Friday, January 4, 2013

ถอด ไคร้เครือ ออกจากบัญชียาหลัก

ถอด ไคร้เครือ ออกจากบัญชียาหลัก
นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงกรณีที่องค์การอนามัยโลกมีการตรวจพบสารก่อมะเร็งและเป็นพิษต่อไตอย่างรุนแรงจากสมุนไพรรากไคร้เครือ ว่า สำหรับสมุนไพรไคร้เครือ ในปัจจุบันยังไม่พบปัญหาการเกิดสารก่อมะเร็งในประเทศไทย เหมือนกับที่พบในหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน และเบลเยียม แต่ในเบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการพัฒนายาแห่งชาติได้มีมติให้นำไคร้เครือออกจากส่วนผสมของตำรับยาที่ระบุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ จำนวน 10 รายการ ตั้งแต่ปี 2554 แล้ว อาทิ ยาอัมฤควาที แก้ไอ ยาตรีหอมแก้วิงเวียน ยาหอมอินทจักร์ ยาหอมนวโกศ แก้วิงเวียน ยาวิสัมพยาใหญ่ ยาธาตุบรรจบ ยามันทธาตุ ยาประสะเจตพังคี ยาประสะกานพลู และยาเขียวหอม ดังนั้น ประชาชนจึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของกรมแพทย์แผนไทยจะไม่มีส่วนผสมของสมุนไพรไคร้เครือ และมีคุณภาพมาตรฐานเพราะมีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อยู่ตลอด.

สภากาชาดไทยสร้าง ศูนย์ผลิตภัณฑ์พลาสมา

สภากาชาดไทยสร้าง ศูนย์ผลิตภัณฑ์พลาสมา
นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย แถลงข่าวการลงนามสัญญาก่อสร้าง “ศูนย์ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสมา” ร่วมกับบริษัท Green Cross Corporation สาธารณรัฐเกาหลี ว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยสามารถนำพลาสมามาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โลหิตเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยได้ตั้งแต่ปี 2522 แต่สามารถผลิตได้เพียงบางชนิดและผลิตได้ในปริมาณจำกัดคือประมาณ 10,000 ลิตรต่อปี ขณะที่ความต้องการของผู้ป่วยสูงขึ้น ทำให้ต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเป็นหลักซึ่งมีราคาแพง ส่งผลให้โรงพยาบาลทั่วประเทศต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูง ดังนั้น เพื่อสนองต่อนโยบายบริการโลหิตแห่งชาติ พ.ศ.2553 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติจึงจัดตั้งศูนย์ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสมาขึ้น เพื่อลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานการผลิตยา (GMP) โดยศูนย์ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสมาจะก่อสร้างในที่ดินเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ซึ่งในปี 2558 จะเริ่มผลิต โดยจะสามารถผลิตได้ 200,000 ลิตรต่อปี ช่วยลดการนำเข้าได้ 1,000 ล้านบาท และสามารถคืนทุนได้ภายใน 3 ปีด้าน H.E.Mr.Jeon, Jae Man เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย กล่าวว่า สาธารณรัฐเกาหลีและไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตตั้งแต่ปี 2501 ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ซึ่งการร่วมมือจัดตั้งศูนย์ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสมาในครั้งนี้ จะช่วยให้เกิดความร่วมมือใหม่ๆในอนาคตระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีและไทยต่อไป.

เครือข่ายคนจนร้อง พม. ดำเนิน โครงการบ้านมั่นคง ต่อ

เครือข่ายคนจนร้อง พม. ดำเนิน โครงการบ้านมั่นคง ต่อ
สหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ ยื่นข้อเรียกร้องต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วอนให้ดำเนินการ โครงการบ้านมั่นคง ต่อ เพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของคนรากหญ้า และลดปัญหาชุมชนแออัดอย่างแท้จริง... เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยหลังการหารือกับตัวแทนสหพันธ์พัฒนา องค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) ว่า สหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เรื่องปัญหาที่อยู่อาศัย โดยให้กระทรวงฯดำเนินการ โครงการบ้านมั่นคง ต่อไป ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) แทน โครงการบ้านเอื้ออาทร ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เนื่องจากโครงการบ้านมั่นคงเป็นโครงการที่ให้การสนับสนุนคนจนและคนรากหญ้าอย่างแท้จริง ทำให้คนจนมีที่อยู่อาศัย สามารถสร้างบ้านได้เองตามวงเงินที่กำหนด โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ พอช. เข้ามาช่วยควบคุมดูแลการสร้างบ้าน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้าง แต่โครงการบ้านเอื้ออาทรนั้น ไม่ได้สร้างเพื่อคนรากหญ้าอย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ที่สามารถเข้าไปอยู่ในบ้านเอื้ออาทรได้ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้ เนื่องจากต้องทำการผ่อนซื้อเป็นรายเดือน โดยวงเงินที่ผ่อนอยู่ระหว่าง 2,000 – 4,000 บาท/เดือน และต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ประจำ ซึ่งคนรากหญ้าส่วนใหญ่ไม่ได้ประกอบอาชีพประจำและไม่มีเงินเดือนประจำ จึงทำให้ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในโครงการบ้านเอื้ออาทรได้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯได้รับพิจารณาตามข้อเรียกร้องของสหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) โดยได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนให้เป็น โครงการบ้านมั่นคง เหมือนเดิม และถอนโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะฯออกไป พร้อมทั้งให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบและดำเนินการตามขั้นตอนเสนอของบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป นายสันติ กล่าว

Thursday, January 3, 2013

คพ.ชี้รถยนต์ส่วนบุคคลแหล่งกำเนิดมลพิษ กทม.

คพ.ชี้รถยนต์ส่วนบุคคลแหล่งกำเนิดมลพิษ กทม.
นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า แหล่งมลพิษที่เกิดขึ้นใน กทม. ส่วนใหญ่จะเกิดจากยานพาหนะ จากข้อมูลสถิติการจดทะเบียนรถยนต์ส่วนบุคคลย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ 2550-2554 เฉพาะเขตพื้นที่กรุงเทพฯ มีตัวเลขพบว่า แนวโน้มรถยนต์ในกรุงเทพฯเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 20,000-30,000 คัน จากปี 2550 มีรถยนต์ 5.9 ล้านคัน เป็น 6.1 ล้านคันในปี 2551 และเพิ่มเป็น 6.3 ล้านคันในปี 2552 ขณะที่ปี 2553 ขึ้นมาอยู่ที่ 6.6 ล้านคัน และล่าสุดในปี 2554 มีรถยนต์ในเขตกรุงเทพฯมากถึง 6.8 ล้านคันอธิบดี คพ.กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับกรุงเทพฯ คือ เรื่องของฝุ่นขนาดเล็ก ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจน และโอโซน ซึ่งปัญหานี้เกิดจากรถยนต์ อย่างไรก็ตาม คพ.กำลังพยายามหาทางป้องกันการปล่อยสารพิษเหล่านี้โดยเฉพาะสารระเหยอินทรีย์ระเหยง่ายจากน้ำมันเบนซิน จากการตรวจวัดทุกสถานี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมาก โดยสถิติปี 2554 พบว่าใน กทม.มี 4 เขต ที่เกินค่ามาตรฐาน คือ เขตดินแดง ค่าเบนซินอยู่ที่ 6.3 มก./ลบ.ม. เขตปทุมวัน ค่าเบนซินอยู่ที่ 6.1 มก./ลบ.ม. เขตวังทองหลาง ค่าเบนซินอยู่ที่ 4.3 มก./ลบ.ม. และเขตธนบุรี ค่าเบนซินอยู่ที่ 3.6 มก./ลบ.ม. จากค่ามาตรฐานต้องไม่เกิน 1.7 มก./ลบ.ม. อย่างไรก็ตาม คพ.ได้ประสานงานกับ กทม.จัดทำแผนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศแล้ว.

ดาวหางสุกสกาวโชติช่วงจะมาหาโลก อาจสุกสว่างยิ่งกว่าดวงจันทร์วันเพ็ญ

ดาวหางสุกสกาวโชติช่วงจะมาหาโลก อาจสุกสว่างยิ่งกว่าดวงจันทร์วันเพ็ญ
ดาวหางซึ่งสุกสว่างโชติช่วง จะโคจรมาสู่โลกตอนปลายปีนี้ หากว่ารอดพ้นจากการประจันกับดวงอาทิตย์ในระยะประชิดมาได้ดาวหางที่เพิ่งค้นพบเมื่อเร็วๆนี้  มีชื่อรหัสว่า “ไอเอสโอเอ็น” จะโคจรห่างจากจุดศูนย์กลางดวงอาทิตย์ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ศกนี้ ในระยะห่าง 1.9 ล้านไมล์ เมื่อมันเข้าไปใกล้พระอาทิตย์เท่าไหร่ ความร้อนก็จะทำให้ส่วนหัวอันเป็นน้ำแข็งระเหยเป็นไอ ซึ่งจะทำให้เห็นเป็นหางพุ่งยาวออกไปทางเบื้องหลัง ชาวโลกสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือกล้อง ส่องทางไกล ระหว่างช่วงเวลา เดือนตุลาคมปีนี้ ไปจนถึงมกราคม พ.ศ.2557อย่างไรก็ตาม ดาวเทียมดวงนี้อาจจะแตกทำลายลงได้ ขณะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ หรือไม่ก็อาจจะไม่เกิดหางอันเป็นอนุภาคน้ำแข็งให้ชาวโลกได้เห็นดาวหางแบบนี้ เป็นดาวที่โผล่ออกมาจากกลุ่่มเมฆ “ออร์ต” อันเป็นกลุ่มหินและน้ำแข็งที่จับตัวกันแข็ง วงโคจรของมันคล้ายกับดาวหางดวงที่เคยโคจรผ่านโลกไป เมื่อ พ.ศ. 2223 ซึ่งสุกสว่างมาก ถึงกับสามารถเห็นหางของมันตอนกลางวันแสกๆนักดาราศาสตร์เดวิด ไวท์เฮาส์  ของอังกฤษ กล่าวว่า ดาวหางดวงนี้อาจจะเป็นดาวหางที่สุกสว่างที่สุด ในรอบระยะเวลาหลายชั่วคนมานี้ จะสุกสกาวยิ่งกว่าดวงจันทร์เพ็ญ.

ส่งอุปกรณ์ตรวจวัดแก๊สลงกระเพาะฝูงวัว คอยตรวจวัดปริมาณแก๊สซึ่งทำให้โลกร้อน

ส่งอุปกรณ์ตรวจวัดแก๊สลงกระเพาะฝูงวัว คอยตรวจวัดปริมาณแก๊สซึ่งทำให้โลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดจะหย่อนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลงไปในกระเพาะของวัว เพื่อจะหาหนทางไม่ให้มันเรอหรือพ่นลมหายใจออกเป็นแก๊สที่ทำให้โลกร้อนออกมามากๆนักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียแจ้งว่า ก่อนอื่นจะต้องให้รู้ว่า พวกมันปล่อยแก๊สมีเทนออกมามากน้อยเท่าใด ขณะที่เตร็ดเตร่อยู่ตามทุ่ง พวกเขาได้คิดว่าจะส่งเครื่องวัดลงไปในกระเพาะของมัน ซึ่งเครื่องมือนั้นจะต้องหุ้มด้วยเยื่อพิเศษ เพื่อกันไม่ให้โดนน้ำย่อยของวัวอันแรงย่อยกัดทำลายลง หลังจากปล่อยให้มันสูดวัดแก๊สอยู่นานหลายอาทิตย์ ก็จะต้องคอยระวังไม่ให้มันโดนถูกส่งไปที่กระเพาะที่หนึ่งของสัตว์พวกเคี้ยวเอื้อง แล้วหาทางนำมันกลับคืนมา เพื่อนำไปศึกษาหาข้อมูลรายละเอียดต่อไป.

