร้องเรียนมากที่สุดคือ ปัญหาการชดเชยค่าเสียหายแก่ผู้โดยสารที่สูญเสียชีวิตและทรัพย์ เมื่อรถโดยสารเกิดอุบัติเหตุ ปัญหาทรัพย์สินสูญหายระหว่างการเดินทาง ที่ไม่ได้รับการชดใช้เต็มจำนวน ปัญหาการเก็บค่าบริการแพงเกินจริง ปัญหาบรรทุกเกินอันดับ 6 คือ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป มีผู้ร้องเรียน 79 ราย ส่วนใหญ่เป็นรถใหม่ป้ายแดงประกอบในไทยด้อยคุณภาพ และรถนำเข้าจากจีนด้อยคุณภาพ และอันดับ 7 ปัญหาอาหารหมดอายุแล้วยังมาจำหน่ายในห้างร้าน ฉลากกำกับ วันที่ผลิต วันหมดอายุไม่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเสมือนยารักษาโรคน.ส.สารี กล่าวอีกว่า ทุกข์ของผู้บริโภคยังมีอย่างต่อเนื่องสารพัดรูปแบบ และคาดว่าใน 2556 จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกรณีจากกรณีบัตรเดรดิตสารพัดรูปแบบตามนโยบายของรัฐบาล จากนโยบายรถคันแรกและบ้านหลังแรก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่อาจคุ้มครองผู้บริโภคได้ทั้งหมด ทางมูลนิธิจึงเรียกร้องให้ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความเป็นธรรม และเร่งคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะ อยากให้รัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 61  จัดบริการสุขภาพมาตรฐานเดียว โดยผู้ประกันตนต้องไม่รวมจ่ายเรื่องบริการสุขภาพ ออกประกาศให้รถโดยสารสาธารณะต้องทำประกันภัยชั้น 1 และมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการต่างๆ ต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด.

Thursday, December 20, 2012

มะเร็งช่องปากติด 1 ใน 10 ที่พบในคนไทยป่วย เป็นที่ลิ้นมากสุด

มะเร็งช่องปากติด 1 ใน 10 ที่พบในคนไทยป่วย เป็นที่ลิ้นมากสุด
กรมอนามัยเผยมะเร็งช่องปากติด 1 ใน 10 มะเร็งที่พบในคนไทย โดยเฉพาะมะเร็งที่ลิ้นพบมากที่สุด แนะสังเกตแผลเรื้อรังในช่องปาก หากนานเกิน 2 สัปดาห์ เสี่ยงมะเร็ง เตือนกลุ่มสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินหมากเป็นประจำ เข้าข่ายเสี่ยงด้วย...เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า มะเร็งช่องปากเป็น 1 ใน 10 อันดับแรกของมะเร็งที่พบในคนไทย ข้อมูลจากโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในปี 2555 พบมะเร็งที่ลิ้นมากที่สุดจำนวน 354 ราย โดยเป็นมะเร็งที่โคนลิ้นจำนวน 181 ราย และมะเร็งที่ส่วนอื่นของลิ้นจำนวน 173 ราย รองลงมาคือมะเร็งที่เพดานปากจำนวน 284 ราย มะเร็งที่พื้นของช่องปาก มะเร็งที่เหงือก และมะเร็งริมฝีปาก ส่วนที่ยังคงพบน้อยคือมะเร็งที่ต่อมน้ำลาย ทั้งนี้ สัญญาณเตือนของมะเร็งช่องปากในระยะแรก จะมีแผลเรื้อรังในช่องปากที่เป็นแล้วไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ มีแผ่นฝ้าสีขาวถูไม่ออกหรือแผ่นฝ้าสีแดง มีก้อนที่ปากหรือคอ ขอบลิ้น หรือขอบริมฝีปากมีลักษณะแข็งเป็นไต เจ็บคอเรื้อรัง เสียงแหบ กลืนลำบาก หรือมีอาการแสบที่ลิ้น หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งช่องปากคือผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินหมาก เป็นประจำ และมีประวัติญาติป่วยเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งในช่องปากเป็นประจำทุกปี ซึ่งการตรวจพบรอยโรคระยะแรกหรือรอยโรคก่อนมะเร็งและรีบรักษาจะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้“กรมอนามัยได้เริ่มโครงการคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งช่องปากตั้งแต่ปี 2550 เพื่อให้ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้รับการตรวจคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งช่องปากและได้รับการส่งต่อเพื่อรับการรักษา โดยผลการดำเนินงานล่าสุดในปี 2554 ใน 12 จังหวัด คือ สระบุรี สมุทรสาคร พิษณุโลก นครสวรรค์ สุพรรณบุรี ปัตตานี นครศรีธรรมราช ยะลา นครราชสีมา อุบลราชบุรี หนองบัวลำภู และแพร่ พบกลุ่มเสี่ยง 8,861 ราย อายุเฉลี่ย 53 ปี เป็นชายร้อยละ 46 หญิงร้อยละ 54 ในจำนวนนี้พบว่าสูบบุหรี่ร้อยละ 26 ดื่มเหล้าร้อยละ 18 กินหมาก ร้อยละ 8 ครอบครัวมีประวัติมะเร็งร้อยละ 11 และพบรอยโรคในช่องปากทั้งหมด 712 ราย พบรอยโรคก่อนมะเร็ง 67 ราย” นพ.เจษฎา กล่าวด้าน ทันตแพทย์สุธา เจียรมณีโชติชัย ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า สิ่งที่สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย จะดำเนินการต่อในปี 2555-2557 คือการพัฒนาศักยภาพทันตบุคลากรทั่วประเทศในการคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งช่องปากและช่วยผู้ป่วยให้เลิกบุหรี่ พัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยภายในจังหวัดและในเขต พัฒนาทันตแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในการรับส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงพัฒนาแนวทางการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคในกลุ่มเสี่ยง มีการจัดทำฐานข้อมูลผลการตรวจคัดกรองรอยโรคในช่องปาก และรณรงค์สร้างกระแสให้ประชาชน ไปรับการตรวจเนื้อเยื่อในช่องปากและได้รับการแนะนำเรื่องการเลิกบุหรี่ที่คลินิกทันตกรรม เพื่อให้อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งช่องปากลดลง.

