Saturday, January 26, 2013

สพฐ.เปิดทีวีเรียนผ่านดาวเทียม

สพฐ.เปิดทีวีเรียนผ่านดาวเทียม
              นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดสถานีวิทยุโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อการศึกษา OBEC Channel ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า OBEC Channel จะถ่ายทอดสดการจัดการเรียนการสอนจากสตูดิโอของ สพฐ.ไปยังโรงเรียนในสังกัด ผ่านทางระบบดาวเทียม IP Star โดยได้รับความร่วมมือจาก บมจ.ทีโอที ผู้ให้บริการระบบดาวเทียม IP Star และบริษัท สามารถคอมมิวนิชั่น เซอร์วิส จำกัด ร่วมจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์รับสัญญาณให้แก่โรงเรียนในสังกัด สพฐ.อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไปแล้วกว่า 1.4 หมื่นแห่ง รวมถึงโรงเรียนอื่นๆ ที่มีชุดรับสัญญาณดาวเทียม IP Star สามารถรับชมรายการจาก OBEC Channel ได้ ส่วนโรงเรียนในเมืองที่ไม่มีชุดรับสัญญาณดาวเทียมก็สามารถรับชมได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต               นายพงศ์เทพกล่าวต่อว่า เป้าหมายของการเปิด OBEC Channel เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนครูให้โรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศที่มีอยู่กว่า 1 หมื่นโรง   ปัจจุบัน ยังมีโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลจำนวนมากที่มีปัญหาขาดแคลนครู ครูสอนไม่ตรงกับวิชาเอก ขณะที่จำนวนนักเรียนก็มีน้อย ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำ เพราะฉะนั้น OBEC Channel จะนำครูเก่งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ขาดแคลนรวมถึงครูวิชาอื่นๆ เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ มาจัดการเรียนการสอน แล้วถ่ายทอดสดหรือบันทึกเทปนำมาออกอากาศไปยังโรงเรียนขนาดเล็ก เป็นการสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษามากขึ้น               ด้าน ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า รูปแบบรายการของ OBEC Channel เน้นในลักษณะรายการที่สอนเพิ่มเติม เช่น สารคดี วาไรตี้ หรือการสอนโดยใช้โครงการ ออกอากาศทั้งรายการสดและรายการบันทึกเทป มีตารางการออกอากาศแจ้งล่วงหน้า เพื่อให้ครูโรงเรียนปลายทางได้เตรียมตัวได้ทัน

คมชัดลึกจัดถกอัสสัมชัญ...อัดอั้น?

คมชัดลึกจัดถกอัสสัมชัญ...อัดอั้น?
               เป็นประเด็นร้อนการปิดโรงเรียนอัสสัมชัญตามคำสั่งของ ภราดาอานันท์ ปรีชาวุฒิ ผอ.โรงเรียนอัสสัมชัญ เพื่อหลบหน้าเจรจากับสมาคมผู้ปกครองนำไปสู่การประท้วงขับไล่ของคณะครู ผู้ปกครอง นักเรียน และศิษย์เก่า รายการ "คม ชัด ลึก" จัดเสวนาตอน อัสสัมชัญ...อัดอั้น ?                นายชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์ อุปนายกสมาคมผู้ปกครองโรงเรียนอัสสัมชัญ กล่าวว่า ตลอดเวลา 9 ปี เราอดทนต่อการบริหารของภราดาอานันท์ แต่การปิดโรงเรียนในวันนี้ เปรียบเหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ทุกคนหมดความอดทน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ลาออก ตลอดเวลายืนยันว่า สมาคมพยายามทำหนังสือสอบถามถึงปัญหา และข้อสงสัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกเรื่อง แต่ไม่เคยสนใจที่จะให้ความกระจ่างแก่สมาคม อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าต่อไปเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เราเรียกร้องกันตรงนี้ อันดับแรกคือ วันจันทร์โรงเรียนอัสสัมชัญต้องเปิดเรียน                ด้าน นายศุภโชค โฆษ์วงศ์ ศิษย์เก่ารุ่น 103 โรงเรียนอัสสัมชัญ กล่าวว่า ศิษย์เก่าได้ยื่นข้อเรียกร้องให้ภราดาอานันท์ลาออกสถานเดียว โดยยื่นหนังสือไปที่คณะเซนต์คาเบรียลที่มีอำนาจในการปลดผู้บริหารได้โดยตรง เรื่องนี้ยืนยันว่า เราทุกคนทนมานานกับการบริหารงานของภราดาอานันท์ ที่เป็นแบบไม่สนใจใคร ภราดาอานันท์ไม่เคยเห็นว่า ศิษย์เก่าเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน และพัฒนาโรงเรียน และขอยืนยันว่า ศิษย์เก่าไม่ได้มีปัญหากับผู้บริหารโรงเรียนคนอื่น                 ขณะที่มาสเตอร์ชณัฐ กะปิตตา ครูชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอัสสัมชัญ กล่าวว่า ปัญหาการเพิกเฉยเรื่องปรับขึ้นเงินเดือน 15,000 บาท ทำให้ครูคนเดือดร้อน เรื่องนี้อยากชี้แจงว่า ภราดาอานันท์ไม่ยอมทำตามคำสั่งของคณะเซนต์คาเบรียลในการปรับขึ้นเงิน ทำให้เรื่องนี้คาราคาซังมาตั้งแต่ต้นปี 2555 โดยตลอดเวลาครูได้ทำหนังสือสอบถามภราดาอานันท์ แต่ไม่ได้รับคำตอบ อีกทั้งต่อมายังทราบว่า ภราดาอานันท์ยังปกปิดเอกสารคำสั่งขึ้นเงินเดือนของคณะเซนต์คาเบรียล ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง                มาสเตอร์ไพฑูรย์ กระโทกนอก หัวหน้าฝ่ายวิชาการ โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม กล่าวว่า รู้สึกงงกับข่าวที่ภราดาอานันท์สั่งปิดโรงเรียน วันนี้เห็นว่าเด็กไม่ได้มีส่วนรู้เห็น ดังนั้นควรเปิดโรงเรียนเพื่อเด็กได้เรียนกัน แต่โดยส่วนตัวข้องใจการบริหารเรื่องการยุบรวมโรงเรียน เพราะทำให้ครูโรงเรียนประถมเกิดข้อกังวลในเรื่องสถานภาพว่า หากยุบโรงเรียนต่อไปจะเป็นอย่างไร จะถูกให้ออกหรือไม่ ส่วนในแง่ของนักเรียนห่วงว่า หากยุบรวมโรงเรียนแล้วจะทำให้คุณภาพของนักเรียนตกต่ำลง เนื่องจากบุคลากรครูอาจจะดูแลไม่ทั่วถึงเหมือนแต่ก่อน