ลงพื้นที่คุมเข้มคุณภาพการศึกษาทางไกล

ลงพื้นที่คุมเข้มคุณภาพการศึกษาทางไกล
อนุกรรมการการจัดการศึกษาในระบบทางไกล เน้นทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพการเรียนการสอน ลงพื้นที่พิจารณาและติดตามผลการจัดการศึกษาอย่างเข้มงวด ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาและติดตามผลการจัดการศึกษาในระบบทางไกล เปิดเผยว่า ตนได้นัดประชุมคณะทำงานเพื่อกำหนดการลงพื้นที่พิจารณาและติดตามผลการจัดการศึกษาในระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งจะเน้นทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพการเรียนการสอน เช่น ตำราเรียนที่ใช้สอดคล้องกับการศึกษาในระบบการศึกษาทางไกลหรือไม่ ซึ่งจะไม่เหมือนกับตำราเรียนในระบบปกติระบบการเชื่อมต่อสามารถเข้าถึงได้ง่ายหรือไม่ การเรียนสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับอาจารย์ หรือผู้เรียนต่อผู้เรียนด้วยกันเองหรือไม่ และการวัดประเมินผลมีความน่าเชื่อถือเพียงใด ทั้งข้อสอบวัดผล และสถานที่ วิธีการจัดสอบ เป็นต้น ซึ่งตนมองว่าหลายมหาวิทยาลัยมีความคิดอยากเปิดหลักสูตร การศึกษาทางไกล เพราะเห็นว่าต้นทุนต่ำแต่ความเป็นจริงแล้วหากทำให้มีคุณภาพจริงๆ จะต้องใช้ต้นทุนที่สูงมาก ศ.ดร.ปรัชญา กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้การศึกษาได้กลายเป็นเรื่องของธุรกิจ จึงขอฝากสื่อมวลชนให้ช่วยกันสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้เรียนให้เรียกร้องการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพจากมหาวิทยาลัย ถึงระดับที่ต้องคำนวณด้วยว่า ระยะเวลาเรียนตลอด 4 ปี ผู้เรียนสามารถเพิ่มระดับความฉลาดของตนเองได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ หากสื่อช่วยเผยแพร่ข้อมูลสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นแล้ว แต่ผู้เรียนไม่สนใจก็ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เรียน 

ปราบมะเร็งลูกหมากด้วยโปรตอนไม่ปลื้ม แพงลิบลิ่วทั้งยังก่อให้เกิดอาการข้างเคียง

ปราบมะเร็งลูกหมากด้วยโปรตอนไม่ปลื้ม แพงลิบลิ่วทั้งยังก่อให้เกิดอาการข้างเคียง
โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเยลของสหรัฐฯเปิดเผยว่า วิธีการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากบุรุษเพศใหม่ด้วยลำแสงโปรตอนอันแพงลิบ ไม่ได้วิเศษไปกว่าวิธีการรักษาที่ทำกันอยู่ซึ่งถูกกว่ากันมากเลย และยังก่อให้เกิดอาการข้างเคียงเช่นเดียวกันด้วยหัวหน้าคณะผู้ศึกษา ดร.เจมส์ ยู่ กล่าวว่า ยิ่งในระยะยาวด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยกลุ่มผู้สนับสนุนวิธียิงด้วยลำรังสีโปรตอน อ้างว่า วิธีนี้สามารถจะยิงทำลายเนื้อร้ายได้โดยตรง จึงหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงอย่างอื่นได้คณะศึกษาได้ศึกษาคนไข้โรคมะเร็งต่อมลูกหมากทั้ง 2 แบบจำนวนเท่ากันมานาน 1 ปี ในอเมริกา ชายอเมริกันจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งชนิดนี้ปีละ 28,000 คน แต่ก็มีอีกหลายคนไม่เสียชีวิตเนื่องจากเนื้อร้ายเติบโตช้ามาก ถ้าหากรักษาตัวด้วยวิธีธรรมดาจะเสียค่าใช้จ่าย 557,250 บาท หากว่ารักษาด้วยลำแสงโปรตอนจะต้องใช้เงินถึง 972,840 บาท.

อธิการฯ มช.เผยมีกำหนดพิธีพระราชทานปริญญา 24 ม.ค.

อธิการฯ มช.เผยมีกำหนดพิธีพระราชทานปริญญา 24 ม.ค.
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มช. ครั้งที่ 47 ขณะที่สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (เศรษฐศาสตร์) แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ...เมื่อวันที่ 3 ม.ค. รองศาสตราจารย์ นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 47 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในวันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2556 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยแบ่งออกเป็นภาคเช้าและภาคบ่าย โดยภาคเช้าเวลาประมาณ 08.30 น. และภาคบ่ายเวลาประมาณ 13.00 น. ซึ่งในปีนี้มีผู้สำเร็จการศึกษามีสิทธิ์เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร จำนวนทั้งสิ้น 7,195 คน จาก 21 คณะ 1 บัณฑิตวิทยาลัย คือ ปริญญาเอก 167 คน ปริญญาโท 1,921 คน ระดับปริญญาตรี 5,107 คน แบ่งออกเป็น คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ 356 คน คณะวิจิตรศิลป์ 106 คน คณะวิทยาศาสตร์ 886 คน คณะวิศวกรรมศาสตร์ 818 คน วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี 263 คน คณะศึกษาศาสตร์ 515 คน คณะเศรษฐศาสตร์ 443 คน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 79 คน คณะสังคมศาสตร์ 280 คน คณะสัตวแพทยศาสตร์ 51 คน คณะอุตสาหกรรมเกษตร 255 คน คณะการสื่อสารมวลชน 129 คน คณะเกษตรศาสตร์ 375 คน คณะทันตแพทยศาสตร์ 103 คน คณะเทคนิคการแพทย์ 249 คน คณะนิติศาสตร์ 153 คน คณะบริหารธุรกิจ 638 คน บัณฑิตวิทยาลัย 196 คน คณะพยาบาลศาสตร์ 352 คน คณะแพทยศาสตร์ 234 คน คณะเภสัชศาสตร์ 253 คน และคณะมนุษยศาสตร์ 461 คน ในจำนวนนี้มีบัณฑิตที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 1 จำนวน 460 คน เกียรตินิยมอันดับ 2 จำนวน 606 คน บัณฑิตที่ได้รับเหรียญรางวัลเรียนดีตลอดหลักสูตรเหรียญทอง จำนวน 94 คน เหรียญเงิน จำนวน 366 คน เกียรติบัตรยอดเยี่ยมบัณฑิตศึกษา ระดับปริญญาเอก จำนวน 3 คนอย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กำหนดให้บัณฑิตที่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้ มารายงานตัวด้วยตนเอง ในวันเสาร์ที่ 19 มกราคม และวันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2556 เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ สํานักทะเบียนและประมวลผล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเข้าฝึกซ้อมรับพระราชทานปริญญาบัตร ในวันจันทร์ที่ 21 - วันพุธที่ 23 มกราคม 2556 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ไม่มารายงานตัวภายในกำหนดวัน และเวลาดังกล่าว มหาวิทยาลัยจะถือว่าสละสิทธิ์ โดยเฉพาะในวันที่ 23 มกราคม 2556 ซึ่งเป็นวันซ้อมใหญ่ บัณฑิตจะต้องนำครุยวิทยฐานะพร้อมหมวกมาทำการซ้อมด้วย และบัณฑิตต้องซ้อมให้ครบทั้ง 3 วัน มิฉะนั้นจะไม่มีสิทธิ์เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในโอกาสเดียวกันสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ขอพระราชทาน ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญา ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (เศรษฐศาสตร์) แด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งมหาวิทยาลัยได้รับแจ้งจากราชเลขานุการ ในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า ทรงขอบใจ และจะพระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาบัตรฯ ดังกล่าวในโอกาสอันควรต่อไปและยังได้อนุมัติปริญญากิตติมศักดิ์แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ และแต่งตั้งศาสตราจารย์เกียรติคุณสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อนุมัติปริญญากิตติมศักดิ์ ประจำปีการศึกษา 2555 แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 ท่าน และอนุมัติแต่งตั้งศาสตราจารย์เกียรติคุณ จำนวน 6 ท่าน โดยจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร และเกียรติบัตร จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 47 ประกอบไปด้วย1. ศาสตราจารย์ภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (การตลาด) 2. ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 3. นายธรรมรักษ์ พิชญกุล ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (การพัฒนาสังคม) 4. ศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ อดุลพันธุ์ วิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (วิศวกรรมอุตสาหการ) 5. พระเทพวรสิทธาจารย์ ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปรัชญาและศาสนา) 6. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิจิตร ศรีสุพรรณ พยาบาลศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 7. รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ฟิสิกส์) 8. ศาสตราจารย์ นสพ.ดร.วิลเลียม ดี ฮูสตัน ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สัตวแพทยศาสตร์)และได้อนุมัติแต่งตั้ง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ จำนวน 6 ท่าน ดังนี้ 1. ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสุมิตรา ทองประเสริฐ 2. ศาสตราจารย์ ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ 3. ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวิมล สุขถมยา 4. ศาสตราจารย์ ดร.นิวัตน์ มณีกาญจน์ 5. ศาสตราจารย์ ดร.อรัญญา มโนสร้อย 6. ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์

Tuesday, January 1, 2013

นายกฯ สั่งโหลด แอพ ฝึกภาษาลงมือถือ เตรียมรับประชาคมอาเซียน

นายกฯ สั่งโหลด แอพ ฝึกภาษาลงมือถือ เตรียมรับประชาคมอาเซียน
นายกฯสั่งโหลด แอพพลิเคชั่น ชุดภาษาอังกฤษ ลงในโทรศัพท์มือถือ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้าน ศธ.เร่งระดมทุนช่วยเหลือครูชายแดนใต้...นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการเข้าร่วมประชุมหัวหน้าส่วนราชการ ระดับปลัดกระทรวงนัดสุดท้าย ประจำปี 2555 ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เร่งจัดทำซอฟต์แวร์ที่เป็นแอพพลิเคชั่นชุดภาษาอังกฤษ บันทึกเสียงประโยคภาษาอังกฤษและภาษาไทยลงในโทรศัพท์มือถือ สำหรับให้คนขับแท็กซี่ พนักงานนวด เด็กเสิร์ฟ พนักงานขายของตามร้านต่าง ๆ ได้ฝึกพูดตามว่าแต่ละประโยคที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร ภาษาไทยพูดว่าอย่างไร เป็นการฝึกพูดภาษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยเบื้องต้นอาจจะต้องมอบหมายให้บริษัทเอกชนจัดทำเป็นซอฟต์แวร์เพื่อบันทึกลงในโทรศัพท์มือถือ และจะให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) หรือองค์การค้า รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว เพราะเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผนงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ว่าเป็นคำสั่งเร่งด่วนจากนายกรัฐมนตรี โดยคิดว่าน่าจะดำเนินการได้ทันทีในช่วงต้นเดือน ม.ค.นี้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือเรื่องการระดมเงินเข้ากองทุนครูชายแดนใต้ ซึ่งในวันที่ 16 ม.ค. 2556 ซึ่งเป็นวันครูแห่งชาติ โดยจะจัดโครงการวิ่งและขี่จักรยานทางไกลเพื่อสันติภาพแก่ครูชายแดนภาคใต้ เพื่อต้องการระดมเงินบริจาคและจัดกิจกรรมหารายได้ก่อตั้ง กองทุนช่วยเหลือครูชายแดนใต้ ระหว่างวันที่ 6-17 ม.ค. 2556 โดยมีกิจกรรมคือวิ่งมาราธอน ขี่จักรยานทางไกลของเหล่านักกีฬา ศิลปิน รวมทั้งข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นิสิตนักศึกษา สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป คอนเสิร์ต การประมูลของที่ระลึก รวมทั้งกิจกรรมทางศาสนา ซึ่งกำหนดจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่ากองทุนครูฯ น่าจะเงินได้ 100 ล้านบาทขึ้นไป โดยจะจ่ายเงินย้อนหลังให้กับครอบครัวครูที่เสียชีวิตทั้ง 157 ราย รายละ 1 ล้านบาท ทั้งนี้ถ้าระดมเงินได้มากกว่านั้นก็จะจ่ายให้ครูพิการที่มีชีวิตอยู่และไม่มีรายได้ 