เปิดโครงการจบ ม.6 ใน 8 เดือน ย้ำจบอย่างมีประสิทธิภาพ

เปิดโครงการจบ ม.6 ใน 8 เดือน ย้ำจบอย่างมีประสิทธิภาพ
รมว.ศึกษาธิการ เปิดโครงการจบ ม.6 ใน 8 เดือน ชี้ผู้เรียนจะจบอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำวุฒิเรียนต่อระดับปริญญาตรีได้... เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่อิมแพค เมืองทองธานี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการยกระดับการศึกษาประชาชน จบ ม.6 ใน 8 เดือน อย่างมีคุณภาพ โดยมีผู้สนใจสมัครเรียนเข้าร่วมงาน จำนวน 3,159 คน รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การพัฒนาประชาชนในสังคมทุกคนให้มีการศึกษาที่ดีเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งการศึกษาที่แท้จริงคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะความรู้มีอยู่ทุกที่ สำหรับบางคนที่ไม่ได้จบในระบบการศึกษาเพราะต้องไปทำงานไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ หรืออาชีพใดๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่มเพาะให้เกิดการเรียนรู้ เกิดการสั่งสมประสบการณ์ จนบางครั้งคนที่อยู่นอกระบบการศึกษาเหล่านี้มีความรู้มากกว่าคนที่อยู่ในระบบการศึกษาเสียอีกทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายที่จะยกระดับการศึกษาของประชาชน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้จบในระบบการศึกษาสามารถเรียนจบ ม.6 ได้ในเวลา 8 เดือนอย่างมีคุณภาพ รัฐบาลจึงต้องการเปิดโอกาสให้คนทำงานที่มีความรู้ และประสบการณ์การทำงานระดับหนึ่ง มีอายุ 20 ปีขึ้นไป นำประสบการณ์ที่มีมาเทียบโอนความรู้กับ กศน.ซึ่งได้กำหนดมาตรฐานการเทียบโอนไว้อย่างชัดเจน นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า ในส่วนของภาคทฤษฎีที่ขาดก็จะส่งเสริมเติมเต็มได้ โดยคนที่จบได้วุฒิ ม.6 หากต้องการนำวุฒิไปสมัครเรียนต่อระดับปริญญาตรีได้ ซึ่งวุฒิการศึกษาที่ได้ถือว่ามีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่าผู้จบการศึกษาในระบบโรงเรียน อย่างไรก็ตาม หากเราส่งเสริม คนในประเทศมีการศึกษาสูงขึ้น ก็จะเป็นผลักดันให้ประเทศไทยแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้มากขึ้น ดังนั้น ยืนยันว่ารัฐบาลและ ศธ.จะสนับสนุนทุกทางและผลักดันให้การดำเนินการโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ และผู้ที่จบต้องจบอย่างมีคุณภาพแน่นอน.

