Saturday, December 22, 2012

กษ.ชงยุทธศาสตร์ด้านการเกษตร รับมือภูมิอากาศโลกแปรปรวน

กษ.ชงยุทธศาสตร์ด้านการเกษตร รับมือภูมิอากาศโลกแปรปรวน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอความเห็นชอบยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2556–2559 หวังให้ภาคเกษตรปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และสร้างความมั่นคงของฐานการผลิต... ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 25 ธ.ค. 55 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ได้ขอความเห็นชอบยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2556–2559 ซึ่งกำหนดวิสัยทัศน์ “สร้างภูมิคุ้มกันภาคเกษตรกร สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาคเกษตร สามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เสริมสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตร สร้างความมั่นคงของฐานการผลิต เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อให้ภาคเกษตรมีส่วนร่วมในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเหมาะสม เป็นธรรม บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีนวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเพื่อสนับสนุนให้มีการพัฒนาและจัดการองค์ความรู้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในการปรับตัวและการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อย และการเก็บกักก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งสนับสนุนการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ         นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนของสังคมกับสิ่งแวดล้อม ความเป็นหุ้นส่วนของภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และชุมชนเกษตรในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความร่วมมือ ในการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทั้งกรอบความร่วมมือในประเทศและระหว่างประเทศ       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ภาคเกษตรเพียงพอที่จะรักษาพื้นที่เกษตรและกำลังแรงงานในภาคเกษตรมากขึ้น เพื่อคงความมั่นคงทางด้านอาหาร ให้ภาคเกษตรมีส่วนร่วมในการเก็บกัก และช่วยประชาคมโลกลดก๊าซเรือนกระจก ที่สอดคล้องความสามารถของเกษตรกร โดยการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ รวมทั้งมีองค์ความรู้ มีการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เพื่อการปรับตัว การสร้างภูมิคุ้มกันภาคเกษตรกร การลดการปล่อยและการเก็บกักก๊าซเรือนกระจกที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ และมีเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ความสำเร็จ ความรู้ เทคโนโลยี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างโอกาสและความเท่าเทียมกันในสังคม         สำหรับระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี (พ.ศ.2556–2559) ภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์มี 3 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มี 2 กลยุทธ์ คือ 1. เตรียมความพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกัน 2. การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเก็บกักและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร มี 2 กลยุทธ์ คือ 1. การพัฒนาระบบข้อมูลและองค์ความรู้ก๊าซเรือนกระจก 2. ส่งเสริม สนับสนุนการปรับระบบการผลิตสู่เกษตรกรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ที่ 3 การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร มี 5 กลยุทธ์ คือ 1. การพัฒนาเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 3. เพิ่มศักยภาพบุคลากร 4. พัฒนาการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือกับต่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ 5. สร้างกลไกในการติดตาม ขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ          ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตรฯ จะมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนภูมิอากาศ เกิดการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีระบบ ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เกษตรกรมีภูมิคุ้มกัน สามารถรองรับและบรรเทาปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคเกษตรกรของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป.

ศธ.ขอเพิ่ม600อัตรา ครูสอนภาษาตปท. รองรับเออีซี

ศธ.ขอเพิ่ม600อัตรา ครูสอนภาษาตปท. รองรับเออีซี
กระทรวงศึกษาธิการ ขอความเห็นชอบโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สอง หวังผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน ขอ ครม.อนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุผู้รับทุน จำนวน 600 อัตรา...ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ครม. วันที่ 25 ธ.ค. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ขอความเห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สองเพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน โดยขออนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุผู้รับทุนจำนวน 600 อัตรา ในช่วงปี พ.ศ.2556–2561 โดยเฉลี่ย 150 ทุนต่อปี ทั้งนี้ จำนวนทุนต่อปีอาจปรับเพิ่ม–ลด ไม่เกินร้อยละ 5 ตามสถานการณ์ที่จำเป็น        ศธ. รายงานว่า ได้ดำเนินการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศที่สำคัญๆ โดยเฉพาะภาษาของประเทศคู่ค้า ได้แก่ ภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน รัสเซีย เวียดนาม เขมร พม่า และภาษาบาฮาซามาเลย์/อินโดนีเซีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้ภาษาต่างประเทศและขีดความสามารถในการแข่งขันของคนไทย อันเป็นการเตรียมความพร้อมและความเข้มแข็งสู่ประชาคมโลก และประชาคมอาเซียนตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเร่งรัดพัฒนาคุณภาพการศึกษา ยกระดับองค์ความรู้ให้ได้มาตรฐานสากล แต่ปัญหาใหญ่ที่ประสบตลอดมาคือ ขาดแคลนครูผู้สอนที่มีคุณภาพ โรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนโดยอาศัยครูไม่ตรงวุฒิ ซึ่ง ศธ. โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดอบรมความรู้ด้านภาษาและการสอนอย่างต่อเนื่องให้ครูไม่ตรงวุฒิเหล่านี้ โดยร่วมมือกับองค์กรเจ้าของภาษา พร้อมทั้งจัดหาครูอาสาสมัครที่เป็นเจ้าของภาษามาร่วมสอนด้วย แต่วิธีการดังกล่าวแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง เพราะครูไม่ตรงวุฒิบางส่วนไม่สามารถสอนได้อย่างลึกซึ้งเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับความต้องการและความจำเป็นด้านคุณภาพและปริมาณที่ทวีขึ้นๆ ดังนั้น ในช่วงปี พ.ศ. 2550–2552 สพฐ.ได้แก้ปัญหาอันนำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนอย่างยั่งยืน ด้วยการร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ทุนศึกษาด้านการสอนภาษาจีนแก่บัณฑิตจบใหม่ในสาขาวิชาเอกภาษาจีน เพื่อพัฒนาเป็นครูที่มีคุณภาพและมีคุณวุฒิในวิชาชีพตามมาตรฐานของคุรุสภา จำนวน 300 คน และบรรจุเข้ารับราชการเป็นครูสอนภาษาจีนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. 300 โรงทั่วประเทศ โดยเฉลี่ยอัตราเกษียณ ในช่วงเวลา 3 ปี มาตรการดังกล่าวช่วยเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้ภาษาจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยครูที่มีคุณภาพ โดยที่ปัจจุบันการบรรจุครูรุ่นใหม่ในสาขาภาษาต่างประเทศที่สองทำได้ยากขึ้น เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาที่ผลิตบัณฑิตวุฒิครูในสาขาวิชาภาษาญี่ปุ่นและเยอรมันมีน้อยมาก รวมทั้งไม่มีสถาบันอุดมศึกษาใดผลิตบัณฑิตวุฒิครูสาขาวิชาภาษาเกาหลี สเปน รัสเซีย และภาษาประเทศอาเซียน บัณฑิตวิชาเอกภาษาต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นวุฒิศิลปศาสตร์ ไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ หากไม่ศึกษาเพิ่มเติมหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู และตั้งแต่คุรุสภาประกาศยกเลิกการรับรองหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2553 จึงทำให้การจัดหาครูสอนภาษาต่างประเทศในสาขาวิชาที่ขาดแคลนเหล่านี้ยากขึ้นมากกว่า หรือแทบไม่มีทางเป็นไปได้       อย่างไรก็ตาม สำนักงาน ก.พ. มีความเห็นว่า การขออนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุผู้รับทุนตามโครงการ จำนวน 600 อัตรานั้น เห็นควรให้ ศธ. ใช้วิธีการบริหารจัดการจากอัตราว่างที่มีอยู่ก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อพิจารณาจัดสรรจากอัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ว่างลง จากการเกษียณอายุราชการในแต่ละปีต่อไป.