ปรามเด็กๆเป็นทาสโทรศัพท์มือถือ สมองจะตายน่ิง หมดความคิดริเร่ิม

ปรามเด็กๆเป็นทาสโทรศัพท์มือถือ สมองจะตายน่ิง หมดความคิดริเร่ิม
นักประดิษฐ์ชื่อดังแห่งยุคของอังกฤษ อาจารย์เทรเวอร์ เบย์ลิส ออกปากเตือนว่า เด็กในยุคกูเกิลซึ่งต้องพึ่งอินเตอร์เน็ตในการทำทุกสิ่งทุกอย่างเวลานี้ กำลังตกอยู่ในอันตรายที่จะกลายเป็นคนสมองตาย เพราะพวกเขากำลังหมดสิ้นความคิดริเริ่ม และขาดประสบการณ์ในการทำงาน เขาห่วงว่าจะไม่มีนักประดิษฐ์รุ่นใหม่เหลืออีกแล้ว เพราะคนหนุ่มสาวไม่เคยจับต้องทำอะไรด้วยน้ำมือตนเอง นักประดิษฐ์ชื่อก้องวัย 73 ปี สั่งสอนเด็กๆว่า ต้องพยายามนำความชำนาญอันสำคัญแก่ชีวิตกลับคืนมาให้จงได้ โดยพยายามทำสิ่งต่างๆ ด้วยมือของตนเอง ไม่ใช่เป็นทาสของโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์อย่างทุกวันนี้ “ควรใช้คอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็น ไม่ใช่ทำเหมือนกับคนหลายคน แทบจะกินนอนกันอยู่หน้าจอแล้ว”.

สนธยา เดินหน้าถกรัฐบาลปรับโครงสร้าง วธ.

สนธยา เดินหน้าถกรัฐบาลปรับโครงสร้าง วธ.
รมว.วัฒนธรรม เร่งบูรณาการนำมิติวัฒนธรรมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 ม.ค. นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวถึงการขับเคลื่อนงานด้านวัฒนธรรมในปี 2556 ว่า ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดเร่งบูรณาการนำมิติวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล โดยในส่วนของ วธ.จะคัดเลือกภูมิปัญญาของแต่ละชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประเพณี การละเล่นพื้นถิ่นของแต่ละภูมิภาค เพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรม จากนั้นจะนำมาจัดลำดับความสำคัญส่งเสริมการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเหมือนกับเทศกาลสงกรานต์ ลอยกระทง นายสนธยา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะเร่งสำรวจคัดเลือกแหล่งโบราณสถานผูกร้อยเรื่องราวด้านแหล่งอารยธรรมเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำแล้วทั้งหมด 84 เส้นทาง ที่สำคัญจะผลักดันการปรับโครงสร้างระบบราชการจัดตั้งกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ซึ่งปี 2556 คาดว่ารัฐบาลจะมีการหารือการปรับโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านวัฒนธรรมของกรมศิลปากร ทั้งสำนักการสังคีต งานช่างสิบหมู่นั้น จะจัดจ้างผู้ที่เกษียณอายุราชการมาเป็นที่ปรึกษาให้เข้ามาถ่ายทอดองค์ความรู้ การขออัตรากำลังจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) และนำนักเรียนนักศึกษาในสาขางานช่างศิลป์เข้ามาฝึกประสบการณ์จริงในกรมศิลปากรด้วย 

Monday, December 31, 2012

๒๕๕๖ ปีมหามงคล พระชันษาครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

๒๕๕๖ ปีมหามงคล พระชันษาครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนาพุทธศักราช 2556 ปีที่หน้าประวัติศาสตร์ของวงการคณะสงฆ์ไทยต้องบันทึกถึงความสำคัญอีกครั้งเพราะเป็นปีที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย จะทรงมีพระชันษาครบ 100 ปี หรือ 1 ศตวรรษนับเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่เจริญพระชันษายิ่งยืนนานกว่าสมเด็จพระสังฆราชในอดีตที่ผ่านมาทั้งยังทรงดำรงตำแหน่งต่างๆทางคณะสงฆ์ยาวนานกว่าพระสงฆ์รูปอื่นๆ คือ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 23 ปี ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต 24 ปี ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร 51 ปีย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2469 จากสามเณรที่บวชแก้บน ณ วัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี และได้เข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม และบวชเป็นพระสงฆ์ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2476 พระองค์ทรงปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดและครบถ้วน จนกระทั่งได้รับพระ ราชทานสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลำดับที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2532สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงสร้างประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทยไว้อย่างมากมายในด้านการพระศาสนา ช่วงที่พระองค์ยังไม่ได้มีพระอาการประชวร จะทรงประทานพระโอวาทสั่งสอนพระภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่อยู่ในฐานะพระอุปัชฌาย์อยู่เสมอ ทั้งยังทรงสอนกรรมฐานแก่พุทธศาสนิกชนเป็นประจำทุกวันพระ และหลังวันพระเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังทรงเสด็จไปปฏิบัติศาสนกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และเยี่ยมพระสงฆ์ในพื้นที่ต่างๆอยู่เสมอ เพื่อจะได้ทรงทราบปัญหาของคณะสงฆ์ ทั้งยังทรงสร้างโรงพยาบาลถวายเป็นพระอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 18 พระองค์ขึ้นในภูมิภาคต่างๆส่วนด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่มกิจการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ ทรงส่งพระธรรมทูตไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย ทั้งยังเสด็จไปให้การบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรในอินโดนีเซีย ทำให้เกิดคณะสงฆ์เถรวาทและวัดทางพระพุทธศาสนาเถรวาทขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเป็นครั้งแรกทรงส่งพระธรรมทูตไปยังออสเตรเลียทำให้เกิดวัดเถรวาทคือ วัดพุทธรังษี ขึ้นในทวีปนี้เป็นแห่งแรก ด้านงานพระนิพนธ์ ทรงพระนิพนธ์หนังสือต่างๆ จำนวนมาก และทรงแปลถึง 5 ภาษา คือ ไทย จีน อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศสขณะที่ด้านการศึกษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นผู้ดำริให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยทรงเป็นอาจารย์รุ่นแรกของมหาวิทยาลัยด้วยคุณูปการที่ทรงสร้างไว้ให้กับพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ ที่ประชุมสุดยอดพุทธศาสนิกแห่งโลก ที่มีสุดยอดผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2555 ได้มีมติทูลถวายตำแหน่งพระเกียรติยศอันสูงสุด “ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา” แด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แห่งราชอาณาจักรไทยพระอนิลมาน ธมฺมสากิโย ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช บอกว่า ใบประกาศถวายตำแหน่งดังกล่าว ระบุว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้ทรงได้รับการเคารพอย่างสูงสุดและได้รับการไว้วางใจอย่างสุดซึ้งจากพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาว่า ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แห่งดินแดนแห่งรอยยิ้ม ทรงเป็นผู้สอนพระ ธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุกคนปฏิบัติธรรมตั้งอยู่ในพระปัญญาธรรมและพระกรุณาธรรม ทั้งทรงเป็นผู้นำราชอาณาจักรไทยไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง นับว่าเป็นแบบอย่างของสากลโลก และทรงมีพระบารมีปกแผ่ไพศาลไปทั่วราชอาณาจักรไทยและประเทศพุทธศาสนาทั่วโลก พระศรัทธาที่เปี่ยมพระทัยในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระองค์ได้รับการแซ่ซ้องและเทิดทูนจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ด้วยความซาบซึ้งในพระกรณียกิจทั้งปวงในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในนามของพุทธศาสนิกชน 370 ล้านคนทั่วโลก พร้อมสุดยอดผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศ ขอทูลเกล้าถวายพระเกียรติยศอันสูงสุดนี้ ด้วยความปีติโสมนัสยิ่ง“สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นที่ยอมรับของคณะสงฆ์ทุกนิกาย  พร้อมทั้ง เป็นที่เทิดทูนของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก แม้แต่องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ยังนับถือ และเรียกพระองค์ว่า เป็นพี่ชายคนโตของฉัน” พระอนิลมาน  กล่าวถึงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงได้รับความนับถือจากคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนจากทั่วโลกอย่างแท้จริงและเนื่องในวโรกาสที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะทรงมีพระชันษาครบ 100 ปี ในวันที่ 3 ต.ค.2556 นี้ รัฐบาล มหาเถรสมาคม (มส.) สำนังานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร และมูลนิธิหอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญจึงจัดกิจกรรมเนื่องในวโรกาสสำคัญดังกล่าวโดยให้เริ่มจัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.2555 จนถึงวันที่ 3 ต.ค.2556 โดยแบ่งการจัดกิจกรรมออกเป็นส่วนต่างๆดังนี้วัดบวรนิเวศวิหาร จัดแสดงนิทรรศการ จัดพระราชพิธี และบำเพ็ญพระกุศล รวมทั้งจัดทำเอกสารเผยแพร่พระประวัติ พระศาสนกิจ โดยจะเน้นการจัดกิจกรรม 2 ช่วง คือ วันที่ 21 เม.ย. 2556 ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับวันสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และช่วงวันที่ 3 ต.ค. 2556 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระองค์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดแสดงนิทรรศการในสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งจัดทำบุญตักบาตรในวันที่ 3 ต.ค. 2556 และจัดปฏิบัติธรรมในวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม และวัดไทยในต่างประเทศมูลนิธิหอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญ จัดกิจกรรมวันที่ 21 เม.ย. 2556 โดยจะมีการจัดประมวลงานทางธรรม เพื่อคัดสรรผลงานทางธรรมของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ออกมาเผยแพร่สู่สาธารณะ ภายในงานเทศกาล “ญาณสังวร”ขณะที่ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะจัดตั้ง ห้องสมุดพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย โดยจะเป็นห้องสมุดแห่งแรกที่จะรวบรวมมรดกทางธรรมของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไว้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นลายพระหัตถ์ หนังสือพระนิพนธ์ หนังสือวิชาการส่วนพระองค์ พระสุรเสียงที่พระองค์ทรงเทศน์ในงานต่างๆ รวมไปถึงพระรูปที่หาชมได้ยาก โดยเริ่มดำเนินการรวบรวมข้อมูลต่างๆตั้งแต่เดือนต.ค.2555 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.2556 นอกจากนี้ ยังมีโครงการจัดสร้างโบสถ์ดิน เพื่อเป็นต้นแบบแห่งความพอเพียงให้กับวัดต่างๆ โดยจะสร้างโบสถ์ดินเป็นต้นแบบ 9 แห่ง ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศเนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลนี้ ทีมข่าวศาสนา ในนามพุทธศาสนิกชนชาวไทยขอน้อมถวายพระพรสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขสงฆ์ที่มีพระชันษายืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยทีฆายุโก โหตุ มหาสังฆราชา. ทีมข่าวศาสนา