ฟิตภาษารับอาเซียนที่อนุบาลวัดป่าเลไลยก์

ฟิตภาษารับอาเซียนที่อนุบาลวัดป่าเลไลยก์
               "ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศประชาคมอาเซียนในปี 2558 นี้ โรงเรียนเราเล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ที่เราพยายามเตรียมความรู้ และความพร้อมให้แก่ครูและนักเรียนด้วยสื่อที่ทันสมัย ซึ่งนอกจากจะเป็นตัวช่วยของครูแล้ว ยังช่วยให้เด็กๆ เรียนภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย" ผอ.ชาญชัย ดาบสมุทร ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี กล่าวถึงความสำคัญของประชาคมอาเซียน ที่ต้องเตรียมครู และเด็ก ก็คือ ทักษะด้านภาษาอังกฤษ ภาษากลางระหว่าง 10 ประเทศอาเซียน                 การเรียนภาษาอังกฤษได้ดีนั้น ผอ.ชาญชัย บอกว่า สื่อการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก โดยเฉพาะสื่อมัลติมีเดียเสริมบทเรียน ช่วยให้ทั้งครูและนักเรียนฝึกฟังและพูดเหมือนได้สื่อสารกับเจ้าของภาษาโดยตรง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักเรียน โรงเรียนต้องมีการปรับโครงสร้างและขยายการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษให้มากขึ้นในอนาคต เนื่องจากที่ผ่านๆ มายังมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาในการสอน สื่อบางสื่อจำเป็นต้องใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้ามาเชื่อมต่อ เช่น โปรแกรมอิงลิช ดิสคัฟเวอรี่ ซึ่งบางครั้งก็ติดปัญหาสัญญาณเน็ตล่มอยู่บ่อยครั้ง แต่เรื่องนี้ทางโรงเรียนกำลังเร่งแก้ไข เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนสำคัญมากในการค้นหาข้อมูลของครูและเด็กนักเรียนในโรงเรียน                 ด้าน อาภา แปลงเงิน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ เล่าถึงแนวทางจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนว่า กลุ่มสาระได้ให้ความสำคัญกับเด็กนักเรียนมาก และพยายามหาสื่อและกิจกรรมต่างๆ มาเพิ่มทักษะทางด้านภาษาอังกฤษให้แก่เด็ก เช่น การให้เด็กฝึกพูดแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ การประกวดเล่านิทานภาษาอังกฤษ เป็นต้น ทำให้เด็กนักเรียนกล้าที่จะแสดงออกและกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น                 "เรามีบทเรียนมัลติมีเดียเข้ามาเสริมด้วย เป็นโปรแกรมสอนภาษา ซึ่งจะให้เด็กเข้าใช้ 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ช่วยให้เด็กสามารถฟังสำเนียงของเจ้าของภาษาได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงคุณครูก็สามารถเข้ามาศึกษา หรือฝึกทักษะเพิ่มเติมนอกเวลาได้ด้วยตัวเอง ครูคือบุคคลสำคัญที่จะช่วยให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูต้องพยายามหาสื่อ และกิจกรรมให้เด็กได้ฝึกฟัง และพูดบ่อยๆ ไม่ว่าจะในชั้นเรียน หรือนอกชั้นเรียน ปัจจุบันทางโรงเรียนมีชมรมไกด์นำเที่ยว และฝึกภาษาอังกฤษแก่นักเรียนด้วย ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้เด็กรักภาษาอังกฤษมากขึ้น เด็กควรได้ซึมซับตั้งแต่เล็กๆ โดยครูสามารถพาเด็กเรียนรู้ได้ทั้งในห้อง และนอกห้องเรียน เช่น จำลองสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารทั่วโลก รู้ภาษาไม่อดตายค่ะ" ครูอาภาฝาก                 หันมาคุยกับ ด.ญ.ชัชชญา ตั้งต้นตระกูล หรือ "น้องแต้งกิ้ว" นักเรียนพระราชทาน ชั้น ป.5 บอกว่า การมีสื่อมัลติมีเดียต่างๆ เข้ามาช่วยสอน ช่วยเพิ่มทักษะทางด้านภาษาอังกฤษได้มาก เห็นได้จากตอนไปประกวดเล่านิทานภาษาอังกฤษประกอบท่าทาง การ ได้ฝึกพูด และฝึกฟังบ่อยๆ ส่งผลให้ได้รับรางวัลเหรียญทองระดับเขตมาครองได้สำเร็จ ซึ่งเป็นรางวัลที่ภูมิใจมาก                 น้องแต้งกิ้ว ฝากเทคนิคถึงเพื่อนๆ ที่อยากเก่งภาษาอังกฤษว่า การท่องศัพท์ทุกวันเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นมาก ส่วนตัวจะท่องศัพท์ทุกวัน วันละ 5-10 คำ อย่างน้อยๆ หาเวลาว่างมาท่องให้ได้แล้วจะเป็นพื้นฐานการเรียนที่ดีมาก ตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้มาก เปิดใจเรียนรู้ภาษาอังกฤษ นำมาประยุกต์ใช้กับวิชาอื่นๆ แล้วภาษาอังกฤษจะกลายเป็นเรื่องสนุก และไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด                 โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ ตั้งอยู่ ถนนมาลัยแมน ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เปิดสอนอนุบาล-ป.6 มีนักเรียน 640 คน มีครูและบุคลากร 40 คน ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนของคุณครูผู้สอนและนักเรียนเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านหลักสูตรความรู้ทางวิชาการ และกิจกรรมต่างๆ ที่จะเสริมเพิ่มทักษะการเรียนรู้พื้นฐานให้แก่นักเรียน สนใจเยี่ยมชมสอบถามได้ที่ โทร.0-3552-1326                