ศธ.ชงโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะเทิดพระเกียรติพระเทพฯ

ศธ.ชงโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะเทิดพระเกียรติพระเทพฯ
กระทรวงศึกษาธิการ ขอ ครม. อนุมัติปรับเปลี่ยน โครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หวังกระตุ้นและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชน...ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ครม. วันที่ 25 ธ.ค. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ขออนุมัติปรับเปลี่ยน “โครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ” ตามที่บรรจุไว้ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เป็น “โครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ” โดยใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการดำเนินการโครงการคงเดิม คือ ต.ค. 2555-ก.ย. 2556         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศธ. รายงานว่า ศธ. ได้มีหนังสือถึงกองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักราชเลขาธิการ ขอให้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ ศธ. ดำเนินการ “โครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี : คูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ” เนื่องในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ ในปี 2558 ซึ่งกองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักราชเลขาธิการได้มีหนังสือแจ้งว่า ได้นำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทแล้ว มีพระราชกระแสขอเปลี่ยนจากการจัดโครงการดังกล่าว เป็นการจัดซื้อหนังสือให้ห้องสมุดต่างๆ รวมทั้งมีการจัดอบรมให้กับผู้ที่จะมาใช้ห้องสมุดได้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับระเบียบวินัย และข้อพึงปฏิบัติในการเข้าใช้ห้องสมุด การเคารพสิทธิ์ผู้อื่น ตลอดจนการช่วยดูแลรักษาห้องสมุดร่วมกัน เห็นว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กและประชาชนจะดีกว่า        ดังนั้น เพื่อเป็นการสนองตอบต่อพระราชกระแสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ศธ.จึงได้จัดทำโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะเพื่อจัดหาหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร รายสัปดาห์ รายปักษ์ หนังสือ สำหรับห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ตลอดจนบ้านหนังสือ : ห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน เพื่อเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมการอ่านให้กับประชาชนทั่วไป และสร้างโอกาสในการอ่านให้เกิดขึ้นกับประชาชนในระดับรากหญ้าที่อยู่ในหมู่บ้าน ที่ด้อยโอกาสในการอ่านที่มีสาเหตุมาจากปัญหาหลายประการ อาทิ ห้องสมุดอยู่ห่างไกลบ้านพัก เดินทางไม่สะดวก หนังสือราคาสูง ไม่มีเงินเหลือพอที่จะซื้อหนังสืออ่าน การจัดหาหนังสือให้กับบ้านหนังสือ : ห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน ที่อยู่ในหมู่บ้าน และห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จึงจะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดขึ้นกับทุกคนได้อย่างแท้จริง ดังพระราชปณิธานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี           โดยโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสที่จะเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2558  และเพื่อกระตุ้นและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล รวมทั้งเพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบบ้าน หนังสืออัจฉริยะ หรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชน ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” และองค์ความรู้ที่สนใจได้อย่างต่อเนื่อง      กำหนดเป้าหมายให้มีบ้านหนังสืออัจฉริยะ หรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชนในพื้นที่ปกติทั่วประเทศ จำนวน 40,000 แห่ง บ้านหนังสืออัจฉริยะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา จำนวน 1,800 แห่ง และห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จำนวน 87 แห่ง.

Friday, December 21, 2012

กมธ.วุฒิฯ จี้ตรวจสอบร้านขายปืนและเกมรุนแรง

กมธ.วุฒิฯ จี้ตรวจสอบร้านขายปืนและเกมรุนแรง
กมธ.การพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชนฯ วุฒิสภา จี้ให้กวดขันร้านเกมที่นำเกมรุนแรงมาให้เด็กเล่น รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบการอนุญาตเปิดร้านขายปืน และจำนวนปืนที่ส่ังมาจำหน่ายย้อนหลังไป 5 ปี...เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. มีรายงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ได้ประชุมกันที่ห้องประชุม 310 อาคารรัฐสภา 2 เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมี นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธานในการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้หารือถึงกรณีเกิดคดีสะเทือนขวัญนักเรียนใช้อาวุธกราดยิงในโรงเรียนมีนักเรียนเสียชีวิตหลายคนที่ประเทศสหรัฐฯ และต่อมาจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าเด็กมีปัญหาทางจิต รวมทั้งติดเกม ส่งผลให้เกิดอารมณ์รุนแรง ซึ่งในประเทศไทยก็กำลังเกิดปัญหาคล้ายคลึงกัน เนื่องจากปัจจุบันมีร้านเกมจำนวนมากนำเกมการต่อสู้รุนแรงมาให้เด็กเล่น ขณะที่ผู้ปกครองก็ปล่อยปละละเลย โดยไม่สนใจดููว่าเกมมีลักษณะความรุนแรงมากน้อยขนาดไหนนางสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีปัญหาน่าห่วงคือ วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา แม้กระทั่งผู้ใหญ่ติดเกมกันงอมแงม เล่นกันวันละหลายช่ัวโมง ร้านเกมในปัจจุบันก็ตกแต่งในบรรยากาศที่มอมเมาเยาวชน นอกจากนี้ เกมที่ไม่เหมาะสมมีความรุนแรงก็มีมาก ทำให้คนเล่นเกิดซึบซับอารมณ์รุนแรงตามไปด้วย เช่น เกมให้ผู้เล่นหาวิธีปล้น และเกมผู้ร้ายทำอย่างไรจึงจะไปข่มขืนผู้หญิงได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสนใจในเรื่องนี้ด้วยด้านนายอนันต์ วรธิตินันท์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ระยะหลังเยาวชนที่มีพฤติกรรมรุนแรงมีการใช้อาวุธปืนมากขึ้น จึงควรมีมาตรการในการควบคุมอาวุธปืนให้รัดกุม พร้อมทั้งเสนอให้คณะกรรมาธิการฯ ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบเรื่องการออกใบอนุญาตเปิดร้านจำหน่ายปืน และจำนวนปืนที่มีการส่ั่งเข้ามาขายว่ามีมากน้อยเท่าไรทั้งนี้ ก่อนจบการประชุม ที่ประชุมมีมติให้ประธานคณะกรรมาธิการฯ ทำหนังสือแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เข้มงวดกวดขันร้านเกมด้วย พร้อมทั้งทำหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ ขอทราบจำนวนการอนุญาตให้เปิดร้านขายปืน ย้อนหลังไป 5 ปี และจำนวนปืนท่ี่ส่ั่งเข้ามาจำหน่ายด้วย.