เพิ่มผู้แสวงบุญสังเวชนียสถานที่อินเดีย-เนปาล รวม 4 รุ่น

เพิ่มผู้แสวงบุญสังเวชนียสถานที่อินเดีย-เนปาล รวม 4 รุ่น
รัฐบาลอนุมัติงบฯ แสวงบุญสังเวชนียสถาน เพิ่มเป็น 4 รุ่น พ่วง 6 โครงการ รวม 60 ล้าน ส่งเสริมให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน เดินทางไปสังเวชนียสถาน นำมาถ่ายทอดองค์ความรู้จากประสบการณ์จริง...เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) กล่าวว่า จากการที่ ศน.ได้จัดโครงการส่งเสริมพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปประกอบศาสนกิจ ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ประเทศอินเดียและเนปาลนั้น ขณะนี้รัฐบาลได้เห็นชอบขยายโครงการดังกล่าวเพิ่มจาก 1 รุ่น เป็น 4 รุ่น เดินทางรุ่นละ 130 คน รวม 520 รูป/คน ซึ่งขณะนี้ ศน.ได้คัดเลือกพระสังฆาธิการ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ผู้บริหารศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ นักเรียน นักศึกษา ที่มาร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาต่อเนื่อง วัฒนธรรมจังหวัด ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา โดยนับเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลเห็นความสำคัญของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา และจะทำให้คนไทยเห็นความสำคัญของการเดินทางไปจาริกบุญสถานที่ ที่เกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยนายปรีชา กล่าวต่อว่า โครงการส่งเสริมพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปประกอบศาสนกิจ ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จำนวน 38 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น กองทุนดังกล่าวยังได้สนับสนุนโครงการต่างๆ อีก 6 โครงการ ได้แก่ โครงการสนับสนุนกิจกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา งบประมาณ 7.5 ล้านบาท โครงการส่งเสริมเรียนรู้ศาสนพิธีและเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ 2 ล้านบาท โครงการคลินิกคุณธรรมในสถานศึกษา 7.5 ล้านบาท โครงการพัฒนาสมรรถนะพระธรรมวิทยากรในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ 3 ล้านบาท โครงการส่งเสริมการดำเนินงานและบริหารกองทุน 1,812,800 บาท และโครงการค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงาน 187,200 บาท รวมงบประมาณที่กองทุนสนับสนุน จำนวน 60 ล้านบาท“เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่รัฐบาลเห็นความสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งในปีงบประมาณ 2557 กรมการศาสนา ก็จะเสนอโครงการส่งเสริมพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปประกอบศาสนกิจ ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ประเทศอินเดียและเนปาล จำนวน 4 รุ่นทุกปี เพื่อส่งเสริมให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ที่ได้เดินทางไปสังเวชนียสถาน ได้มาถ่ายทอดองค์ความรู้จากประสบการณ์จริงให้ผู้อื่นได้อย่างถูกต้องต่อไป” อธิบดีกรมการศาสนา กล่าว.

Wednesday, December 19, 2012

โยน ก.พ.ร.ศึกษาตั้ง กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

โยน ก.พ.ร.ศึกษาตั้ง กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
นิวัฒน์ธำรง เผย นายกฯเล็งปรับโครงสร้างราชการปี 56 หวังเพิ่มประสิทธิภาพงานทุกกระทรวง โยน ก.พ.ร.ศึกษา เรื่องรวมกระทรวงวัฒนธรรมเข้ากับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว...เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 55 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) เสนอแนวคิดให้มีการปรับโครงสร้างรวม วธ. เข้ากับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ส่วนเรื่องกีฬาก็ควรมีการปรับแยกเป็นอีกกระทรวงหนึ่งว่า นายสนธยายังไม่ได้มาหารือกับตนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่มีการพูดคุยเพียงเล็กน้อยในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) เข้ามาศึกษาในเรื่องดังกล่าวก่อน ส่วนตัวเห็นว่า วธ.และ กก.ได้ทำงานร่วมกันมาอยู่แล้ว และจะมีอีกส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านศาสนา คือ กรมการศาสนา (ศน.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยว ไม่ได้มีแค่ด้านวัฒนธรรมและศาสนาเท่านั้น ยังมีเรื่องของธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องของโครงสร้างระบบราชการ ที่จะต้องนำมาดูกันทั้งหมดไม่ใช่เพียงแต่ วธ. และกก.