ในหลวงเสด็จออกพระที่นั่งอนันตฯสุดยอดข่าวแห่งปี 55

ในหลวงเสด็จออกพระที่นั่งอนันตฯสุดยอดข่าวแห่งปี 55
เอแบคโพล เผย ข่าว ในหลวง เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม สุดยอดข่าวทอล์คออฟเดอะทาวน์ ปี 55 ส่วนข่าวการเมืองในรอบปีไม่มีความสร้างสรรค์ สุดยอดพิธีกรข่าวยังเป็นของ สรยุทธ ถ้อยคำภาษาข่าวต้องยกให้ เออีซี และความรักสามัคคีของคนในชาติ...ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สุดยอดข่าวทอล์คออฟเดอะทาวน์ของสื่อสร้างสรรค์แห่งปี 2555 พบว่า สุดยอดของ “ข่าวการเมือง” ที่สร้างสรรค์แห่งปี พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 51.4 ระบุไม่มีข่าวการเมืองที่สร้างสรรค์เลยในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 19.1 ระบุเป็นข่าว นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ นายกฯ อภิสิทธิ์ ประกาศจุดยืนร่วมกันต่อต้านคอรัปชัน ร้อยละ 10.5 ระบุนายกฯ ยิ่งลักษณ์ พบคารวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ร้อยละ 9.4 ระบุข่าวฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันคิดแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร้อยละ 7.2 ระบุข่าวการเตะฟุตบอลกระชับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสื่อมวลชน ตามลำดับ ผลการจัด 5 อันดับสุดยอดของข่าวเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์แห่งปี 2555 พบว่า ร้อยละ 36.2 ระบุการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ร้อยละ 17.9 ระบุนโยบายรัฐบาล 300 บาทต่อวันและเงินเดือน 15,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 14.7 ระบุ ผู้นำสหรัฐฯ และจีนเยือนไทย ขยายการลงทุน และเศรษฐกิจโลกผ่านจุดวิกฤติแล้ว ร้อยละ 13.3 ระบุ อัตราการขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และร้อยละ 8.1 ระบุนโยบายโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล ตามลำดับ ในขณะที่ร้อยละ 9.8 ระบุไม่มีข่าวเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์เลยในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมาส่วนสุดยอดของข่าวสังคมที่สร้างสรรค์แห่งปี 2555 พบว่า อันดับที่หนึ่งหรือร้อยละ 65.1 ได้แก่ การนำเสนอข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม อันดับสองได้แก่ Taxi พลเมืองดีเก็บเงินคืนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ข่าวขอทานบริจาคเงินให้วัด และคนไทยน้ำใจดีอื่นๆ ได้ร้อยละ 15.4 อันดับที่สาม ได้แก่ ข่าวรัฐบาลเปิด “บ้านอุ่นใจ” แก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม ได้ร้อยละ 7.3 อันดับที่สี่ได้แก่ ข่าวช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ได้ร้อยละ 5.5 และอันดับที่ห้า ได้แก่ ข่าวจับกุมปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ได้ร้อยละ 4.8 ในขณะที่ร้อยละ 1.9 ระบุไม่มีข่าวสังคมที่สร้างสรรค์เลยในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมานอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงสุดยอดของ “พิธีกรรายการข่าว” ที่สร้างสรรค์ปี 2555 ที่ผ่านมา พบว่า อันดับที่หนึ่งหรือร้อยละ 63.8 ได้แก่ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อันดับสองได้แก่ นายกิตติ สิงหาปัด ได้ร้อยละ 11.2 อันดับที่สามได้แก่ นายธนิวัฒน์ พัฒนวีรคุณ ได้ร้อยละ 6.9 อันดับที่สี่ได้แก่ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ได้ร้อยละ 4.5 และนายธีระ ธัญญไพบูลย์ ได้ร้อยละ 4.0 ในขณะที่ร้อยละ 9.6 ระบุอื่นๆ อาทิ จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ เขมสรณ์ หนูขาว มีสุข แจ้งมีสุข พิสิทธิ์ กิรติการกุล พิษณุ นิลกลัด ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ชุติมา พึ่งความสุข เป็นต้นเมื่อสอบถามถึงสุดยอดของถ้อยคำในภาษาข่าว ที่สร้างสรรค์แห่งปี 2555 ที่ผ่านมา พบว่าอันดับหนึ่ง ได้แก่ คำว่า “เออีซี (AEC) หรืออาเซียน” เพราะสร้างความสนใจ ตื่นตัวในหมู่ประชาชน ได้ร้อยละ 54.7 อันดับที่สอง ได้แก่ ถ้อยคำว่า “ความรักความสามัคคีของคนในชาติ” เพราะช่วยลดความขัดแย้ง แตกแยกของคนในชาติ ได้ร้อยละ 23.8 อันดับสาม ได้แก่ “ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ” เพราะเป็นทางออกปัญหาวิกฤติการเมือง ลดปัญหาขัดแย้ง และเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย อันดับสี่ ได้แก่ “กฎหมายปรองดอง” เพราะช่วยลดปัญหาความแตกแยก ลดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ได้ร้อยละ 6.2 และร้อยละ 7.8 ระบุอื่นๆ เช่น ประมูล 3จี/ต่อต้านคอรัปชัน/ความสุข และเมาไม่ขับ เป็นต้น.

พรปีใหม่คนไทยขอให้ ในหลวง ทรงแข็งแรง การเมืองเลิกทะเลาะ

พรปีใหม่คนไทยขอให้ ในหลวง ทรงแข็งแรง การเมืองเลิกทะเลาะ
“สวนดุสิตโพล” เผยพรปีใหม่ของคนไทยส่วนใหญ่ ขอให้ ในหลวง ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง ส่วนความคาดหวังต่อนักการเมืองอยากให้เลิกทะเลาะเบาะแว้ง หวังให้ นายกฯ ปู เป็นผู้นำที่ดี ตั้งใจทำงาน และ มาร์ค ให้ความร่วมมือรัฐบาลพัฒนาชาติ ปรามรัฐอย่าเห็นแก่พวกพ้อง...เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2556 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อความคาดหวังในปี 2556 พบว่า พรปีใหม่ที่คนไทยอยากขอให้กับประเทศไทย อันดับ 1 ขอให้ในหลวงทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป 51.96% อันดับ 2 ขอให้คนไทยรักใคร่ สามัคคี ไม่ทะเลาะกัน ไม่แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย 26.18% อันดับ 3 ขอให้บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่ดีกินดี เศรษฐกิจรุ่งเรือง 21.86%ส่วนความคาดหวังต่อนักการเมืองไทย อันดับ 1 เลิกทะเลาะเบาะแว้ง ไม่แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย 60.14% อันดับ 2 เลิกทุจริตคอรัปชัน ไม่นึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง มุ่งทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน 25.56% อันดับ 3 ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการเมืองไทย ประชาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา สามารถพึ่งพาได้ 14.30% ขณะที่ความคาดหวังต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อันดับ 1 เป็นผู้นำที่ดี ตั้งใจทำงาน ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ ทำเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง 49.24% อันดับ 2 นำพาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า แก้ปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 28.41% อันดับ 3 สร้างความสามัคคีปรองดอง /เปลี่ยนการเมืองไทยให้เป็นการเมืองที่ขาวสะอาด 22.35% และความคาดหวังต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้หมดไป 42.21% อันดับ 2 การทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องยุติธรรม 41.33% อันดับ 3 เป็นตัวหลักสำคัญในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นทางการเมือง 16.46%นอกจากนี้ในส่วนความคาดหวังต่อรัฐบาล อันดับ 1 มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานอย่างเต็มที่ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือเห็นแก่พวกพ้อง 40.58% อันดับ 2 บริหารบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โกงกิน ยึดหลักคุณธรรมจริยธรรม 37.72% อันดับ 3 นโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรงควรทำให้สำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจน 21.70% และความคาดหวังต่อฝ่ายค้าน อันดับ 1 ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน นำความรู้ความสามารถที่มีมาใช้พัฒนาบ้านเมืองอย่างเต็มที่ เห็นแก่ส่วนรวม 41.27% อันดับ 2 ทำหน้าที่ของฝ่ายค้านที่ดี ไม่เล่นเกมการเมือง ไม่ค้านทุกเรื่อง 36.55% อันดับ 3 เป็นแบบอย่างของนักการเมืองที่ดี ช่วยกันพัฒนาการเมืองไทยให้ดีขึ้น 22.18%

Sunday, December 30, 2012

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง
เอแบคโพล เผย ความสุขมวลรวมของคนไทยยังคงเพิ่มสูงต่อเนื่อง เดือน ธ.ค. อยู่ที่ 7.61 จากเต็ม 10 เพราะความเป็นหนึ่งเดียวในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ส่วนในปี 56 อยากให้นักการเมืองสร้างความปรองดอง และสิ่งที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นคือความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์...เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2555 น.ส.ปุณฑรีก์  อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลศึกษาวิจัย เรื่อง ความสุขประเทศไทยประจำปี 2555 กับ จุดแข็ง โอกาส แรงบันดาลใจ และผลลัพธ์ของประเทศไทยที่คนไทยต้องการในปี 2556 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จาก 7.40 ในเดือน ต.ค. มาอยู่ที่ 7.53 ในเดือน พ.ย. และมาอยู่ที่ 7.61 ในเดือน ธ.ค. โดยดัชนีความสุขที่มีค่าสูงสุดยังคงอยู่ จากการได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คืออยู่ที่ 9.54 รองลงมาคือบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 7.80 สุขภาพใจอยู่ที่ 7.63 สุขภาพกายอยู่ที่ 7.40 หน้าที่การงาน การประกอบอาชีพที่ทำอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 7.22 วัฒนธรรมประเพณีไทยอยู่ที่ 7.17 และภาพลักษณ์ของประเทศไทย คนไทยในสายตาต่างชาติ   อยู่ที่ 7.13 ตามลำดับส่วนองค์กรและคณะบุคคลที่ประชาชนเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างความปรองดองของคนในชาติในปี 2556 ที่จะมาถึงนี้ พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 35.2 ได้แก่ นักการเมือง รองลงมาคือ ร้อยละ 27.5 ได้แก่ สื่อมวลชน อันดับสามหรือร้อยละ 13.2 ได้แก่ กลุ่มนายทุน และการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รองลงไปคือ กองทัพ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ องค์กรอิสระ เช่น สถาบันศาล กรรมการสิทธิฯ และอื่นๆ เช่น วุฒิสมาชิก เป็นต้นเมื่อถามถึง “โอกาส” ของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรก หรือร้อยละ 45.9 ระบุเป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก รองลงมาร้อยละ 26.7 ระบุมีการค้าการลงทุนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 11.4 ระบุเป็นประเทศที่เจริญเติบโตด้วยเทคโนโลยี ร้อยละ 10.9 ระบุคนในชาติมั่งมี ร่ำรวย เป็นสุขและคุณธรรมมั่นคงในจิตใจของประชาชน และสุดท้ายคือร้อยละ 5.1 ระบุเป็นศูนย์รวมหรือฮับด้านสุขภาพและความสวยความงามของผู้คน ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อถามถึงจุดแข็งของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 36.7 ระบุเป็นประชาธิปไตย รองลงมาคือ ร้อยละ 23.3 เป็นประเทศเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ รองๆ ลงไปคือ ทำเลดีเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน มีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นเมืองแห่งโอกาส ตามลำดับสำหรับแรงบันดาลใจของคนไทยที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 48.9 ระบุความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รองลงมาร้อยละ 16.8 ระบุความเสียสละ ความกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน และรองลงไปคือ การให้อภัย มีความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความขยันหมั่นเพียร มีวินัย จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่คนไทยต้องการในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 38.1 ระบุความสงบสุข ร่มเย็น ความเป็นเอกภาพปรองดองของคนในชาติ รองลงมาคือร้อยละ 24.3 ระบุ ร่ำรวย มีกิน มีใช้ และรองๆ ลงไปคือ คุณธรรมและหลักศาสนา ความมั่นคงในจิตใจของผู้คน สุขภาพใจร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และเป็นที่ยอมรับชื่นชอบของนานาประเทศทั่วโลก ตามลำดับ พร้อมย้ำว่า ผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศชาติสงบสุขร่มเย็นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักให้อภัย และเกิดความปรองดองของคนในชาติขึ้นอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้จบปริญญาหรือการศึกษาสูงมากนัก และมีรายได้น้อยแต่คิดได้ และคิดเป็น มีวุฒิภาวะทางปัญญา โดยเล็งเห็นว่า ประเทศชาติและประชาชนจะอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์ ถ้านักการเมืองทำบทบาทที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตยโดยการลดความขัดแย้ง ในหมู่ประชาชนไม่ใช่ตัวสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน.