กรมอุทยานฯโวไฟป่าคุมได้ เล็งเพิ่มมาตรการช่วงปีใหม่

กรมอุทยานฯโวไฟป่าคุมได้ เล็งเพิ่มมาตรการช่วงปีใหม่
รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช มั่นใจคุมไฟป่าอยู่ คาดหลังปีใหม่ความชื้นลดลง เล็งเพิ่มมาตรการป้องกันไฟป่าเพิ่มขึ้น วอนชาวบ้านลด ละ เลิก การเผาในที่โล่ง...เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 55 ที่อาคารกริตสามะพุทธิ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช เป็นประธานการจัดประชุมเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง โดยนายธีรภัทร กล่าวว่า ปัจจุบันการเกิดไฟป่าถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการสำรวจพื้นที่ในภาคเหนือ ขณะนี้พบว่ามีการเผาเพื่อกำจัดเศษซากผลผลิต ที่เหลือจากการทำการเกษตร หรือการเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่ในการทำการเกษตรเท่านั้น ยังไม่พบการเกิดไฟไหม้ในพื้นที่ป่า ซึ่งขณะนี้ป่ายังคงมีความชื้น จึงทำให้เกิดไฟป่าได้ยาก สำหรับพื้นที่ในป่าพรุควนเคร็ง ก็ยังคงมีความชื้น เพราะฝนตกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาคอีสานก็แห้งแล้งเป็นบางพื้นที่เท่านั้น ดังนั้น สถานการณ์การเกิดไฟป่าทั่วประเทศในขณะนี้ จึงน่าจะสามารถควบคุมและป้องกันได้ แต่หลังปีใหม่นี้คาดว่า ความชื้นของป่าจะลดลง ความแห้งแล้งจะเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะมีมาตรการป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้นมากขึ้นเช่นกันรองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวอีกว่า กรมอุทยานฯ ได้เตรียมความพร้อมและเฝ้าระวังการเกิดปัญหาไฟป่า และภาวะหมอกควันอย่างใกล้ชิด โดยการเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง การใช้จำนวนจุดความร้อนเป็นข้อมูลประกอบในการควบคุม และแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่ สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับแนวกันไฟ พบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบทำแนวกันไฟในพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องดูพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ให้แนวกันไฟมีความเชื่อมโยงครอบคลุมในทุกพื้นที่ และสิ่งที่สำคัญคือหน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ ต้องควบคุมปริมาณการเกิดไฟป่าให้ลดน้อยลงจากปีที่แล้วประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์นอกจากนี้จะมีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง ซึ่งหากชาวบ้านจำเป็นต้องเผาในพื้นที่การเกษตร เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าไปช่วยควบคุมการเผาเพื่อไม่ให้ลุกลามไปในพื้นที่ป่า หรือแนะนำชาวบ้านให้ดำเนินการชิงเผาในช่วงเวลาที่ไม่มีความเสี่ยง รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาไฟป่า เพื่อเกิดความตระหนักและเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลด ละ เลิก การเผาในที่โล่ง ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานให้เกิดการบูรณาการประสานงานร่วมกัน เพื่อให้การปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าว.

ปี 2555 คนไทยเดือดร้อนปัญหาบริการสุขภาพ-สาธารณสุข มากสุด

ปี 2555 คนไทยเดือดร้อนปัญหาบริการสุขภาพ-สาธารณสุข มากสุด
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผย ปี 2555 คนไทยได้รับความเดือดร้อนเรื่องการบริการสุขภาพและสาธารณสุขมากที่สุด รองมาคือปัญหาหนี้บัตรเครดิต จี้รัฐเร่งคลอด กม.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค...วันที่ 21 ธ.ค. ที่สำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 6 ภูมิภาค แถลงข่าวรายงานสถานการณ์ ความทุกข์ของผู้บริโภคประจำปี 2555 ว่า จากการรับเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคผ่านศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคของมูล นิธิฯ และเครือข่ายผู้บริโภคตลอดปี 2555 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,446 ราย จากทั้งหมด 7 กลุ่มปัญหา ได้แก่ปัญหาด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข ปัญหาด้านการเงินการธนาคาร ปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาด้านสื่อและโทรคมนาคม ปัญหาด้านบริการสาธารณะ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป ปัญหาด้านอาหาร ยา และเครื่องสำอางพบว่ากลุ่มปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด อันดับ 1 คือ ปัญหาด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข มีจำนวน 718 ราย ในจำนวนนี้เป็นการร้องเรียนกรณีศูนย์ออกกำลังกาย (แคลิฟอร์เนียว้าว) ที่ปิดบริการโดยไม่แจ้งให้ทราบ แต่ยังมีการรับสมัครสมาชิกตลอดชีพ ทั้งที่ไม่สามารถเปิดให้บริการได้แล้วมากถึง 669 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 30 ล้านบาทรองลงมาคือเรื่องมาตรฐานการ รักษาพยาบาล ระบบส่งต่อผู้ป่วย และการใช้สิทธิในกองทุนฉุกเฉิน อันดับ 2 คือ ปัญหาด้านการเงินการธนาคาร มี 292 ราย ส่วนใหญ่เป็นปัญหาการชำระหนี้ไม่ตรงตามเวลา ผู้ให้บริการบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และธุรกิจเช่าซื้อ ส่วนมากมีการติดตามทวงหนี้ที่เป็นการละเมิดสิทธิ และมีคดีฟ้องร้องเป็นคดีมากขึ้นสูงกว่าปีที่ผ่านมา รองลงมาคือปัญหาจากบริษัทประกันภัย ที่มักมีข้ออ้างกับผู้บริโภคว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เข้าเงื่อนไขของ การรับประกันเลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า อันดับ 3 คือ ด้านอสังหาริมทรัพย์ 124 ราย ประเด็นที่ส่งผลกับผู้บริโภคส่วนใหญ่คือ ปัญหาบ้านจัดสรร โดยเฉพาะการผิดสัญญาซื้อขายของบ้านเอื้ออาทร ที่เจ้าของบ้านถูกธนาคารและการเคหะแห่งชาติดำเนินการเปลี่ยนแปลงสัญญา โดยอ้างว่าทางการเคหะฯ ได้ซื้อบ้านคืนแล้ว หากผู้บริโภคยังต้องการอาศัยอยู่ต่อต้องจ่ายค่าเช่าคืนละ 100 บาท และท้ายสุดการเคหะฯ ก็จะดำเนินการฟ้องคดี เพื่อขับไล่ผู้บริโภคออกจากบ้านหลังนั้นนอกจากนี้ ยังมีกรณีโครงการหมู่บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ละเลยไม่จัดหา จัดสร้างพื้นที่ส่วนกลางตามที่สัญญาไว้ในสัญญาโครงการ จำนวน อันดับ 4 ด้านสื่อและโทรคมนาคม 96 ราย พบว่ามีลักษณะของการได้รับซิมฟรีแล้วถูกเรียกเก็บเงินภายหลัง ทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้บริการคือ ปัญหาสูงสุดในขณะนี้ รองลงมาคือปัญหาวันหมด แต่เงินไม่หมด แต่ไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้ถือเป็นความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมายของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันดับ 5 คือ ด้านบริการสาธารณะ 95 ราย เรื่องร้องเรียนมากที่สุดคือ ปัญหาการชดเชยค่าเสียหายแก่ผู้โดยสารที่สูญเสียชีวิตและทรัพย์ เมื่อรถโดยสารเกิดอุบัติเหตุ ปัญหาทรัพย์สินสูญหายระหว่างการเดินทาง ที่ไม่ได้รับการชดใช้เต็มจำนวน ปัญหาการเก็บค่าบริการแพงเกินจริง ปัญหาบรรทุกเกินอันดับ 6 คือ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป มีผู้ร้องเรียน 79 ราย ส่วนใหญ่เป็นรถใหม่ป้ายแดงประกอบในไทยด้อยคุณภาพ และรถนำเข้าจากจีนด้อยคุณภาพ และอันดับ 7 ปัญหาอาหารหมดอายุแล้วยังมาจำหน่ายในห้างร้าน ฉลากกำกับ วันที่ผลิต วันหมดอายุไม่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเสมือนยารักษาโรคน.ส.สารี กล่าวอีกว่า ทุกข์ของผู้บริโภคยังมีอย่างต่อเนื่องสารพัดรูปแบบ และคาดว่าใน 2556 จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกรณีจากกรณีบัตรเดรดิตสารพัดรูปแบบตามนโยบายของรัฐบาล จากนโยบายรถคันแรกและบ้านหลังแรก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่อาจคุ้มครองผู้บริโภคได้ทั้งหมด ทางมูลนิธิจึงเรียกร้องให้ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความเป็นธรรม และเร่งคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะ อยากให้รัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 61  จัดบริการสุขภาพมาตรฐานเดียว โดยผู้ประกันตนต้องไม่รวมจ่ายเรื่องบริการสุขภาพ ออกประกาศให้รถโดยสารสาธารณะต้องทำประกันภัยชั้น 1 และมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการต่างๆ ต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด.