เท่านั้น ซึ่งรัฐบาลเข้ามาทำงานได้ 1 ปีกว่า กำลังดูอยู่และก็มีแนวคิดที่จะปรับโครงสร้างโดยภาพรวมทั้งหมดในขณะเดียวกัน ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างทั้งหมด รัฐบาลก็ต้องสอบถามความคิดเห็นจากทุกกระทรวงก่อน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา รัฐบาลได้เก็บรวบรวมข้อมูลการทำงานของทุกหน่วยงานราชการทั้งหมด พบว่าการทำงานไม่มีปัญหา แต่ต้องกลับมาพิจารณาว่า การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุดหรือยัง เราคงต้องดูว่าทุกหน่วยงานจะทำให้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร เช่น เรื่องน้ำมีหน่วยงานดูแล 17 หน่วยงาน เป็นต้นซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาดูเรื่องปรับโครงสร้างให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคตคาดว่าในปี 2556 จะต้องมีการหารือเรื่องปรับโครงสร้างระบบราชการ โดยแนวคิดนายสนธยาก็เป็นแนวคิดหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการปรับโครงสร้างอยู่ ว่าจะทำอย่างไรให้หน่วยงานเกิดประสิทธิภาพอัตรากำลังเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม บางงานทำมาหลายปีแล้ว ยังคงล้าสมัยหรือบางงานควรจะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เช่น การทำหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการให้ ส่งผลให้การออกหนังสือเดินทางเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นต้น ซึ่งต้องมีการคิดและพัฒนาอยู่ตลอด และนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงตลอดว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำ โดยจะต้องค่อยๆปรับ ไม่ใช่ปรับรวดทีเดียว นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวนิวัฒน์ธำรง เผย นายกฯเล็งปรับโครงสร้างราชการปี 56 หวังเพิ่มประสิทธิภาพงานทุกกระทรวง โยน ก.พ.ร.ศึกษา เรื่องรวม กระทรวงวัฒนธรรมเข้ากับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว...เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 55 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) เสนอแนวคิดให้มีการปรับโครงสร้างรวม วธ. เข้ากับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ส่วนเรื่องกีฬาก็ควรมีการปรับแยกเป็นอีกกระทรวงหนึ่งว่า นายสนธยายังไม่ได้มาหารือกับตนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่มีการพูดคุยเพียงเล็กน้อยในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) เข้ามาศึกษาในเรื่องดังกล่าวก่อน ส่วนตัวเห็นว่า วธ.และ กก.ได้ทำงานร่วมกันมาอยู่แล้ว และจะมีอีกส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านศาสนา คือ กรมการศาสนา (ศน.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยว ไม่ได้มีแค่ด้านวัฒนธรรมและศาสนาเท่านั้น ยังมีเรื่องของธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องของโครงสร้างระบบราชการ ที่จะต้องนำมาดูกันทั้งหมดไม่ใช่เพียงแต่ วธ.และกก.เท่านั้น ซึ่งรัฐบาลเข้ามาทำงานได้ 1 ปีกว่า กำลังดูอยู่และก็มีแนวคิดที่จะปรับโครงสร้างโดยภาพรวมทั้งหมดในขณะเดียวกัน ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างทั้งหมด รัฐบาลก็ต้องสอบถามความคิดเห็นจากทุกกระทรวงก่อน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา รัฐบาลได้เก็บรวมรวมข้อมูลการทำงานของทุกหน่วยงานราชการทั้งหมด พบว่าการทำงานไม่มีปัญหา แต่ต้องกลับมาพิจารณาว่า การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุดหรือยัง เราคงต้องดูว่าทุกหน่วยงานจะทำให้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร เช่น เรื่องน้ำมีหน่วยงานดูแล 17 หน่วยงาน เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาดูเรื่องปรับโครงสร้างให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคตคาดว่าในปี 2556 จะต้องมีการหารือเรื่องปรับโครงสร้างระบบราชการ โดยแนวคิดนายสนธยาก็เป็นแนวคิดหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการปรับโครงสร้างอยู่ ว่าจะทำอย่างไรให้หน่วยงานเกิดประสิทธิภาพอัตรากำลังเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม บางงานทำมาหลายปีแล้ว ยังคงล้าสมัยหรือบางงานควรจะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เช่น การทำหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการให้ ส่งผลให้การออกหนังสือเดินทางเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นต้น ซึ่งต้องมีการคิดและพัฒนาอยู่ตลอด และนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงตลอดว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำ โดยจะต้องค่อยๆ ปรับ ไม่ใช่ปรับรวดทีเดียว นายนิวัฒน์ธำรง กล่าว