อธิบดีกรมป่าไม้ พูดเป็นนัยส่อย้ายเริงชัยเป็นผู้ตรวจฯซี10

อธิบดีกรมป่าไม้ พูดเป็นนัยส่อย้ายเริงชัยเป็นผู้ตรวจฯซี10
อธิบดีกรมป่าไม้ พูดเป็นนัย เริงชัย ประยูรเวศ อาจมีแววไปต่อ เพราะตำแหน่งผู้ตรวจราชการ กระทรวงทรัพย์ฯ ระดับ10 ยังว่างรอแต่งตั้ง ยัน ไม่ใช่คนจัดโผตามที่เป็นข่าว ระบุกับ เริงชัย- มโนพัศ เป็นเหมือนพี่น้อง ส่วน ดำรงค์ พิเดช เหมือนพ่อ... เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2555 นายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีนายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การโยกย้ายข้าราชการระดับ 9 ของกระทรวงทรัพยากรฯ จำนวน 3 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการย้ายนายเริงชัย ประยูรเวศ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ ไปเป็นรองอธิบดีกรมป่าไม้ ถือเป็นการลดเกรด เนื่องจากนายเริงชัยเคยเป็นอธิบดีกรมป่าไม้มาก่อน ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่จะเป็นผู้พิจารณาโยก ย้ายข้าราชการเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากอำนาจคำสั่งของตน ตนไม่ได้เป็นผู้พิจารณาโยกย้าย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวมองว่าการโยกย้ายข้าราชการในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกับการทำงานของข้าราชการ คนอื่นๆ ในกรมอุทยานฯ เพราะการเป็นข้าราชการอยู่ที่ไหนก็ต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ส่วนกรณีที่นายดำรงค์กล่าวว่าการย้ายข้าราชการระดับ 9 ได้แก่ นายวิทยา หงส์เวียงจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักอุทยานฯกับนายไพศาล สถิตวิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่า ไปเป็นผู้ตรวจราชการกรมอุทยานฯไม่ถูกต้อง เพราะการย้ายในตำแหน่งดังกล่าวจะต้องมีความผิดร้ายแรง และมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาความผิด จึงจะสามารถย้ายได้นั้น ตนไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของตน ด้าน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงศ์ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวถึงเรื่องที่เป็นข่าวว่า เป็นหนึ่งในทีมงานจัดโผการโยกย้ายข้าราชการในกรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกับ นายนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรี กระทรวงทรัพย์ฯ ว่า ไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยเข้าไปยุ่งกับการบริหารจัดการงานของกรมอื่นๆ และเรื่องการย้ายข้าราชการระดับ 9 นั้น เป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ไม่เกี่ยวกับอธิบดีเลย มีคนมาถามผมเหมือนกันเรื่องนี้ จึงขอชี้แจงเลยว่าไม่เกี่ยวกับผม ถามแบบนี้เหมือนกับการดูถูกปลัดว่าเป็นตรายาง ซึ่งความเป็นจริงแล้ว นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอนเชื่อว่า การดำเนินการเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลบางอย่าง ตามความเหมาะสม ซึ่งตอนนี้ ตำแหน่งระดับ 10 คือ ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรฯ ยังว่างอยู่อีก 1 ตำแหน่ง ยังไม่รู้ว่าจะมีการโยกใครไปนั่งตรงนั้น มีผู้อาวุโสภายในกระทรวงทรัพยากรฯ ถึง 3 คน ที่จะต้องถูกโยกให้ไปอยู่ตรงนั้น อาจจะเป็นรองคนใดคนหนึ่ง ในกรมป่าไม้ รวมไปถึง รองเริงชัยด้วยก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้หลังปีใหม่ อาจจะทราบ แต่อย่าถามผม เพราะผมไม่รู้ ต้องไปถามท่านปลัดฯเอง อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวนายบุญชอบ กล่าวอีกว่า สำหรับนายเริงชัยกับตนนั้น ส่วนตัวแล้ว รู้จักและทำงานร่วมกันมากว่า 20 ปี มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน ตนนับถือนายเริงชัยเหมือนพี่คนหนึ่ง เช่นเดียวกับนายมโนพัศ และนายดำรงค์ ซึ่งนายดำรงค์นั้น ตนคิดว่าเป็นเหมือนพ่อคนหนึ่งด้วยซ้ำ เพราะทำงานถวายสมเด็จย่า มาตั้งแต่อยู่ดอยตุง แต่ในเรื่องหน้าที่การงานนั้น ก็ต้องปฏิบัติกันไปตามภาระที่ได้รับมอบหมาย อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวด้วยว่า เพิ่งเห็นคำสั่งเมื่อตอนเย็นวันศุกร์ (29 ธ.ค.) เบื้องต้นก็ดีใจ ที่ได้ทำงานกับท่านรองเริงชัย วันหน้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก ตามหน้าที่แล้ว ผมจะมอบหมายให้ท่านรองเริงชัย ทำงานในตำแหน่งของท่านรองวิฑูรย์ ชลายนนาวิน คือ ทำงานด้านการป้องกันและปราบปราม โดยส่วนตัวเชื่อว่าท่านจะทำหน้าที่นี้ได้ดี อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาเป็นวันหยุด ผมยังไม่ได้คุยกับท่านรองเริงชัยเลย คิดว่า ในวันที่ 4 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันที่ท่านรัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากรฯ นายปรีชา นัดอธิบดีทุกกรม ไปร่วมกันทำบุญที่กระทรวง น่าจะได้คุยกัน.