Thursday, December 20, 2012

มะเร็งช่องปากติด 1 ใน 10 ที่พบในคนไทยป่วย เป็นที่ลิ้นมากสุด

มะเร็งช่องปากติด 1 ใน 10 ที่พบในคนไทยป่วย เป็นที่ลิ้นมากสุด
กรมอนามัยเผยมะเร็งช่องปากติด 1 ใน 10 มะเร็งที่พบในคนไทย โดยเฉพาะมะเร็งที่ลิ้นพบมากที่สุด แนะสังเกตแผลเรื้อรังในช่องปาก หากนานเกิน 2 สัปดาห์ เสี่ยงมะเร็ง เตือนกลุ่มสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินหมากเป็นประจำ เข้าข่ายเสี่ยงด้วย...เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า มะเร็งช่องปากเป็น 1 ใน 10 อันดับแรกของมะเร็งที่พบในคนไทย ข้อมูลจากโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในปี 2555 พบมะเร็งที่ลิ้นมากที่สุดจำนวน 354 ราย โดยเป็นมะเร็งที่โคนลิ้นจำนวน 181 ราย และมะเร็งที่ส่วนอื่นของลิ้นจำนวน 173 ราย รองลงมาคือมะเร็งที่เพดานปากจำนวน 284 ราย มะเร็งที่พื้นของช่องปาก มะเร็งที่เหงือก และมะเร็งริมฝีปาก ส่วนที่ยังคงพบน้อยคือมะเร็งที่ต่อมน้ำลาย ทั้งนี้ สัญญาณเตือนของมะเร็งช่องปากในระยะแรก จะมีแผลเรื้อรังในช่องปากที่เป็นแล้วไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ มีแผ่นฝ้าสีขาวถูไม่ออกหรือแผ่นฝ้าสีแดง มีก้อนที่ปากหรือคอ ขอบลิ้น หรือขอบริมฝีปากมีลักษณะแข็งเป็นไต เจ็บคอเรื้อรัง เสียงแหบ กลืนลำบาก หรือมีอาการแสบที่ลิ้น หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งช่องปากคือผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินหมาก เป็นประจำ และมีประวัติญาติป่วยเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งในช่องปากเป็นประจำทุกปี ซึ่งการตรวจพบรอยโรคระยะแรกหรือรอยโรคก่อนมะเร็งและรีบรักษาจะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้“กรมอนามัยได้เริ่มโครงการคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งช่องปากตั้งแต่ปี 2550 เพื่อให้ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้รับการตรวจคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งช่องปากและได้รับการส่งต่อเพื่อรับการรักษา โดยผลการดำเนินงานล่าสุดในปี 2554 ใน 12 จังหวัด คือ สระบุรี สมุทรสาคร พิษณุโลก นครสวรรค์ สุพรรณบุรี ปัตตานี นครศรีธรรมราช ยะลา นครราชสีมา อุบลราชบุรี หนองบัวลำภู และแพร่ พบกลุ่มเสี่ยง 8,861 ราย อายุเฉลี่ย 53 ปี เป็นชายร้อยละ 46 หญิงร้อยละ 54 ในจำนวนนี้พบว่าสูบบุหรี่ร้อยละ 26 ดื่มเหล้าร้อยละ 18 กินหมาก ร้อยละ 8 ครอบครัวมีประวัติมะเร็งร้อยละ 11 และพบรอยโรคในช่องปากทั้งหมด 712 ราย พบรอยโรคก่อนมะเร็ง 67 ราย” นพ.เจษฎา กล่าวด้าน ทันตแพทย์สุธา เจียรมณีโชติชัย ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า สิ่งที่สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย จะดำเนินการต่อในปี 2555-2557 คือการพัฒนาศักยภาพทันตบุคลากรทั่วประเทศในการคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งช่องปากและช่วยผู้ป่วยให้เลิกบุหรี่ พัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยภายในจังหวัดและในเขต พัฒนาทันตแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในการรับส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงพัฒนาแนวทางการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคในกลุ่มเสี่ยง มีการจัดทำฐานข้อมูลผลการตรวจคัดกรองรอยโรคในช่องปาก และรณรงค์สร้างกระแสให้ประชาชน ไปรับการตรวจเนื้อเยื่อในช่องปากและได้รับการแนะนำเรื่องการเลิกบุหรี่ที่คลินิกทันตกรรม เพื่อให้อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งช่องปากลดลง.

เปิดโครงการจบ ม.6 ใน 8 เดือน ย้ำจบอย่างมีประสิทธิภาพ

เปิดโครงการจบ ม.6 ใน 8 เดือน ย้ำจบอย่างมีประสิทธิภาพ
รมว.ศึกษาธิการ เปิดโครงการจบ ม.6 ใน 8 เดือน ชี้ผู้เรียนจะจบอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำวุฒิเรียนต่อระดับปริญญาตรีได้... เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่อิมแพค เมืองทองธานี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการยกระดับการศึกษาประชาชน จบ ม.6 ใน 8 เดือน อย่างมีคุณภาพ โดยมีผู้สนใจสมัครเรียนเข้าร่วมงาน จำนวน 3,159 คน รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การพัฒนาประชาชนในสังคมทุกคนให้มีการศึกษาที่ดีเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งการศึกษาที่แท้จริงคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะความรู้มีอยู่ทุกที่ สำหรับบางคนที่ไม่ได้จบในระบบการศึกษาเพราะต้องไปทำงานไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ หรืออาชีพใดๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่มเพาะให้เกิดการเรียนรู้ เกิดการสั่งสมประสบการณ์ จนบางครั้งคนที่อยู่นอกระบบการศึกษาเหล่านี้มีความรู้มากกว่าคนที่อยู่ในระบบการศึกษาเสียอีกทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายที่จะยกระดับการศึกษาของประชาชน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้จบในระบบการศึกษาสามารถเรียนจบ ม.6 ได้ในเวลา 8 เดือนอย่างมีคุณภาพ รัฐบาลจึงต้องการเปิดโอกาสให้คนทำงานที่มีความรู้ และประสบการณ์การทำงานระดับหนึ่ง มีอายุ 20 ปีขึ้นไป นำประสบการณ์ที่มีมาเทียบโอนความรู้กับ กศน.ซึ่งได้กำหนดมาตรฐานการเทียบโอนไว้อย่างชัดเจน นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า ในส่วนของภาคทฤษฎีที่ขาดก็จะส่งเสริมเติมเต็มได้ โดยคนที่จบได้วุฒิ ม.6 หากต้องการนำวุฒิไปสมัครเรียนต่อระดับปริญญาตรีได้ ซึ่งวุฒิการศึกษาที่ได้ถือว่ามีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่าผู้จบการศึกษาในระบบโรงเรียน อย่างไรก็ตาม หากเราส่งเสริม คนในประเทศมีการศึกษาสูงขึ้น ก็จะเป็นผลักดันให้ประเทศไทยแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้มากขึ้น ดังนั้น ยืนยันว่ารัฐบาลและ ศธ.จะสนับสนุนทุกทางและผลักดันให้การดำเนินการโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ และผู้ที่จบต้องจบอย่างมีคุณภาพแน่นอน.