มโนพัศ ส่อเลิกรื้อถอนรีสอร์ทรุกอช. อ้างต้องฟังเสียงคนพื้นที่

มโนพัศ ส่อเลิกรื้อถอนรีสอร์ทรุกอช. อ้างต้องฟังเสียงคนพื้นที่
ส่อเค้าไม่รื้อถอนรีสอร์ทบ้านพักรุกอุทยานฯ ต่อ อธิบดีกรมอุทยานฯ คนใหม่ เผยสถานการณ์เปลี่ยนต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ ระบุไม่มีใครได้ประโยชน์จากการรื้อถอนทุบทิ้ง แย้มอาจมีการเปิดให้เช่าอุทยานฯ...เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ช่วงเช้าได้มีบรรดาข้าราชการกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้ทยอยเดินทางเข้ามอบกระเช้าดอกไม้แสดงความยินดีกับนายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว รองอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มข้าราชการส่วนใหญ่ที่เดินทางมาแสดงความยินดีกับนายมโนพัศ เป็นข้าราชการที่จบจากสายโรงเรียนป่าไม้แพร่นายมโนพัศ ให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายที่จะดำเนินการต่อไป คือจะรักษาพื้นที่ป่าที่มีไว้ให้ได้ ด้วยการบล็อกพื้นที่ป่าไม่ให้มีการบุกรุกทำลายใหม่ ส่วนพื้นที่ที่ถูกบุกรุกไปแล้วจะจัดการอย่างไร ซึ่งต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ว่าจะเข้ามาร่วมดูแลพื้นที่อย่างไร โดยพื้นที่บุกรุกใหม่จะใช้กฎหมายบังคับอย่างเด็ดขาด แต่ส่วนที่อยู่มาก่อนแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องมาตรวจพิสูจน์สิทธิ์ให้ชัดเจนก่อน ส่วนเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายก็ต้องมีบ้างตามความเหมาะสม แต่จะพยายามดำเนินการให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้น้อยที่สุด ผู้สื่อข่าวถามถึงการดำเนินการแก้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ โดยเฉพาะอุทยานฯ ทับลาน จ.นครราชสีมา และอุทยานฯ สิรินาถ จ.ภูเก็ต จะต้องดำเนินการต่อหรือไม่ นายมโนพัศ กล่าวว่า ต้องทำตามกฎหมาย หากศาลมีคำสั่งให้รื้อถอนก็ต้องดำเนินการตาม และขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ว่าจะทุบทิ้งหรือทำอย่างอื่นก็ต้องว่ากันต่อไป รวมทั้งจะทำอย่างไรก็ให้เกิดความสมดุลในเรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเมื่อถามว่าแสดงว่านโยบายในยุคของนายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่มีการรื้อถอนรีสอร์ท บ้านพักที่บุกรุกพื้นที่ป่าไม่เหมะสมหรือไม่ นายมโนพัศ กล่าวต่อว่า การดำเนินการในยุคของนายดำรงค์เป็นสิ่งที่ถูกต้องในเวลานั้น ซึ่งต้องขอชื่นชมว่านำร่องไว้ได้ดีมาก แต่จุดเปลี่ยนคือวันนี้ต้องมองถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ใครจะเป็นคนได้ประโยชน์จากการทุบรีสอร์ทเนื้อที่ 50–100 ไร่ ได้ป่าคืนมาเปรียบเทียบกับการเอาประโยชน์ทางอื่นว่าอย่างไหนจะเกิดประโยชน์สูงสุด   เมื่อถามถึงแนวทางการให้รีสอร์ท และบ้านพักตาอากาศ ที่บุกรุกพื้นที่อุทยานฯ เช่าพื้นที่เพื่อประกอบการต่อได้นั้น นายมโนพัศ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน ต้องรอจุดสมดุลหลายอย่าง ซึ่งก็ต้องมองว่าส่วนหนึ่งของการบุกรุก แต่อีกส่วนก็เป็นข้าราชการของเราที่ปล่อยปละละเลย ซึ่งต้องรอดูนโยบายของรัฐบาลว่าจะมีความชัดเจนอย่างไร แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนนั้น กรมอุทยานฯ จะต้องเร่งเดินหน้าพิสูจน์สิทธิ์ให้ชัดเจนก่อน เพราะถ้าไม่มีการพิสูจน์สิทธิ์ก็คงไม่มีใครยอมรับผิด ทุกคนก็ต่างอ้างเอกสารที่ตัวเองถือครองอยู่ และคงไม่มีใครยอมมาเช่าที่อุทยานฯ ด้าน นายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานฯ ทับลาน กล่าวว่า พร้อมรับนโยบายใหม่ที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งการมา แต่เกรงว่าไม่มีการรื้อถอนรีสอร์ทบ้านพัก ที่บุกรุกอุทยานฯ ตามมาตรา 22 พ.ร.บ.อุทยานฯ ตนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน อาจถูกฟ้องร้องในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แน่นอน ซึ่งกรมอุทยานฯ ก็ต้องเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือในเรื่องกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานหรือทางกรมอุทยานฯ จะต้องมีมาตรการเยียวยาให้กับผู้ประกอบการที่ได้รื้อถอนไปแล้วทั้งหมดจำนวน 27 ราย เป็นเรื่องที่กรมอุทยานฯ ต้องพิจารณา.