โอกาสเด็กไทยที่สูญเปล่า

โอกาสเด็กไทยที่สูญเปล่า
เหลียวหลัง 1 ปีการศึกษาชาติยุคปฏิรูปฯ ทศวรรษที่ 2 รับประชาคมอาเซียนการศึกษา คือรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศแต่ยิ่งนับวันรากฐานที่ว่าเหมือนจะยิ่งส่อเค้ารางถึงความง่อนแง่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังถูกสังคมมองว่าให้ความสำคัญกับการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศเพียงแค่ “ลมปาก”เพราะขณะที่นโยบายด้านการศึกษาต้องการความต่อเนื่อง แต่น่าเสียดายที่ระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี ของการบริหารงานรัฐบาลนายกฯปู กระทรวงศึกษาธิการกลับเป็นกระทรวงที่ใช้รัฐมนตรีเปลืองที่สุดถึง 3 คนวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุลคนแรกคือ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงคุณครู ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.2554 -18 ม.ค.2555 และถูกปรับไปนั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยส่ง นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เข้ามารับช่วง รมว.ศึกษาธิการ แทน แต่อยู่ในตำแหน่งนี้ได้แค่ 9 เดือน ในวันที่ 28 ต.ค. 2555 ก็ถูกปรับออก และส่ง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เข้ามากุมบังเหียนในตำแหน่ง เจ้ากระทรวงศึกษาธิการ จนถึงวันนี้เมื่อเหลียวหลังไปดูตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา “ทีมการศึกษา” ขอฟันธงว่า การเดินเครื่องงานการศึกษาชาติแทบจะเรียกได้ว่า “ย่ำอยู่กับที่” โดยเฉพาะเรื่องของ “การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2” ซึ่งถือเป็น “วาระสำคัญของชาติ” ที่มีการตีกรอบเงื่อนเวลาให้ใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ต้องเร่งดำเนินการปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552-2561ทั้งๆที่มี คณะกรรมการกำหนดนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 หรือที่เรียกกันว่า กนป. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และยังมี คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 มี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน แต่นับตั้งแต่ รัฐบาลปู 1 จนถึง รัฐบาลปู 3 การปฏิรูปการศึกษาไทยเหมือนถูก “ใส่เกียร์ว่าง” ยังไม่มีการขับเคลื่อนแม้แต่น้อยขณะเดียวกัน กลับมีแต่นโยบายประชานิยมผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด อาทิ โครงการ One table PC per Child หรือการแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้น ป.1 โดยไม่สะทกสะท้านกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่า แต่เมื่อประกาศเป็น “สัญญาประชาคม” ไปแล้วก็ต้องทำ และในที่สุดก็เปิดไฟเขียวขยายการแจกแท็บเล็ตเพิ่มให้กับนักเรียนชั้น ม.1 ในปีการศึกษา 2556ตามมาด้วย กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ดึงเข้าไปมีเอี่ยวด้วยคำบัญชาให้ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ กศน. ที่มีหน่วยงานกระจายอยู่ทุกพื้นที่ รับผิดชอบรับลงทะเบียนสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่ง กศน.ก็ “จัดให้” ด้วยการเปิด กศน.ตำบลทุกแห่งเป็นหน่วยรับลงทะเบียน จนยอดสมาชิกพุ่งขึ้นทันตาเห็นการเปิดตัว โครงการกองทุนตั้งตัวได้ ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการสร้างผู้ประกอบการรายย่อย เตรียมขึ้นแท่นเป็น “เถ้าแก่น้อย” โดยให้นักศึกษาหรือบัณฑิตใหม่ใช้เป็นแหล่งกู้ยืมเงินเพื่อเป็นต้นทุนในการสร้างอาชีพ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเชิญนายกรัฐมนตรีมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2555และล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2555 ก่อนปิดศักราชปีงูใหญ่ มีการเปิดตัว โครงการยกระดับการศึกษาประชาชน จบ ม. 6 ใน 8 เดือนอย่างมีคุณภาพ เพื่อยกระดับการศึกษา “คนรากหญ้า” ให้เรียนจบ ม.6 ใน 8 เดือนโดยมีมติคณะรัฐมนตรีผ่าน ร่างกฎกระทรวง ว่าด้วยการแบ่งระดับและเทียบระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนที่ยังไม่จบ ม.6 นำความรู้และประสบการณ์มาประเมินเทียบระดับการศึกษาเพื่อให้จบ ม.6 ได้แบบ “ก้าวกระโดด” โดยไม่ต้องเทียบการศึกษาทีละระดับตามรูปแบบเดิมสุชาติ ธาดาธำรงเวชยิ่งเมื่อย้อนไปดูการทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะในระยะที่ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รับช่วงเข้ามากุมบังเหียนตั้งแต่เมื่อต้นปี สิ่งที่สะท้อนให้เห็นคือ การเดินสายกดปุ่มเปิดงานอีเวนต์ และทัวร์ต่างประเทศ แต่กลับไร้ซึ่งสัญญาณในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2ภารกิจที่เป็นหน้าที่หลักของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากจะสร้าง “คนเก่ง” ให้เปี่ยมไปด้วยความรู้ ด้วยการจัดการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพแล้ว ยังต้องสร้าง “คนดี” ด้วยการปลูกฝังให้เด็กไทย ซึ่งถือเป็นอนาคตสำคัญของชาติ เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์ สุจริต ด้วย แต่น่าเสียดายที่ผู้หลัก ผู้ใหญ่ ในระดับบริหารของกระทรวงศึกษาธิการบางคนที่ควรจะเป็น “ต้นแบบ” ของจริยธรรม กลับมีข่าวที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใส่ออกมาสู่สาธารณะเป็นระยะๆ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์ในโครงการปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2 หรือเอสพี 2 และที่น่าเศร้าใจยิ่งไปกว่านั้นคือ การที่เจ้ากระทรวงศึกษาธิการกลับแสดงท่าที “สวนทาง” กับการเดินหน้านำตัวคนกระทำผิดมาลงโทษที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ เป็นครั้งแรกในแวดวงสื่อการศึกษา ที่เจ้ากระทรวงถูกสื่อมวลชนสายการศึกษาเข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้พิจารณาพฤติกรรมและการทำงาน จนในที่สุดก็มีการปรับออกจากคณะรัฐมนตรีพงศ์เทพ เทพกาญจนาและแล้วความหวังของการศึกษาชาติเหมือนจะเริ่มจุดประกายขึ้นอีกครั้ง เมื่อ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ถูกส่งมาคุมบังเหียน เจ้ากระทรวงศึกษาธิการ ด้วยความที่เป็นนักกฎหมาย เคยเป็นถึงอดีตผู้พิพากษา และคลุกคลีในแวดวงการศึกษาชาติมาแล้ว จากการเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์แต่การที่ นายพงศ์เทพ นั่งควบรองนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งตำแหน่ง จึงทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า การจะหันมาทุ่มเทงานการศึกษาชาติแบบเต็มตัวคงเป็นเรื่องที่ลำบากและก็ต้องยอมรับว่า การเดินเครื่องงานการศึกษาชาติ ณ วันนี้ ไม่ใช่เรื่องหมูๆเสียแล้ว เพราะทันทีที่รับตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ นายพงศ์เทพ ก็ถูกรับน้องด้วย ผลการวิจัยการจัดอันดับความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษ ในกลุ่มประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ จำนวน 54 ประเทศ ของ บริษัทเอดูเคชั่น เฟิร์สต์ ที่ระบุว่า ไทยรั้งอันดับ 53 ซึ่งเป็นตำแหน่ง “รองบ๊วย” ประเทศที่มีความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษต่ำที่สุดตอกย้ำอีกระลอกด้วยผลการจัดอันดับประเทศที่มีการพัฒนาทางการศึกษา จัดทำโดย หน่วยข่าวกรองเศรษฐศาสตร์ หรือ อีไอยู ของ เพียร์สัน บริษัทด้านการศึกษาและธุรกิจสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ สัญชาติอังกฤษ ที่ออกมาเผยข้อมูลเมื่อเดือน พ.ย.2555 ระบุว่า ประเทศไทยรั้งอันดับที่ 37 จากการจัดอันดับทั้งหมด 40 ประเทศ ในขณะที่ฟินแลนด์ครองอันดับ 1 เกาหลีใต้ รั้งอันดับ 2 ตามติดมาด้วย ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์และปิดฉากปีงูใหญ่แบบหนักหนาสาหัส ชนิดอึ้ง! กันไปทั้งวงการศึกษา ด้วย ผลวิจัยการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ พ.ศ. 2554 หรือ TIMSS 2011 จัดโดย The International Association for the Evaluation of Educational Achievement หรือ IEA ที่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท. ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2555ผลวิจัย Timss ระบุว่า ในระดับชั้นประถมศึกษาซึ่งเป็นการประเมินเด็ก ป.4 พบว่า วิชาคณิตศาสตร์ของเด็กไทยอยู่ในอันดับที่ 34 จาก 52 ประเทศที่ร่วมประเมิน ถูกจัดอันดับอยู่ใน “กลุ่มแย่” ส่วนวิทยาศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 29 ถูกจัดอยู่ใน “กลุ่มพอใช้”ขณะที่ระดับมัธยมศึกษา ซึ่งประเมินเด็ก ม.2 พบว่า วิทยาศาสตร์จัดอยู่ในอันดับที่ 25 และคณิตศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 28 จาก 45 ประเทศ ถูกจัดอันดับให้อยู่ใน “กลุ่มแย่” ทั้ง 2 วิชา และที่น่าตกใจกว่านั้นคือคะแนนเฉลี่ยตกฮวบฮาบ จากการประเมินเมื่อปี 2007แต่ท่ามกลางความน่าวิตกชนิดที่เรียกว่าอกสั่นขวัญกระเจิง ยังมีเรื่องที่น่ายินดี และเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์คือ การที่นายพงศ์เทพ ในฐานะเจ้ากระทรวงศึกษาธิการออกมายอมรับผลการประเมินที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ และถึงขั้นประกาศ “ปฏิรูปหลักสูตร” ทั้งระบบ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย“ทีมการศึกษา” อยากจะบอกพร้อมกับฝากความหวังว่า ท่ามกลางสารพัดเรื่องที่น่าวิตก การส่งสัญญาณด้วยการยอมรับในความอ่อนด้อยในงานการศึกษาชาติของเจ้ากระทรวงศึกษาธิการ น่าจะเป็นการเดินมาถูกทาง เพราะหมดเวลาแล้วที่จะออกมา “แก้ตัว” ว่าสาเหตุที่การศึกษาของเด็กไทย “ตกต่ำ” ขนาดนี้ เป็นเพราะเกณฑ์ประเมินของต่างชาติมาตรฐานสูงเกินไป เพราะขาดแคลนงบประมาณ หรือมาจากการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีบ่อยๆ จนนำไปสู่นโยบายด้านการศึกษาที่ไม่ต่อเนื่องหมดยุคแล้วที่จะมัวแต่มา “โยนกลอง” กันไปมาว่าใครเป็น “คนผิด”???แต่ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายในสังคม ควรจะออกมาร่วมด้วยช่วยกัน “แก้ไข” เพื่อคุณภาพการศึกษาที่ดีของเด็กไทย ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกหลานของเราทุกคนจากวันนี้เหลือเวลาอีกเพียง 3 ปี ประเทศไทยก็จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มตัว ในปี 2558 สิ่งที่ต้องเร่งเครื่องคือการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กไทย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการศึกษาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างคน อันจะนำมาซึ่งความเข้มแข็ง และความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของอาเซียน รวมไปถึงเศรษฐกิจโลกแต่หากยังปล่อยให้ปัญหาการศึกษา เป็น “มะเร็งร้าย” ที่กัดกร่อนคุณภาพเด็กไทยต่อไป โดยที่ไม่ช่วยกันแก้ไขแล้ว มาตรฐานการศึกษาไทยคงรอนับเวลาปิดฝาโลงแน่นอนที่ผ่านมาทุกรัฐบาลมักจะประกาศเสมอว่างานการศึกษาคือเรื่องที่ “ปลอดการเมือง” แต่ในที่สุดคำประกาศครั้งแล้วครั้งเล่าก็เป็นได้แค่เพียง “ลมปาก” ที่สร้างความผิดหวังซ้ำซากณ วันนี้ วันที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2556 คำถามที่ค้างคาในใจคนไทยส่วนใหญ่ที่อยากส่งต่อถึงรัฐบาล คงไม่ต่างกันคือ ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลจะมีความจริงใจและจริงจัง นำพา “การศึกษาไทย” ก้าวข้ามวาระซ่อนเร้นทาง “การเมือง” เพื่อสร้างรากฐานของประเทศให้มั่นคงและยั่งยืนอย่าปล่อยให้เด็กไทย “เสียโอกาสทอง” ด้วยการอยู่อย่างไร้ความหวังอีกเลย!!! ทีมการศึกษา