เพิ่มผู้แสวงบุญสังเวชนียสถานที่อินเดีย-เนปาล รวม 4 รุ่น

เพิ่มผู้แสวงบุญสังเวชนียสถานที่อินเดีย-เนปาล รวม 4 รุ่น
รัฐบาลอนุมัติงบฯ แสวงบุญสังเวชนียสถาน เพิ่มเป็น 4 รุ่น พ่วง 6 โครงการ รวม 60 ล้าน ส่งเสริมให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน เดินทางไปสังเวชนียสถาน นำมาถ่ายทอดองค์ความรู้จากประสบการณ์จริง...เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) กล่าวว่า จากการที่ ศน.ได้จัดโครงการส่งเสริมพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปประกอบศาสนกิจ ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ประเทศอินเดียและเนปาลนั้น ขณะนี้รัฐบาลได้เห็นชอบขยายโครงการดังกล่าวเพิ่มจาก 1 รุ่น เป็น 4 รุ่น เดินทางรุ่นละ 130 คน รวม 520 รูป/คน ซึ่งขณะนี้ ศน.ได้คัดเลือกพระสังฆาธิการ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ผู้บริหารศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ นักเรียน นักศึกษา ที่มาร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาต่อเนื่อง วัฒนธรรมจังหวัด ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา โดยนับเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลเห็นความสำคัญของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา และจะทำให้คนไทยเห็นความสำคัญของการเดินทางไปจาริกบุญสถานที่ ที่เกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยนายปรีชา กล่าวต่อว่า โครงการส่งเสริมพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปประกอบศาสนกิจ ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จำนวน 38 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น กองทุนดังกล่าวยังได้สนับสนุนโครงการต่างๆ อีก 6 โครงการ ได้แก่ โครงการสนับสนุนกิจกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา งบประมาณ 7.5 ล้านบาท โครงการส่งเสริมเรียนรู้ศาสนพิธีและเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ 2 ล้านบาท โครงการคลินิกคุณธรรมในสถานศึกษา 7.5 ล้านบาท โครงการพัฒนาสมรรถนะพระธรรมวิทยากรในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ 3 ล้านบาท โครงการส่งเสริมการดำเนินงานและบริหารกองทุน 1,812,800 บาท และโครงการค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงาน 187,200 บาท รวมงบประมาณที่กองทุนสนับสนุน จำนวน 60 ล้านบาท“เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่รัฐบาลเห็นความสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งในปีงบประมาณ 2557 กรมการศาสนา ก็จะเสนอโครงการส่งเสริมพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปประกอบศาสนกิจ ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ประเทศอินเดียและเนปาล จำนวน 4 รุ่นทุกปี เพื่อส่งเสริมให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ที่ได้เดินทางไปสังเวชนียสถาน ได้มาถ่ายทอดองค์ความรู้จากประสบการณ์จริงให้ผู้อื่นได้อย่างถูกต้องต่อไป” อธิบดีกรมการศาสนา กล่าว.

Wednesday, December 19, 2012

โยน ก.พ.ร.ศึกษาตั้ง กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

โยน ก.พ.ร.ศึกษาตั้ง กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
นิวัฒน์ธำรง เผย นายกฯเล็งปรับโครงสร้างราชการปี 56 หวังเพิ่มประสิทธิภาพงานทุกกระทรวง โยน ก.พ.ร.ศึกษา เรื่องรวมกระทรวงวัฒนธรรมเข้ากับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว...เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 55 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) เสนอแนวคิดให้มีการปรับโครงสร้างรวม วธ. เข้ากับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ส่วนเรื่องกีฬาก็ควรมีการปรับแยกเป็นอีกกระทรวงหนึ่งว่า นายสนธยายังไม่ได้มาหารือกับตนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่มีการพูดคุยเพียงเล็กน้อยในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) เข้ามาศึกษาในเรื่องดังกล่าวก่อน ส่วนตัวเห็นว่า วธ.และ กก.ได้ทำงานร่วมกันมาอยู่แล้ว และจะมีอีกส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านศาสนา คือ กรมการศาสนา (ศน.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยว ไม่ได้มีแค่ด้านวัฒนธรรมและศาสนาเท่านั้น ยังมีเรื่องของธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องของโครงสร้างระบบราชการ ที่จะต้องนำมาดูกันทั้งหมดไม่ใช่เพียงแต่ วธ. และกก.เท่านั้น ซึ่งรัฐบาลเข้ามาทำงานได้ 1 ปีกว่า กำลังดูอยู่และก็มีแนวคิดที่จะปรับโครงสร้างโดยภาพรวมทั้งหมดในขณะเดียวกัน ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างทั้งหมด รัฐบาลก็ต้องสอบถามความคิดเห็นจากทุกกระทรวงก่อน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา รัฐบาลได้เก็บรวบรวมข้อมูลการทำงานของทุกหน่วยงานราชการทั้งหมด พบว่าการทำงานไม่มีปัญหา แต่ต้องกลับมาพิจารณาว่า การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุดหรือยัง เราคงต้องดูว่าทุกหน่วยงานจะทำให้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร เช่น เรื่องน้ำมีหน่วยงานดูแล 17 หน่วยงาน เป็นต้นซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาดูเรื่องปรับโครงสร้างให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคตคาดว่าในปี 2556 จะต้องมีการหารือเรื่องปรับโครงสร้างระบบราชการ โดยแนวคิดนายสนธยาก็เป็นแนวคิดหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการปรับโครงสร้างอยู่ ว่าจะทำอย่างไรให้หน่วยงานเกิดประสิทธิภาพอัตรากำลังเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม บางงานทำมาหลายปีแล้ว ยังคงล้าสมัยหรือบางงานควรจะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เช่น การทำหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการให้ ส่งผลให้การออกหนังสือเดินทางเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นต้น ซึ่งต้องมีการคิดและพัฒนาอยู่ตลอด และนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงตลอดว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำ โดยจะต้องค่อยๆปรับ ไม่ใช่ปรับรวดทีเดียว นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวนิวัฒน์ธำรง เผย นายกฯเล็งปรับโครงสร้างราชการปี 56 หวังเพิ่มประสิทธิภาพงานทุกกระทรวง โยน ก.พ.ร.ศึกษา เรื่องรวม กระทรวงวัฒนธรรมเข้ากับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว...เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 55 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) เสนอแนวคิดให้มีการปรับโครงสร้างรวม วธ. เข้ากับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ส่วนเรื่องกีฬาก็ควรมีการปรับแยกเป็นอีกกระทรวงหนึ่งว่า นายสนธยายังไม่ได้มาหารือกับตนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่มีการพูดคุยเพียงเล็กน้อยในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) เข้ามาศึกษาในเรื่องดังกล่าวก่อน ส่วนตัวเห็นว่า วธ.และ กก.ได้ทำงานร่วมกันมาอยู่แล้ว และจะมีอีกส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านศาสนา คือ กรมการศาสนา (ศน.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยว ไม่ได้มีแค่ด้านวัฒนธรรมและศาสนาเท่านั้น ยังมีเรื่องของธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องของโครงสร้างระบบราชการ ที่จะต้องนำมาดูกันทั้งหมดไม่ใช่เพียงแต่ วธ.และกก.เท่านั้น ซึ่งรัฐบาลเข้ามาทำงานได้ 1 ปีกว่า กำลังดูอยู่และก็มีแนวคิดที่จะปรับโครงสร้างโดยภาพรวมทั้งหมดในขณะเดียวกัน ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างทั้งหมด รัฐบาลก็ต้องสอบถามความคิดเห็นจากทุกกระทรวงก่อน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา รัฐบาลได้เก็บรวมรวมข้อมูลการทำงานของทุกหน่วยงานราชการทั้งหมด พบว่าการทำงานไม่มีปัญหา แต่ต้องกลับมาพิจารณาว่า การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุดหรือยัง เราคงต้องดูว่าทุกหน่วยงานจะทำให้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร เช่น เรื่องน้ำมีหน่วยงานดูแล 17 หน่วยงาน เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาดูเรื่องปรับโครงสร้างให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคตคาดว่าในปี 2556 จะต้องมีการหารือเรื่องปรับโครงสร้างระบบราชการ โดยแนวคิดนายสนธยาก็เป็นแนวคิดหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการปรับโครงสร้างอยู่ ว่าจะทำอย่างไรให้หน่วยงานเกิดประสิทธิภาพอัตรากำลังเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม บางงานทำมาหลายปีแล้ว ยังคงล้าสมัยหรือบางงานควรจะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เช่น การทำหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการให้ ส่งผลให้การออกหนังสือเดินทางเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นต้น ซึ่งต้องมีการคิดและพัฒนาอยู่ตลอด และนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงตลอดว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำ โดยจะต้องค่อยๆ ปรับ ไม่ใช่ปรับรวดทีเดียว นายนิวัฒน์ธำรง กล่าว