เอ็นจีโอ-นักวิชาการดักคอปลอด ยึกยักออกกม.ห้ามขายเหล้าบนทางเท้า

เอ็นจีโอ-นักวิชาการดักคอปลอด ยึกยักออกกม.ห้ามขายเหล้าบนทางเท้า
เอ็นจีโอ-นักวิชาการ ดักคอ “ปลอดประสพ” หลังลังเล ออกกฎหมาย ห้ามขายเหล้าบนทางเท้า ซัดกลุ่มทุนเสียผลประโยชน์ ชงสร้างวาทกรรมขูดรีดคนจน ชี้ ร้านเหล้าริมทาง พุ่งเป้าเด็กเยาวชน...วันที่ 19 ธ.ค. ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี  ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.)  กล่าวถึงกรณีที่มติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง พ.ศ. ... ที่ล่าสุด นายปลอดประสพ สุรัสวดี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ออกมาระบุว่า ควรใช้มาตรการทางสังคมมาดูแล และไม่มั่นใจว่า การออกกฎหมายจะเดินมาถูกทางหรือไม่  ว่าการขายสุราบนถนน และทางเท้า มีความสัมพันธ์กับการดื่มที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อปัญหาเฉียบพลัน ทั้งอุบัติเหตุ ความรุนแรง ความปลอดภัย และด้านความสะอาด สงบเรียบร้อย มักพบว่า คนที่ไม่ได้ดื่มด้วย จำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อจากปัญหาเหล่านี้ และที่สำคัญร้านเหล้า ริมทางจำนวนมากยังมุ่งไปที่เยาวชนอีกด้วยกฎหมายนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การห้ามดื่ม แต่เป็นการจัดระเบียบทำให้การขายสุราเป็นระบบระเบียบมากขึ้น และเป็นการช่วยทำให้ถนนและทางเท้าของเราปลอดภัยมากขึ้น  ประเทศพัฒนาแล้ว จำนวนมาก มีกฎระเบียบชัดเจนในการห้ามการขายในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะบนถนนและทางเท้า ต้องไม่ลืมว่ากรุงเทพฯ ถูกโหวตให้เป็นเมือง ที่ร้านอาหารริมทางดีที่สุด การทำให้ร้านอาหารและทางเท้า สะอาด ปลอดภัย จะเป็นอีกหนทางในการนำเงินเข้าประเทศได้ ซึ่งที่ผ่านมา มักมีข่าวบ่อยๆ ว่า คนเดินถนน และ นักท่องเที่ยวก็ตกเป็นเหยื่อของปัญหาจากการดื่ม“ไม่ควรตกหลุมพรางทางความคิดว่า กฎหมายนี้เป็นการรังแกคนจน เพราะคนที่มีรายได้น้อยนั้น จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์และการปกป้องจากมาตรการนี้ คนจนมีความเสี่ยงต่อปัญหาสูง และเมื่อเกิดปัญหาก็มีผลกระทบรุนแรงกว่าคนรวย  และหากดูจากผลการสำรวจ เอแบคโพลล์จะเห็นชัดว่า กลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยที่สุดในสังคม กว่าร้อยละ 80 ที่สนับสนุนการห้ามขายบนทาง และไม่ใช่เป็นการตอบคำถามโดยไม่ได้คิดใคร่ครวญให้ดี ดังที่มีการโจมตี เพราะอีกการสำรวจที่ถามคำถามปลายเปิดว่า ควรห้ามขายสุราที่ไหน กลุ่มตัวอย่างก็เห็นว่า ควรห้ามขายบนถนนและทางเท้าเป็นอันดับหนึ่ง” ภก.สงกรานต์  กล่าวผู้อำนวยการ สคล. กล่าวอีกว่า จากคำพูดนักวิชาการบางท่าน ที่มองว่า การห้ามขายน้ำเมาบนทางเท้าเป็นการรังแกคนจน  น่าจะเป็นการมองจากมุมเดียว แต่หากมองจากมุมของคนจน และสังคมทั้งระบบ โดยเฉพาะจากมิติครอบครัวแล้ว กลับเป็นการช่วยให้ครอบครัวของคนจนดีขึ้นหลายทาง งานวิจัยของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล  และ รพ.รามาธิบดี พบว่าในครอบครัวที่มีคนดื่มน้ำเมา จะทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าดังนั้น การช่วยให้คนในครอบครัว ไม่ต้องไปตั้งวงดื่มน้ำเมาอยู่บนทางเท้า จึงเป็นการช่วยลดความรุนแรงในครอบครัวไปในตัวด้วย ควรเปลี่ยนค่าน้ำเมาเป็นค่าอาหารที่กินทั้งครอบครัว สร้างความอบอุ่น และทำให้ร้านขายอาหารซึ่งเป็นคนจน ก็ได้กำไรจากการขายอาหารมากขึ้น แทนที่จะต้องไปเสียค่าน้ำเมาให้คนที่ร่ำรวยมหาศาลแล้ว นักวิชาการ ควรทำหน้าที่ปกป้องคนจนให้ถูกวิธี ต้องไม่กลายเป็นเครื่องมือของธุรกิจน้ำเมา โดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ  แล้วกลับมาทำร้ายคนจนทั้งครอบครัว ทำลายเศรษฐกิจและสังคม เพราะแม้แต่ธนาคารโลก ซึ่งชำนาญเรื่องเศรษฐกิจ ยังแนะนำว่ายิ่งควบคุมการดื่มน้ำเมามากเท่าใด ยิ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมมากเท่านั้น“จากงานวิจัยของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กฯ พบว่า เด็กเกือบครึ่งหนึ่งทำผิดหลังจากดื่มน้ำเมา  คนเป็นโรคเอดส์ มากกว่าครึ่งหนึ่งที่วัดพระบาทน้ำพุ เพราะน้ำเมา รวมทั้งเยาวชนมีแนวโน้มติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น รวมทั้งแอลกอฮอล์ทำลายสมองเยาวชน ทำลายชาติ  และสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ธุรกิจน้ำเมาต้องตระหนักว่าสินค้าที่ทำกำไรให้ร่ำรวยติดอันดับโลกอยู่แล้ว ไม่ใช่สินค้าธรรมดาเหมือนสินค้าอื่นๆ แต่ทำลายสังคมในทุกมิติ จึงไม่ควรทำการตลาดอย่างไม่มีจริยธรรม และต้องไม่ขัดขวางกฎหมายและมาตรการดีๆ ที่จะลดปัญหาให้สังคม และเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ” ภก.สงกรานต์ กล่าวขณะที่ ดร.นิษฐา  หรุ่นเกษม เครือข่ายนักวิชาการเฝ้าระวังภัยจากปัญหาแอลกอฮอล์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร   กล่าวว่า มาตรการนี้ จะทำให้คนทุกกลุ่มคนในทุกชนชั้นได้ใช้พื้นที่ได้ใช้ทางสาธารณะอย่างปลอดภัย แต่กำลังจะถูกเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ที่แท้จริง ด้วยการใช้วาทกรรมแห่งการแบ่งแยก ระหว่างความจนกับความรวย เพราะสิ่งที่มาตรการนี้กำลังจัดการคือกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำเมา กลุ่มทุนหลัก ที่กำลังครอบครองพื้นที่สาธารณะของบุคคล พื้นที่สาธารณะที่มีอยู่ของพวกเราไม่ได้เป็นพื้นที่ของเรา เมื่อถูกควบรวมให้กลายเป็นเพียงพื้นที่ทางการตลาดในการขายน้ำเมาและโฆษณาน้ำเมา“เราทุกคนจะได้ประโยชน์จากการไม่มีน้ำเมาขายบนทางสาธารณะด้วยกัน คิดถึงงานเทศกาลต่างๆ เช่นกรณีบั้งไฟ กาชาด หรือสงกรานต์ ที่ร้านขายเหล้าเบียร์เกลื่อน และกลายเป็นปัญหาที่ไปทำลายประเพณีวัฒนธรรมคุณค่าเดิมในงานเหล่านั้น กลายเป็นช่องทางที่ บริษัทเหล้าใช้เป็นช่องทางในการทำมาหากิน จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตามถนนประเด็นนี้ก็ไม่ควรลืม นอกจากวาทกรรมคนจน คือ ช่องว่างทางกฎหมาย ที่บริษัทเหล้าจงใจใช้เป็นช่องทางส่งเสริมการขายในงานเทศกาลต่างๆ จนเป็นปัญหาของสังคมอยู่ตอนนี้” ดร.นิษฐา กล่าว.