สร้างภูมิคุ้มกันรับมือ AEC

สร้างภูมิคุ้มกันรับมือ AEC
สแกนแนวคิด เด็กมอ มองประเทศไทย พร้อม-ไม่พร้อม สู่ประชาคมอาเซียนอีกเพียง 2 วันก็จะนับถอยหลังอำลา “ปีมังกรทอง” เข้าสู่ปฏิทินใหม่ “ปีมะเส็ง–งูเล็ก” ที่หนุ่มสาวชาวมหาวิทยาลัย คงเตรียมเฮ ลั้ลลา กับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเริ่มนับหนึ่งใหม่แต่หากจะย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ ปีมังกรทอง หรือ งูใหญ่ ที่ผ่านมา คงมีหลากหลายประเด็นที่ชวนให้ แฮปปี้ หรืออย่างกรณี “น้องน้ำ” ที่ใครๆหวาดผวาจะเป็น ปัญหา และภาวนา “อย่ามาให้เจอ...อีกเลย” ก็แคล้วคลาดไปได้ในหลายพื้นที่ของประเทศโดยเฉพาะกรุงเทพฯขณะที่อีกเรื่อง ฮอต ในรอบปี 2555 ที่ถูกหยิบยกมา เม้าท์มอย กันในทุกวงการอย่างไม่ขาดสาย และยังคงเป็นประเด็นเด็ดที่น่าจะยังไม่เลิก จ้อ กันต่อในปีหน้านั่นคือ เรื่องของการเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (Asean Economic Community) ในปี 2558ยิ่งภายในรั้วมหาวิทยาลัย งานนี้ถูก จับตา และยกให้เป็น พระเอก ในการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนที่จะรับมือกับการร่วมวงเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างมีคุณภาพทีมสกู๊ปมหาวิทยาลัย เลยขอ สุมหัว และ แท็กทีม เดินสายสู่ประตูรั้วอุดมศึกษา หยิบยก AEC มาเป็นโจทย์ตั้งวงถกกับ นิสิตนักศึกษาวัยทีน ก่อนอำลาปี 2555เริ่มที่หนุ่มน้อย หน้าใส สรวิชญ์ เตชะวิเชียร “โจอี้” ปี 1 คณะวิทย์ รั้วจามจุรี ชี้เปรี้ยงว่า “การรวมตัวกันของกลุ่มประเทศ อาเซียนน่าจะส่งผลดีให้กับประเทศไทยและประเทศสมาชิก เพราะจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งด้านต่างๆ ในการต่อรองหรือเพิ่มความได้เปรียบให้กับกลุ่มประเทศสมาชิกมากกว่าการไม่รวมกลุ่ม และขณะนี้จะเห็นความกระตือรือร้นรับมือทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ รวมถึงการทำงาน แต่อย่างไรก็ตาม หากเทียบระหว่างประเทศสมาชิกในอาเซียนด้วยกัน สำหรับประเทศไทยนั้นผมยังมองว่าเราอาจจะด้อยในเรื่องของภาษา เพราะแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาร์ กัมพูชา ลาวยังหันมาเรียนรู้ภาษาไทย นอกเหนือจากภาษาของตัวเองและภาษาอังกฤษ ขณะที่คนไทย แม้แต่ภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อยได้ ยิ่งภาษาเพื่อนบ้าน เราไม่เคยเห็นความสำคัญที่จะเรียนรู้ จึงอยากฝากเรื่องความสำคัญในการกระตุ้นหรือจัดการการเรียนการสอนด้านภาษาให้กับคนไทยมากกว่าที่เป็นอยู่”ว่าแล้วก็ขอล่องสู่แดนใต้ เจ๊าะแจ๊ะ กับหนุ่ม เฟรชชี่มาดเข้ม กันบ้าง สุพจน์ เกษรสิทธิ์ “ตั้ม” ปี 1 สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ฟันธงว่า “ไทยเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาเซียนยังไม่ทั่วถึง จะรับรู้เฉพาะกลุ่มคนที่ศึกษาเพื่อรับมือและเพื่อผลประโยชน์ แต่คนที่อยู่ห่างไกลยังไม่รับรู้หรือไม่เห็นความสำคัญ จึงควรประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนได้รู้อย่างทั่วถึงทั้งความสำคัญ ผลกระทบ ซึ่งผมคิดว่าการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนมีทั้ง ผลดีคือการแลก เปลี่ยนวัฒนธรรมภาษา  และทรัพยากร ทำให้มีภูมิต้านทานต่อประเทศมหาอำนาจ แต่ผลเสียก็มีไม่น้อยคือประเทศที่มีความพร้อมน้อยก็อาจเกิดความเหลื่อมล้ำ และเกิดการเอารัดเอาเปรียบขึ้นได้ ส่วนเยาวชนไทยก็ยังมองเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ค่อยเห็นความสำคัญ เมื่อเปิดประเทศโอกาสการแย่งงานจะเกิดขึ้นสูง คนที่เรียนน้อยหรือไม่มีความรู้ทางภาษา ไม่เข้าใจวัฒนธรรม ก็อาจถูกแย่งงานได้ เราจึงต้องสร้าง ภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองในทุกด้าน”ล่องใต้แล้ว ก็ต้องขอขึ้นไป แอ่วเหนือ รับลมหนาวกันหน่อย สอดส่ายสายตา พอดีปะเข้ากับหนุ่มมหาวิทยาลัยพะเยา ปริญญา ชื่นสุวรรณ “บูล” ปี 1 นิติศาสตร์ ที่ชี้ถึงผลดีกับการเข้าสู่อาเซียนว่า “ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวิชาการมากขึ้น ส่วนแง่เศรษฐกิจก็สามารถ ต่อรองผลประโยชน์ทางการค้าการลงทุนได้ง่ายขึ้น ขณะที่ผลกระทบก็มีเช่นกัน เพราะทำให้เกิดการแข่งขันสูงในตลาดแรงงาน เมื่อมีประชากรหลั่งไหลเข้าออกกันง่ายขึ้น โดยเฉพาะการดึงตัวอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถสูง ทำให้ประเทศไทยอาจขาดอาจารย์ที่เก่งๆ ไปได้ สำหรับผมซึ่งจะจบปี 2558 รับอาเซียน ก็ยอมรับว่ามีความ กังวลเล็กน้อยในเรื่องภาษา โดยเฉพาะด้านนิติศาสตร์ ที่อาจจะมีการว่าความเป็นภาษาอังกฤษ เพราะ เมื่อมีการเปิดประเทศเสรีก็คงมีข้อขัดแย้งต่างๆ ตามมา ซึ่งนักกฎหมายไทยก็ต้องพัฒนาภาษาควบคู่ไป เนื่องจากต้องมีการใช้กฎหมายระดับสากล อย่างไรก็ตามผมอยากฝากรัฐบาลช่วยประชาสัมพันธ์การเปิดประชาคมอาเซียนมากยิ่งขึ้น โดยเน้นให้ความรู้เยาวชนรวมถึงประชาชนทั่วไปว่า เมื่อเปิดแล้วเกิดผลดีอย่างไร เกิดผลเสียอย่างไร ควรปรับตัวอย่างไร และควรพัฒนาในเรื่องของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทั่วถึง”มาเปิดใจกับอีกหนึ่งหนุ่มมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คุณากร วิวัฒนากรวงศ์ “จา” ปี 2 สาขาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน คณะบริหารธุรกิจ เปิดมุมมองว่า “ประเทศไทยเตรียมการ เรื่องนี้พอสมควร และคิดว่าการเปิดอาเซียนจะเกิดผลดีมากกว่า ผลเสีย เช่น การทำงานข้ามประเทศจะเสรีมากขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสการทำงานของคนในประเทศ ส่วนการค้าและการลงทุนก็จะเป็นตลาดรวม โดยใช้พื้นฐานของข้อกำหนดเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดกว้างเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย ส่วนผลเสียคิดว่า ด้วยความที่ทุกอย่างเสรี ดังนั้นการแข่งขันของคนในประเทศก็จะเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุน การทำงาน ส่วนการเตรียมพร้อมของเยาวชนไทยนั้น ทุกภาคส่วนก็เตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนไทยใส่ใจเรื่องภาษามากขึ้น ผมคิดว่าไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ แต่ต้องมองถึงความสำคัญของภาษาที่ 3 เช่น ภาษาบาฮาซา (ภาษาอินโดนีเซีย) ภาษาจีนด้วยครับ”เจ๊าะแจ๊ะจอแจกับหนุ่มๆมาดเท่ที่ไอเดียเก๋ไก๋ไม่เบาแล้ว ขอเปลี่ยนแนวมาจ้อกับสาวๆ ไฉไลที่มีแนวคิดแจ๋วๆกันบ้างประเดิมกับ สาวหมวยแดนอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นันทิพร พงษ์ศิริยะกุล “ทราย” ปี 1 คณะการบัญชีและการจัดการ ขอแจมว่า “เนื่องด้วย ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงเชื่อว่าจะส่งผลดีให้กับผลผลิตทางการเกษตรที่จะเข้าสู่ตลาดอาเซียน แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือ การศึกษา โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษ เด็กไทยยังมีพื้นฐานไม่แน่นพอ แม้แต่ทรายเอง ยอมรับว่าภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง ยิ่งเมื่อจบการศึกษาในปี 2558 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้วก็จะกังวลมากกับการหา งานทำ การยอมรับจากองค์กรที่รับเข้าทำงาน เพราะเมื่อเข้าสู่อาเซียนชาวต่างชาติก็จะเข้ามาลงทุนในประเทศ AEC มากขึ้น ดังนั้นการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษจะต้องมีมากขึ้น ผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษรวมถึงภาษาอื่นๆ ก็จะมีความได้เปรียบ จึง อยากให้รัฐบาลหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพัฒนาระบบการศึกษาให้มากขึ้นเน้นภาษาอังกฤษและภาษาจีน รวมถึงการสอนที่สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับอาเซียน”ขณะที่สาววิศวะ มาดกิ๊บเก๋ อภัสนันท์ เชื้อสังข์พันธุ์ “อีฟ” ปี 3 สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ส่งเสียงใสๆ มาร่วมเม้าท์ว่า “การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นการเปิดโลกกว้างขึ้น ทั้งด้านการทำงานที่สามารถทำงานในประเทศสมาชิกอาเซียนได้ง่ายขึ้น การได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศเรา แต่ผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นคือ ตลาดแรงงานมีโอกาสเลือกผู้เข้ามาทำงานมากขึ้น หากคนไหนไม่มีคุณภาพ ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานที่มีความเป็นไปได้สูง ดังนั้นอยู่ที่การเตรียมความพร้อม ซึ่งหากดูความพร้อมของเยาวชนกับการรับมือเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต้องยอมรับว่าเรายังด้อยด้านภาษาและด้านวิชาการ จึงอยากฝากให้เยาวชนได้ตระหนัก สำหรับอีฟเองก็ได้เตรียมตัวระดับหนึ่งโดยเฉพาะการเรียนรู้ภาษา และใฝ่ฝันที่อยากไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์เพราะเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตด้านเทคโนโลยี จึงอยากเรียนรู้เพื่อเสริมทักษะมากขึ้น”ปิดฉากก่อนส่งท้ายปี กับสาวหน้าหวาน ทิพรดา กองศักดิ์ “หมูตุ้ย” ปี 2 โปรแกรมวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา บอกว่า “ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนมากพอสมควร ซึ่ง ม.ราชภัฏนครราชสีมาก็มีการจัดกิจกรรมมากมายที่มุ่งเน้นให้นักศึกษาได้เรียนรู้วัฒนธรรมของชาวอาเซียน นอกจากการมุ่งเน้นในเรื่องภาษาแล้ว เราต้องศึกษาถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของแต่ละประเทศเพื่อที่จะปรับตัวแล้วเข้าใจในวัฒนธรรมนั้นๆ ทำให้ส่วนตัวแล้วไม่มีความกังวลใจเรื่องการมีงานทำในอนาคต เพราะ ยิ่งประเทศไทยก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก็เปรียบเสมือนการเปิดประตูบ้านต้อนรับนักลงทุน สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การประกอบอาชีพในอนาคตของเรามีช่องทางเลือกงานได้ตรงกับความสามารถของเราได้มากยิ่งขึ้น ถือเป็นโอกาสทองของนักศึกษาที่จบใหม่ อย่างไรก็ตามในฐานะที่หนูเป็นเยาวชนคนไทยก็อยากจะฝากให้ผู้ใหญ่มีความสามัคคีร่วมผลักดันประเทศของเราให้ก้าวหน้าและยืนอยู่บนเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างสง่างาม”หลากหลายไอเดียโดนๆที่ “ทีมสกู๊ปมหาวิทยาลัย” ขอเป็นสื่อกลางส่งต่อให้ผู้เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาและนำสู่การปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรมขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดในการเตรียมตัวเข้าสู่ AEC อย่างสมศักดิ์ศรีคือ คนไทยทุกคนต้องลุกขึ้นเตรียมความพร้อมด้วยตัวเอง อย่าเพียงแต่รอรับฝ่ายเดียว...!!!15 คำศัพท์ฮอต-วลีฮิต “วัยโจ๋” รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์เรื่องนี้ถึงครูอังคนาแน่ : มีที่มาจากเด็กชายชั้น ม.ต้นคนหนึ่ง ออกมาสร้างคลิประบายความในใจที่ถูกเพื่อนเขี่ยออกจากกลุ่มผ่านโลกออนไลน์ และปิดท้ายด้วยคำว่า “เรื่องนี้ถึงครูอังคนาแน่” จนกลายเป็นวลีฮิตชั่วข้ามคืนที่นำมาใช้เมื่อต้องการจะฟ้องเรื่องราวที่เกิดขึ้นแก่ ใจดี สปอร์ต กทม. และ สงสัยไม่ช็อต? : อีกหนึ่งวลีฮิตในโลกออนไลน์ มีที่มาจากชายวัยกลางคนรายหนึ่ง ส่งข้อความสนทนาเฟซบุ๊ก ถึงสาวหน้าตาดี ว่า แก่ ใจดี สปอร์ต กทม. พร้อมอาสาช่วยจ่ายค่าผ่อนคอนโดให้ แต่ผู้หญิงเงียบเลยบอกว่า “สงสัยไม่ช็อต” งานนี้ถูกสาวออกมาแฉ จนรู้กันทั้งเมืองเนยรักโลก : คนดังบนโลกไซเบอร์ที่มียอดฟอลโลเวอร์พุ่งกระฉูด เธอใช้ชื่อทวิตเตอร์ว่า Noey Zupermarket ชอบโพสต์ข้อความ แนวรักธรรมชาติ แบบจิกกัด และมักมีวลีเด็ดชวนขำ อย่าง มีเพื่อนถามเนยว่าชอบกินอะไร เนยบอกได้อย่างเดียวเลยค่ะ เนยไม่กินผัก เนยถือว่าเป็นการตัดไม้ทำลายป่า แต่ละข้อความจะทิ้งท้ายว่า “เนยรักโลก” จนวัยโจ๋ชอบเอามาจิกกัดคนที่รักธรรมชาติว่าเป็นเพื่อน “เนยรักโลก” เป็ดพ่นไฟ : ชาวเน็ตให้นิยามคำนี้ว่า “สุดยอด-เหนือคำบรรยาย” ต้นตอมาจากคลิปดังจากจีน ที่มีภาพฝูงเป็ดในเล้าพ่นไฟออกจากก้น และในคลิป ยังมีภาพชายคนหนึ่งจับเป็ดโยนขึ้นท้องฟ้าคล้ายจรวด ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดยอดมากเซราะกราว : เป็นภาษากัมพูชา ความหมายคือ บ้านนอก ซึ่ง “โน้ต...อุดม แต้พานิช” นำมาเผยแพร่ใน “เดี่ยวไมโครโฟน 9” จนกลายเป็นกระแสฮิตติดปากจุงเบย : เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “จังเลย” เพราะแป้นพิมพ์ของทั้ง “สระอุ”, ”ไม้หันอากาศ” และ “ล” , “บ” อยู่ใกล้กันทำให้พิมพ์ผิดอยู่บ่อยๆ จนกลาย เป็นศัพท์วัยรุ่นในที่สุด มักใช้สื่อถึงความแอ๊บแบ๊ว เช่น น่ารักจุงเบย ปาดหน้าเค้ก : เป็นคำพูดที่นำมาใช้เวลาถูกใครทำอะไรตัดหน้า หรือแซงหน้า อย่าง “นี่เธอเมื่อคืนชั้นเล็งพ่อหนุ่มหล่อข้างโต๊ะ อยู่ดีๆก็โดนใครไม่รู้ มาปาดหน้าเค้กซะงั้น”กรรมสะสมไมล์ : เป็นการเปรียบเทียบคนที่ชอบทำบาปกรรมว่าเป็นการสะสมไมล์ เหมือนที่สายการบินให้ลูกค้าสะสมไมล์เดินทางจิ้น : เป็นคำย่อมาจากคำว่า “จินตนาการ” ความหมายที่นำมาใช้มักจะค่อนไปในทางชู้สาว อย่าง ฉันเห็นแมนกับต้นจับมือกัน เห็นแล้วจิ้นไปไกลเลยฟิน : มาจากคำว่า “ฟินาเล่” หมายถึงการจบแบบสมบูรณ์ ซึ่งส่วนมากมักใช้กับความรู้สึก “สุดยอด, ดีใจสุดๆ” อย่าง “แหม! ได้คุยกับหนุ่มที่แอบปลื้ม มานาน รู้สึกฟินสุดๆ”ปลวก : เป็นคำที่ใช้เรียกพวกที่ชอบเรียกร้องความสนใจ หรือสร้างซีนให้ตัวเอง รวมไปถึงพวกที่ชอบจิกกัดเหน็บแนมคนอื่นไปทั่ว เหมือนกับปลวกกาก : ความหมายคือของเหลือ หรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งวัยรุ่นนำมาเป็นคำที่ใช้ดูถูกคนที่ทำตัวไม่มีประโยชน์ หรืองี่เง่าทำอะไรที่ไม่ได้เรื่องเวิ่นเว้อ : อาการพร่ำเพ้อพรรณนาที่น่ารำคาญ ซึ่งมักใช้กับคนอกหักที่ไม่หลุดพ้นความเศร้าซะทีกินตับ : มีที่มาจากเพลง “กินตับ” ของ “เท่ง เถิดเทิง” ซึ่งบรรดาขาโจ๋เอาไปพูดตาม เช่น “หน้าตาแบบนี้น่าพาไปกินตับ” โดยมีความหมาย สื่อถึงการชักชวนไปมีเพศสัมพันธ์จัดเต็ม, จัดหนัก : เป็นคำที่ใช้พูดในสถานการณ์ที่ต้องการทำอะไรแบบเต็มที่ อย่าง “ปีใหม่นี้จัดเต็มมาเลยนะ”.