มโนพัศ ส่อเลิกรื้อถอนรีสอร์ทรุกอช. อ้างต้องฟังเสียงคนพื้นที่

มโนพัศ ส่อเลิกรื้อถอนรีสอร์ทรุกอช. อ้างต้องฟังเสียงคนพื้นที่
ส่อเค้าไม่รื้อถอนรีสอร์ทบ้านพักรุกอุทยานฯ ต่อ อธิบดีกรมอุทยานฯ คนใหม่ เผยสถานการณ์เปลี่ยนต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ ระบุไม่มีใครได้ประโยชน์จากการรื้อถอนทุบทิ้ง แย้มอาจมีการเปิดให้เช่าอุทยานฯ...เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ช่วงเช้าได้มีบรรดาข้าราชการกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้ทยอยเดินทางเข้ามอบกระเช้าดอกไม้แสดงความยินดีกับนายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว รองอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มข้าราชการส่วนใหญ่ที่เดินทางมาแสดงความยินดีกับนายมโนพัศ เป็นข้าราชการที่จบจากสายโรงเรียนป่าไม้แพร่นายมโนพัศ ให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายที่จะดำเนินการต่อไป คือจะรักษาพื้นที่ป่าที่มีไว้ให้ได้ ด้วยการบล็อกพื้นที่ป่าไม่ให้มีการบุกรุกทำลายใหม่ ส่วนพื้นที่ที่ถูกบุกรุกไปแล้วจะจัดการอย่างไร ซึ่งต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ว่าจะเข้ามาร่วมดูแลพื้นที่อย่างไร โดยพื้นที่บุกรุกใหม่จะใช้กฎหมายบังคับอย่างเด็ดขาด แต่ส่วนที่อยู่มาก่อนแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องมาตรวจพิสูจน์สิทธิ์ให้ชัดเจนก่อน ส่วนเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายก็ต้องมีบ้างตามความเหมาะสม แต่จะพยายามดำเนินการให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้น้อยที่สุด ผู้สื่อข่าวถามถึงการดำเนินการแก้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ โดยเฉพาะอุทยานฯ ทับลาน จ.นครราชสีมา และอุทยานฯ สิรินาถ จ.ภูเก็ต จะต้องดำเนินการต่อหรือไม่ นายมโนพัศ กล่าวว่า ต้องทำตามกฎหมาย หากศาลมีคำสั่งให้รื้อถอนก็ต้องดำเนินการตาม และขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ว่าจะทุบทิ้งหรือทำอย่างอื่นก็ต้องว่ากันต่อไป รวมทั้งจะทำอย่างไรก็ให้เกิดความสมดุลในเรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเมื่อถามว่าแสดงว่านโยบายในยุคของนายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่มีการรื้อถอนรีสอร์ท บ้านพักที่บุกรุกพื้นที่ป่าไม่เหมะสมหรือไม่ นายมโนพัศ กล่าวต่อว่า การดำเนินการในยุคของนายดำรงค์เป็นสิ่งที่ถูกต้องในเวลานั้น ซึ่งต้องขอชื่นชมว่านำร่องไว้ได้ดีมาก แต่จุดเปลี่ยนคือวันนี้ต้องมองถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ใครจะเป็นคนได้ประโยชน์จากการทุบรีสอร์ทเนื้อที่ 50–100 ไร่ ได้ป่าคืนมาเปรียบเทียบกับการเอาประโยชน์ทางอื่นว่าอย่างไหนจะเกิดประโยชน์สูงสุด   เมื่อถามถึงแนวทางการให้รีสอร์ท และบ้านพักตาอากาศ ที่บุกรุกพื้นที่อุทยานฯ เช่าพื้นที่เพื่อประกอบการต่อได้นั้น นายมโนพัศ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน ต้องรอจุดสมดุลหลายอย่าง ซึ่งก็ต้องมองว่าส่วนหนึ่งของการบุกรุก แต่อีกส่วนก็เป็นข้าราชการของเราที่ปล่อยปละละเลย ซึ่งต้องรอดูนโยบายของรัฐบาลว่าจะมีความชัดเจนอย่างไร แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนนั้น กรมอุทยานฯ จะต้องเร่งเดินหน้าพิสูจน์สิทธิ์ให้ชัดเจนก่อน เพราะถ้าไม่มีการพิสูจน์สิทธิ์ก็คงไม่มีใครยอมรับผิด ทุกคนก็ต่างอ้างเอกสารที่ตัวเองถือครองอยู่ และคงไม่มีใครยอมมาเช่าที่อุทยานฯ ด้าน นายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานฯ ทับลาน กล่าวว่า พร้อมรับนโยบายใหม่ที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งการมา แต่เกรงว่าไม่มีการรื้อถอนรีสอร์ทบ้านพัก ที่บุกรุกอุทยานฯ ตามมาตรา 22 พ.ร.บ.อุทยานฯ ตนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน อาจถูกฟ้องร้องในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แน่นอน ซึ่งกรมอุทยานฯ ก็ต้องเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือในเรื่องกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานหรือทางกรมอุทยานฯ จะต้องมีมาตรการเยียวยาให้กับผู้ประกอบการที่ได้รื้อถอนไปแล้วทั้งหมดจำนวน 27 ราย เป็นเรื่องที่กรมอุทยานฯ ต้องพิจารณา.