Sunday, December 16, 2012

จี้ห้ามสถานศึกษารับสปอนเซอร์น้ำเมา

จี้ห้ามสถานศึกษารับสปอนเซอร์น้ำเมา
จากเวทีเสวนา “การทำ CSR ของบริษัทน้ำเมาสร้างภูมิคุ้มกันหรือมอมเมาเด็กเยาวชน” จัดโดยมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ดร.ศรีรัช  ลอยสมุทร นักวิชาการคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR ของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นการทำเพื่อสร้างภาพในลักษณะโจรกลับใจเพื่อให้คนไทยยอมรับได้ ซึ่งผลวิจัยสะท้อนให้เห็นว่าการทำ CSR ของธุรกิจเหล่านี้ สามารถฟอกภาพให้ดูขาวสะอาดทั้งที่เป็นการมอมเมา โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนซึ่งไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างการขายกับการโฆษณาในลักษณะ CSR จึงทำให้ไม่เข้าใจเบื้องหลังของธุรกิจนี้ แม้ CSR จะไม่สามารถกระตุ้นยอดขายในเวลาที่รวดเร็ว แต่จะสร้างความจงรักภักดีให้เกิดกับแบรนด์ ฉายให้เห็นภาพช่วยเหลือสังคม เช่น การแจกเงิน ให้ทุนการศึกษาหรือสิ่งของที่มีโลโก้ตัวเอง สร้างความน่าเชื่อถือเมื่อภาพลักษณ์ดีคนก็จะซื้อสินค้า สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องทำคือปลูกฝัง สอนให้เด็กแยกแยะและให้ความรู้กับเด็ก นอกจากนี้ต้องทำเป็นนโยบายจากส่วนกลาง แจ้งโดยตรงให้ทุกสถาบันปฏิเสธการรับสปอนเซอร์จากบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจนี้เข้ามาทำกิจกรรมในสถานศึกษาเข้าถึงกลุ่มเยาวชนซึ่งไม่รู้เท่าทันนายสุเทพ สดชื่น ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า ช่วงปีใหม่หลายพื้นที่เริ่มมีกิจกรรมลานเบียร์ต่างๆ ร้านเหล้า ผับบาร์รอบสถานศึกษาก็โหมส่งเสริมการขายลด แลก แจก แถม ดูดเม็ดเงินจากนิสิตนักศึกษาเป็นการกระตุ้นยอดขายโดยตรง หรือแม้แต่การทำกิจกรรม CSR แบบปลอมๆเพื่อกลบเกลื่อนภาพร้ายๆ ก็เป็นเรื่องที่สังคมและสถานศึกษายังตามไม่ทันเล่ห์กลดังกล่าว จึงอยากเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการออกประกาศห้ามมิให้สถานศึกษา รับสปอนเซอร์หรือร่วมกิจกรรมกับบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันเยาวชนและสถานศึกษาตกเป็นเหยื่อ.