จัดอันดับสุดยอด 10 สาว สวัสดีแคมปัส แห่งปี55

จัดอันดับสุดยอด 10 สาว สวัสดีแคมปัส แห่งปี55
ตลอดปีมังกร 2555 สวัสดีแคมปัส ได้ทำหน้าที่แนะนำนักศึกษาที่โดดเด่นและมีความน่าสนใจในทุกๆ สัปดาห์ เราได้พบความคิดและข้อคิดดีๆ จากน้องๆ รวมถึงเรื่องราวที่ทำให้เราทึ่งกับนักศึกษากลุ่มนี้ที่โตกว่าที่คิด บางคนสามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้ รวมถึงรับผิดชอบค่าเล่าเรียนด้วยตัวเอง ด้วยการทำงานไปด้วย บางคนมีดีกรีเป็นถึงนางแบบ นักแสดง บางคนเป็นนักกีฬา และที่ สวัสดีแคมปัส ดีใจเป็นที่สุดคือ น้องบางคนที่เราแนะนำให้รู้จัก จากที่ไม่มีใครรู้จักได้ทำงานสายบันเทิง ออกสื่อให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เมื่อปีเก่าผ่านไป สวัสดีแคมปัส จึงรวบรวมผลงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ร่วม 50 สัปดาห์ และได้คัดเลือก 10 คนที่น่าสนใจ เป็น 10 สุดยอดสวัสดีแคมปัส ปี 2555 ที่มียอดคลิกมากที่สุด เรียงลำดับมาให้ชมกันอีกรอบอันดับที่ 10 กิ๊ฟ กรรณาภรณ์ เอี่ยมวิบูลย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาทักษะการติดต่อสื่อสารเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา สาวผู้หลงรักศิลปะ และพิธีกรคนเก่งจากเคเบิลทีวี อ่านเรื่องราวของเธอ เพื่อทำความรู้จัก กิ๊ฟ และชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/264876อันดับที่ 9 เดียร์ ณิชกานต์ กิจสกุล นักศึกษาชั้นปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาว BU Ranger ที่มีหลักการเรียนอย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ เป็นอีกคนที่น่าจับตามองถึงผลงานสายบันเทิงในอนาคตอันใกล้นี้ อ่านเรื่องราวของเดียร์ เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/311194อันดับที่ 8 ซอลีฮะห์ กวินธิดา สาสกุล หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า ฮะห์ นักศึกษาชั้นปี 1 สาขาอิสลามศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต สาวเรียบร้อย ดีกรีดาวคณะ เจ้าของความคิด เอาชนะที่คนส่วนมากแพ้ อ่านเรื่องราวของ ฮะห์ เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/299614 อันดับที่ 7 อลิซ ชญาดา สนธิรักษ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักร้องสาวจากค่ายอาร์สยาม ผู้หลงรักเสียงเพลงตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งกำลังมีผลงานอยู่ในตอนนี้ อ่านเรื่องราวของ อลิซ เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/270156อันดับที่ 6 อายอายส์ กมลเนตร เรืองศรี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชานิเทศศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นเจ้าแม่โฆษณาและเอ็มวีอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีผลงานละครกับทางช่อง 3 เคยมาลง สวัสดีแคมปัส ถึง 2 ครั้งด้วยกัน อ่านเรื่องราวของ อายอายส์ เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/255922อันดับที่ 5 ยีน เกวลิน ศรีวรรณนา นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานาฏศิลป์สากล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร นางเอกสาวป้ายแดงจากเรื่องลับ ลวง หลอน ทางช่อง 3 ผู้ผ่านเวทีประกวดนางงามมาก่อน อ่านเรื่องราวของ ยีน เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/275572อันดับที่ 4 ติ๊นา ศุภนาฎ จิตตลีลา นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต สาวหล่อที่โด่งดังไปยังต่างประเทศจากภาพยนตร์เรื่อง Yes or No นอกจากนี้เธอยังสนใจและชอบการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ อ่านเรื่องราวของ ติ๊นา เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/263137อันดับที่ 3 ณฉัตร วัลเณซ่า เมืองโคตร นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กับดีกรีมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2012 อ่านเรื่องราวของ ณฉัตร เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/251030อันดับที่ 2 แอนนา ชาลินี เพียรธนภาคย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ว่าที่คุณหมอ ดีกรีดาวมหาวิทยาลัย ปี 2555 อ่านเรื่องราวของ แอนนา เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/279081อันดับที่ 1 สุดยอด สวัสดีแคมปัส 2555 คือ ใบเตย อนัญญา สุนทรศารทูล นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ดาวมหาวิทยาลัยปี 2555 ดีกรีทุนนาฏศิลป์ อ่านเรื่องราวของ ใบเตย เพื่อทำความรู้จักและชมภาพอย่างจุใจได้ที่ http://www.thairath.co.th/column/edu/hicampus/282485ท้ายที่สุด สวัสดีแคมปัส ขอสวัสดีปีใหม่ ให้ผู้อ่านและแฟนๆ ทุกท่านมีความสุข สุขภาพพลานามัยแข็งแรง สมใจดังหวังและดังฝันทุกประการในปี 2556 อย่างไร สวัสดีแคมปัส ก็จะทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุดในปีนี้ ฝากติดตามกันทุกวันศุกร์เช่นเคยนะจ๊ะ.

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง
เอแบคโพล เผย ความสุขมวลรวมของคนไทยยังคงเพิ่มสูงต่อเนื่อง เดือน ธ.ค. อยู่ที่ 7.61 จากเต็ม 10 เพราะความเป็นหนึ่งเดียวในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ส่วนในปี 56 อยากให้นักการเมืองสร้างความปรองดอง และสิ่งที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นคือความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์...เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2555 น.ส.ปุณฑรีก์  อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลศึกษาวิจัย เรื่อง ความสุขประเทศไทยประจำปี 2555 กับ จุดแข็ง โอกาส แรงบันดาลใจ และผลลัพธ์ของประเทศไทยที่คนไทยต้องการในปี 2556 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จาก 7.40 ในเดือน ต.ค. มาอยู่ที่ 7.53 ในเดือน พ.ย. และมาอยู่ที่ 7.61 ในเดือน ธ.ค. โดยดัชนีความสุขที่มีค่าสูงสุดยังคงอยู่ จากการได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คืออยู่ที่ 9.54 รองลงมาคือบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 7.80 สุขภาพใจอยู่ที่ 7.63 สุขภาพกายอยู่ที่ 7.40 หน้าที่การงาน การประกอบอาชีพที่ทำอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 7.22 วัฒนธรรมประเพณีไทยอยู่ที่ 7.17 และภาพลักษณ์ของประเทศไทย คนไทยในสายตาต่างชาติ   อยู่ที่ 7.13 ตามลำดับส่วนองค์กรและคณะบุคคลที่ประชาชนเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างความปรองดองของคนในชาติในปี 2556 ที่จะมาถึงนี้ พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 35.2 ได้แก่ นักการเมือง รองลงมาคือ ร้อยละ 27.5 ได้แก่ สื่อมวลชน อันดับสามหรือร้อยละ 13.2 ได้แก่ กลุ่มนายทุน และการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รองลงไปคือ กองทัพ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ องค์กรอิสระ เช่น สถาบันศาล กรรมการสิทธิฯ และอื่นๆ เช่น วุฒิสมาชิก เป็นต้นเมื่อถามถึง “โอกาส” ของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรก หรือร้อยละ 45.9 ระบุเป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก รองลงมาร้อยละ 26.7 ระบุมีการค้าการลงทุนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 11.4 ระบุเป็นประเทศที่เจริญเติบโตด้วยเทคโนโลยี ร้อยละ 10.9 ระบุคนในชาติมั่งมี ร่ำรวย เป็นสุขและคุณธรรมมั่นคงในจิตใจของประชาชน และสุดท้ายคือร้อยละ 5.1 ระบุเป็นศูนย์รวมหรือฮับด้านสุขภาพและความสวยความงามของผู้คน ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อถามถึงจุดแข็งของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 36.7 ระบุเป็นประชาธิปไตย รองลงมาคือ ร้อยละ 23.3 เป็นประเทศเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ รองๆ ลงไปคือ ทำเลดีเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน มีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นเมืองแห่งโอกาส ตามลำดับสำหรับแรงบันดาลใจของคนไทยที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 48.9 ระบุความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รองลงมาร้อยละ 16.8 ระบุความเสียสละ ความกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน และรองลงไปคือ การให้อภัย มีความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความขยันหมั่นเพียร มีวินัย จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่คนไทยต้องการในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 38.1 ระบุความสงบสุข ร่มเย็น ความเป็นเอกภาพปรองดองของคนในชาติ รองลงมาคือร้อยละ 24.3 ระบุ ร่ำรวย มีกิน มีใช้ และรองๆ ลงไปคือ คุณธรรมและหลักศาสนา ความมั่นคงในจิตใจของผู้คน สุขภาพใจร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และเป็นที่ยอมรับชื่นชอบของนานาประเทศทั่วโลก ตามลำดับ พร้อมย้ำว่า ผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศชาติสงบสุขร่มเย็นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักให้อภัย และเกิดความปรองดองของคนในชาติขึ้นอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้จบปริญญาหรือการศึกษาสูงมากนัก และมีรายได้น้อยแต่คิดได้ และคิดเป็น มีวุฒิภาวะทางปัญญา โดยเล็งเห็นว่า ประเทศชาติและประชาชนจะอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์ ถ้านักการเมืองทำบทบาทที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตยโดยการลดความขัดแย้ง ในหมู่ประชาชนไม่ใช่ตัวสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน.

Blog Archive