เอ็นจีโอ-นักวิชาการดักคอปลอด ยึกยักออกกม.ห้ามขายเหล้าบนทางเท้า

เอ็นจีโอ-นักวิชาการดักคอปลอด ยึกยักออกกม.ห้ามขายเหล้าบนทางเท้า
เอ็นจีโอ-นักวิชาการ ดักคอ “ปลอดประสพ” หลังลังเล ออกกฎหมาย ห้ามขายเหล้าบนทางเท้า ซัดกลุ่มทุนเสียผลประโยชน์ ชงสร้างวาทกรรมขูดรีดคนจน ชี้ ร้านเหล้าริมทาง พุ่งเป้าเด็กเยาวชน...วันที่ 19 ธ.ค. ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี  ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.)  กล่าวถึงกรณีที่มติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง พ.ศ. ... ที่ล่าสุด นายปลอดประสพ สุรัสวดี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ออกมาระบุว่า ควรใช้มาตรการทางสังคมมาดูแล และไม่มั่นใจว่า การออกกฎหมายจะเดินมาถูกทางหรือไม่  ว่าการขายสุราบนถนน และทางเท้า มีความสัมพันธ์กับการดื่มที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อปัญหาเฉียบพลัน ทั้งอุบัติเหตุ ความรุนแรง ความปลอดภัย และด้านความสะอาด สงบเรียบร้อย มักพบว่า คนที่ไม่ได้ดื่มด้วย จำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อจากปัญหาเหล่านี้ และที่สำคัญร้านเหล้า ริมทางจำนวนมากยังมุ่งไปที่เยาวชนอีกด้วยกฎหมายนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การห้ามดื่ม แต่เป็นการจัดระเบียบทำให้การขายสุราเป็นระบบระเบียบมากขึ้น และเป็นการช่วยทำให้ถนนและทางเท้าของเราปลอดภัยมากขึ้น  ประเทศพัฒนาแล้ว จำนวนมาก มีกฎระเบียบชัดเจนในการห้ามการขายในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะบนถนนและทางเท้า ต้องไม่ลืมว่ากรุงเทพฯ ถูกโหวตให้เป็นเมือง ที่ร้านอาหารริมทางดีที่สุด การทำให้ร้านอาหารและทางเท้า สะอาด ปลอดภัย จะเป็นอีกหนทางในการนำเงินเข้าประเทศได้ ซึ่งที่ผ่านมา มักมีข่าวบ่อยๆ ว่า คนเดินถนน และ นักท่องเที่ยวก็ตกเป็นเหยื่อของปัญหาจากการดื่ม“ไม่ควรตกหลุมพรางทางความคิดว่า กฎหมายนี้เป็นการรังแกคนจน เพราะคนที่มีรายได้น้อยนั้น จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์และการปกป้องจากมาตรการนี้ คนจนมีความเสี่ยงต่อปัญหาสูง และเมื่อเกิดปัญหาก็มีผลกระทบรุนแรงกว่าคนรวย  และหากดูจากผลการสำรวจ เอแบคโพลล์จะเห็นชัดว่า กลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยที่สุดในสังคม กว่าร้อยละ 80 ที่สนับสนุนการห้ามขายบนทาง และไม่ใช่เป็นการตอบคำถามโดยไม่ได้คิดใคร่ครวญให้ดี ดังที่มีการโจมตี เพราะอีกการสำรวจที่ถามคำถามปลายเปิดว่า ควรห้ามขายสุราที่ไหน กลุ่มตัวอย่างก็เห็นว่า ควรห้ามขายบนถนนและทางเท้าเป็นอันดับหนึ่ง” ภก.สงกรานต์  กล่าวผู้อำนวยการ สคล. กล่าวอีกว่า จากคำพูดนักวิชาการบางท่าน ที่มองว่า การห้ามขายน้ำเมาบนทางเท้าเป็นการรังแกคนจน  น่าจะเป็นการมองจากมุมเดียว แต่หากมองจากมุมของคนจน และสังคมทั้งระบบ โดยเฉพาะจากมิติครอบครัวแล้ว กลับเป็นการช่วยให้ครอบครัวของคนจนดีขึ้นหลายทาง งานวิจัยของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล  และ รพ.รามาธิบดี พบว่าในครอบครัวที่มีคนดื่มน้ำเมา จะทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าดังนั้น การช่วยให้คนในครอบครัว ไม่ต้องไปตั้งวงดื่มน้ำเมาอยู่บนทางเท้า จึงเป็นการช่วยลดความรุนแรงในครอบครัวไปในตัวด้วย ควรเปลี่ยนค่าน้ำเมาเป็นค่าอาหารที่กินทั้งครอบครัว สร้างความอบอุ่น และทำให้ร้านขายอาหารซึ่งเป็นคนจน ก็ได้กำไรจากการขายอาหารมากขึ้น แทนที่จะต้องไปเสียค่าน้ำเมาให้คนที่ร่ำรวยมหาศาลแล้ว นักวิชาการ ควรทำหน้าที่ปกป้องคนจนให้ถูกวิธี ต้องไม่กลายเป็นเครื่องมือของธุรกิจน้ำเมา โดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ  แล้วกลับมาทำร้ายคนจนทั้งครอบครัว ทำลายเศรษฐกิจและสังคม เพราะแม้แต่ธนาคารโลก ซึ่งชำนาญเรื่องเศรษฐกิจ ยังแนะนำว่ายิ่งควบคุมการดื่มน้ำเมามากเท่าใด ยิ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมมากเท่านั้น“จากงานวิจัยของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กฯ พบว่า เด็กเกือบครึ่งหนึ่งทำผิดหลังจากดื่มน้ำเมา  คนเป็นโรคเอดส์ มากกว่าครึ่งหนึ่งที่วัดพระบาทน้ำพุ เพราะน้ำเมา รวมทั้งเยาวชนมีแนวโน้มติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น รวมทั้งแอลกอฮอล์ทำลายสมองเยาวชน ทำลายชาติ  และสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ธุรกิจน้ำเมาต้องตระหนักว่าสินค้าที่ทำกำไรให้ร่ำรวยติดอันดับโลกอยู่แล้ว ไม่ใช่สินค้าธรรมดาเหมือนสินค้าอื่นๆ แต่ทำลายสังคมในทุกมิติ จึงไม่ควรทำการตลาดอย่างไม่มีจริยธรรม และต้องไม่ขัดขวางกฎหมายและมาตรการดีๆ ที่จะลดปัญหาให้สังคม และเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ” ภก.สงกรานต์ กล่าวขณะที่ ดร.นิษฐา  หรุ่นเกษม เครือข่ายนักวิชาการเฝ้าระวังภัยจากปัญหาแอลกอฮอล์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร   กล่าวว่า มาตรการนี้ จะทำให้คนทุกกลุ่มคนในทุกชนชั้นได้ใช้พื้นที่ได้ใช้ทางสาธารณะอย่างปลอดภัย แต่กำลังจะถูกเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ที่แท้จริง ด้วยการใช้วาทกรรมแห่งการแบ่งแยก ระหว่างความจนกับความรวย เพราะสิ่งที่มาตรการนี้กำลังจัดการคือกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำเมา กลุ่มทุนหลัก ที่กำลังครอบครองพื้นที่สาธารณะของบุคคล พื้นที่สาธารณะที่มีอยู่ของพวกเราไม่ได้เป็นพื้นที่ของเรา เมื่อถูกควบรวมให้กลายเป็นเพียงพื้นที่ทางการตลาดในการขายน้ำเมาและโฆษณาน้ำเมา“เราทุกคนจะได้ประโยชน์จากการไม่มีน้ำเมาขายบนทางสาธารณะด้วยกัน คิดถึงงานเทศกาลต่างๆ เช่นกรณีบั้งไฟ กาชาด หรือสงกรานต์ ที่ร้านขายเหล้าเบียร์เกลื่อน และกลายเป็นปัญหาที่ไปทำลายประเพณีวัฒนธรรมคุณค่าเดิมในงานเหล่านั้น กลายเป็นช่องทางที่ บริษัทเหล้าใช้เป็นช่องทางในการทำมาหากิน จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตามถนนประเด็นนี้ก็ไม่ควรลืม นอกจากวาทกรรมคนจน คือ ช่องว่างทางกฎหมาย ที่บริษัทเหล้าจงใจใช้เป็นช่องทางส่งเสริมการขายในงานเทศกาลต่างๆ จนเป็นปัญหาของสังคมอยู่ตอนนี้” ดร.นิษฐา กล่าว.