ตรวจวัณโรครู้ผลภายใน 24 ชั่วโมง

ตรวจวัณโรครู้ผลภายใน 24 ชั่วโมง
นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศ ไทยเป็น 1 ใน 22 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรครุนแรง คาดว่าไทยมีผู้ป่วยวัณโรคทุกชนิดประมาณ 130,000 คน เสียชีวิตปีละกว่า 11,000 ราย ทั้งนี้ ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้พัฒนาการตรวจวัณโรคเพื่อให้รู้ผลเร็ว ซึ่งจะช่วยให้การตรวจวินิจฉัย และการดูแลผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อวัณโรคมีประสิทธิภาพและลดการแพร่ติดต่อของโรคได้ โดยใช้เทคนิคตรวจสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมาจากตัวอย่างเลือด ซึ่งจะรู้ผลภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่การเพาะเชื้อวัณโรคใช้เวลา 4-8 สัปดาห์ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นหน่วยงานแรกที่ทำการศึกษาวิจัย และนำเทคนิคนี้มาใช้เพื่อการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อวัณโรคในประเทศไทย ด้วยระบบคุณภาพสากล โดยใช้ตรวจการติดเชื้อวัณโรคในกลุ่มเสี่ยงต่างๆ เช่น ผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ใช้ช่วยตรวจวินิจฉัยผู้สงสัยเป็นวัณโรค หรือผู้ป่วยวัณโรคที่เก็บเสมหะตรวจไม่ได้ผู้ป่วยวัณโรคนอกปอด เป็นต้น.

โพลชี้ชาวบ้านเห็นใจปูแก้โกงเหลว หนักใจของแพง

โพลชี้ชาวบ้านเห็นใจปูแก้โกงเหลว หนักใจของแพง
ประชาชนเห็นใจ “นายกฯ ปู” เรื่องบริหารบ้านเมือง และแก้คอรัปชัน ส่วน “อภิสิทธิ์” เห็นใจเรื่องคดีดีเอสไอ หนักใจเรื่องของแพง เงินไม่พอใช้ ประชาชนหมดความสุขช่วงปีใหม่เรื่องปัญหาอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้เปิดเผยความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ กรณี “คนไทย” กับ “บ้านเมืองไทย” ณ วันนี้  จำนวน 1,523 คน ระหว่างวันที่ 9-15 ธันวาคม 2555 สรุปผลดังนี้ เมื่อถามว่า “ความหนักใจ” ของประชาชน ณ วันนี้ ประชาชน 40.26% เห็นว่า เป็นเรื่องเศรษฐกิจ /สินค้าแพง /เงินไม่พอใช้ วิธีแก้ ใช้จ่ายอย่างประหยัด ซื้อของเท่าที่จำเป็น ทำงานพิเศษ 18.57% เห็นว่าเรื่องปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ วิธีแก้ ประชาชนในพื้นที่ต้องเป็นหูเป็นตาช่วยกันสอดส่องดูแล เพิ่มกำลังทหาร ตำรวจ  มีมาตรการขั้นเด็ดขาด และ 17.53% เห็นว่าเป็นเรื่องการสร้างความปรองดอง วิธีแก้ ลดทิฐิ หันหน้าเข้าหากัน 12.30% ตอบว่า การแก้รัฐธรรมนูญ วิธีแก้ รัฐบาลจะต้องชี้แจงและสร้างความเข้าใจที่ดีแก่ทุกฝ่าย ทำตามขั้นตอนต่างๆ อย่างถูกต้อง ฟังเสียงส่วนใหญ่ และ 11.34% เห็นว่าเป็นเรื่องยาเสพติด วิธีแก้ การปราบปรามเด็ดขาด พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น เป็นต้น เมื่อถามว่าเรื่องใดที่ประชาชนรู้สึกเห็นใจและสงสาร “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ประชาชนส่วนใหญ่ 48.45% ตอบว่า การบริหารบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาทุจริตคอรัปชันในโครงการต่างๆ ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ 20.84% ประสบการณ์การทำงานด้านการเมือง ถูกเพ่งเล็งในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าสาธารณชน 18.33% เรื่องครอบครัว ความเกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง 12.38% การสร้างผลงานให้ถูกใจทุกคน ความกดดันจากสังคมโดยเฉพาะนักวิชาการและฝ่ายค้านเมื่อถามว่า เรื่องใดที่ประชาชนรู้สึกเห็นใจและสงสาร “อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์” ประชาชนส่วนใหญ่ 46.28% ตอบว่า โดนคดีความทางการเมือง ดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหา 2 คดี (สั่งสลายการชุมนุม ปี 53 และเงินบริจาค) 29.78% การเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมาก 12.69% ถูกต่อต้าน โจมตี ขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวโดยเฉพาะการเกณฑ์ทหาร 11.25% ไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านเท่าที่ควร ต้องทำหน้าที่อย่างโดดเดี่ยวเมื่อถามว่าเรื่องใดที่อาจจะทำให้ประชาชนหมดความสุขในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่ 35.79% เห็นว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุ ความไม่ปลอดภัย /การเดินทาง การจราจรติดขัด 25.74% ข้าวของแพง เงินไม่พอใช้ / ไม่มีเงินเที่ยวปีใหม่หรือให้พ่อแม่ 19.31% สถานการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวาย /นักการเมืองทะเลาะเบาะแว้ง / การชุมนุมต่างๆ ม็อบ 13.87% เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ และ 5.29% ภัยธรรมชาติ ข่าวลือวันสิ้นโลก

Blog Archive