Sunday, December 16, 2012

จี้ห้ามสถานศึกษารับสปอนเซอร์น้ำเมา

จี้ห้ามสถานศึกษารับสปอนเซอร์น้ำเมา
จากเวทีเสวนา “การทำ CSR ของบริษัทน้ำเมาสร้างภูมิคุ้มกันหรือมอมเมาเด็กเยาวชน” จัดโดยมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ดร.ศรีรัช  ลอยสมุทร นักวิชาการคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR ของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นการทำเพื่อสร้างภาพในลักษณะโจรกลับใจเพื่อให้คนไทยยอมรับได้ ซึ่งผลวิจัยสะท้อนให้เห็นว่าการทำ CSR ของธุรกิจเหล่านี้ สามารถฟอกภาพให้ดูขาวสะอาดทั้งที่เป็นการมอมเมา โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนซึ่งไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างการขายกับการโฆษณาในลักษณะ CSR จึงทำให้ไม่เข้าใจเบื้องหลังของธุรกิจนี้ แม้ CSR จะไม่สามารถกระตุ้นยอดขายในเวลาที่รวดเร็ว แต่จะสร้างความจงรักภักดีให้เกิดกับแบรนด์ ฉายให้เห็นภาพช่วยเหลือสังคม เช่น การแจกเงิน ให้ทุนการศึกษาหรือสิ่งของที่มีโลโก้ตัวเอง สร้างความน่าเชื่อถือเมื่อภาพลักษณ์ดีคนก็จะซื้อสินค้า สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องทำคือปลูกฝัง สอนให้เด็กแยกแยะและให้ความรู้กับเด็ก นอกจากนี้ต้องทำเป็นนโยบายจากส่วนกลาง แจ้งโดยตรงให้ทุกสถาบันปฏิเสธการรับสปอนเซอร์จากบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจนี้เข้ามาทำกิจกรรมในสถานศึกษาเข้าถึงกลุ่มเยาวชนซึ่งไม่รู้เท่าทันนายสุเทพ สดชื่น ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า ช่วงปีใหม่หลายพื้นที่เริ่มมีกิจกรรมลานเบียร์ต่างๆ ร้านเหล้า ผับบาร์รอบสถานศึกษาก็โหมส่งเสริมการขายลด แลก แจก แถม ดูดเม็ดเงินจากนิสิตนักศึกษาเป็นการกระตุ้นยอดขายโดยตรง หรือแม้แต่การทำกิจกรรม CSR แบบปลอมๆเพื่อกลบเกลื่อนภาพร้ายๆ ก็เป็นเรื่องที่สังคมและสถานศึกษายังตามไม่ทันเล่ห์กลดังกล่าว จึงอยากเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการออกประกาศห้ามมิให้สถานศึกษา รับสปอนเซอร์หรือร่วมกิจกรรมกับบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันเยาวชนและสถานศึกษาตกเป็นเหยื่อ.

ตรวจวัณโรครู้ผลภายใน 24 ชั่วโมง

ตรวจวัณโรครู้ผลภายใน 24 ชั่วโมง
นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศ ไทยเป็น 1 ใน 22 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรครุนแรง คาดว่าไทยมีผู้ป่วยวัณโรคทุกชนิดประมาณ 130,000 คน เสียชีวิตปีละกว่า 11,000 ราย ทั้งนี้ ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้พัฒนาการตรวจวัณโรคเพื่อให้รู้ผลเร็ว ซึ่งจะช่วยให้การตรวจวินิจฉัย และการดูแลผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อวัณโรคมีประสิทธิภาพและลดการแพร่ติดต่อของโรคได้ โดยใช้เทคนิคตรวจสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมาจากตัวอย่างเลือด ซึ่งจะรู้ผลภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่การเพาะเชื้อวัณโรคใช้เวลา 4-8 สัปดาห์ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นหน่วยงานแรกที่ทำการศึกษาวิจัย และนำเทคนิคนี้มาใช้เพื่อการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อวัณโรคในประเทศไทย ด้วยระบบคุณภาพสากล โดยใช้ตรวจการติดเชื้อวัณโรคในกลุ่มเสี่ยงต่างๆ เช่น ผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ใช้ช่วยตรวจวินิจฉัยผู้สงสัยเป็นวัณโรค หรือผู้ป่วยวัณโรคที่เก็บเสมหะตรวจไม่ได้ผู้ป่วยวัณโรคนอกปอด เป็นต้น.

โพลชี้ชาวบ้านเห็นใจปูแก้โกงเหลว หนักใจของแพง

โพลชี้ชาวบ้านเห็นใจปูแก้โกงเหลว หนักใจของแพง
ประชาชนเห็นใจ “นายกฯ ปู” เรื่องบริหารบ้านเมือง และแก้คอรัปชัน ส่วน “อภิสิทธิ์” เห็นใจเรื่องคดีดีเอสไอ หนักใจเรื่องของแพง เงินไม่พอใช้ ประชาชนหมดความสุขช่วงปีใหม่เรื่องปัญหาอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้เปิดเผยความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ กรณี “คนไทย” กับ “บ้านเมืองไทย” ณ วันนี้  จำนวน 1,523 คน ระหว่างวันที่ 9-15 ธันวาคม 2555 สรุปผลดังนี้ เมื่อถามว่า “ความหนักใจ” ของประชาชน ณ วันนี้ ประชาชน 40.26% เห็นว่า เป็นเรื่องเศรษฐกิจ /สินค้าแพง /เงินไม่พอใช้ วิธีแก้ ใช้จ่ายอย่างประหยัด ซื้อของเท่าที่จำเป็น ทำงานพิเศษ 18.57% เห็นว่าเรื่องปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ วิธีแก้ ประชาชนในพื้นที่ต้องเป็นหูเป็นตาช่วยกันสอดส่องดูแล เพิ่มกำลังทหาร ตำรวจ  มีมาตรการขั้นเด็ดขาด และ 17.53% เห็นว่าเป็นเรื่องการสร้างความปรองดอง วิธีแก้ ลดทิฐิ หันหน้าเข้าหากัน 12.30% ตอบว่า การแก้รัฐธรรมนูญ วิธีแก้ รัฐบาลจะต้องชี้แจงและสร้างความเข้าใจที่ดีแก่ทุกฝ่าย ทำตามขั้นตอนต่างๆ อย่างถูกต้อง ฟังเสียงส่วนใหญ่ และ 11.34% เห็นว่าเป็นเรื่องยาเสพติด วิธีแก้ การปราบปรามเด็ดขาด พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น เป็นต้น เมื่อถามว่าเรื่องใดที่ประชาชนรู้สึกเห็นใจและสงสาร “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ประชาชนส่วนใหญ่ 48.45% ตอบว่า การบริหารบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาทุจริตคอรัปชันในโครงการต่างๆ ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ 20.84% ประสบการณ์การทำงานด้านการเมือง ถูกเพ่งเล็งในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าสาธารณชน 18.33% เรื่องครอบครัว ความเกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง 12.38% การสร้างผลงานให้ถูกใจทุกคน ความกดดันจากสังคมโดยเฉพาะนักวิชาการและฝ่ายค้านเมื่อถามว่า เรื่องใดที่ประชาชนรู้สึกเห็นใจและสงสาร “อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์” ประชาชนส่วนใหญ่ 46.28% ตอบว่า โดนคดีความทางการเมือง ดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหา 2 คดี (สั่งสลายการชุมนุม ปี 53 และเงินบริจาค) 29.78% การเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมาก 12.69% ถูกต่อต้าน โจมตี ขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวโดยเฉพาะการเกณฑ์ทหาร 11.25% ไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านเท่าที่ควร ต้องทำหน้าที่อย่างโดดเดี่ยวเมื่อถามว่าเรื่องใดที่อาจจะทำให้ประชาชนหมดความสุขในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่ 35.79% เห็นว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุ ความไม่ปลอดภัย /การเดินทาง การจราจรติดขัด 25.74% ข้าวของแพง เงินไม่พอใช้ / ไม่มีเงินเที่ยวปีใหม่หรือให้พ่อแม่ 19.31% สถานการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวาย /นักการเมืองทะเลาะเบาะแว้ง / การชุมนุมต่างๆ ม็อบ 13.87% เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ และ 5.29% ภัยธรรมชาติ ข่าวลือวันสิ้นโลก

Blog Archive