Friday, January 25, 2013

งามหน้างานวันโคนมแห่งชาติแหก ก.ม.เหล้า

งามหน้างานวันโคนมแห่งชาติแหก ก.ม.เหล้า
นพ.สมาน ฟูตระกูล ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนกรณีพบการจำหน่ายและโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานวันโคนมแห่งชาติปี 2556 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-27 ม.ค. ที่สำนักงานองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และจากการตรวจสอบ พบการกระทำผิด โดยขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในลานเบียร์ ที่อยู่ในบริเวณรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือว่ามีความผิด โทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังพบการโฆษณาส่งเสริมการขาย โดยตามกฎหมายมีโทษจำคุก 1 ปีหรือปรับ 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และสุดท้ายเป็นการขายโดยไม่มีใบอนุญาต วางขายในสถานที่ของรัฐซึ่งมีความผิดโทษปรับ 500 บาทนพ.สมานกล่าวต่อไปว่า ตนได้ทำหนังสือไปยังนายนพดล ตันวิเชียร รอง ผอ.รักษาการแทน ผอ.องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 แต่พบว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งผู้ประกอบการยอมจ่ายค่าปรับ แต่ยืนยันว่าจะขายต่อ ซึ่งตามกฎหมายถือว่าทำไม่ได้ หลังจากนี้ตนจะแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพราะถือเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งตามกฎหมาย หากไม่สามารถควบคุมได้ คงต้องขอความร่วมมือตำรวจจากส่วนกลางไปดำเนินคดี หรือต้องประสานกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อช่วยตรวจสอบ.

สกอ.ข้องใจไม่ถามความเห็นองค์กรหลัก นักวิชาการหนุนหวังแตะเบรกผลาญงบฯ

สกอ.ข้องใจไม่ถามความเห็นองค์กรหลัก นักวิชาการหนุนหวังแตะเบรกผลาญงบฯ
แนะ “พงศ์เทพ” ตั้งทีมกลั่นกรองรศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการด้านการศึกษา กล่าวถึงกรณีกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะมีการปรับโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยให้ทุกองค์กรหลักเสนองานที่เป็นนโยบายรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ชาติผ่านสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) ว่า ในฐานะที่ตนเคยทำงาน กับ ศธ. เห็นด้วยกับการปรับโครงสร้างครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีการกระจายอำนาจให้องค์กรหลักพบว่าทุกแท่งอนุมัติงบประมาณโดยไม่มองถึงภาพรวมของชาติเกิดช่องว่างให้มีการทุจริตคอรัปชันทุ่มเงินกับการจัดงานอีเวนต์ แต่ละองค์กรหลักมีบอร์ดของตัวเอง ซึ่งไม่เคยมีใครฟังใคร ตนจึงเห็นด้วยกับการปรับรูปแบบเพื่อแตะเบรกความคล่องตัวขององค์กรหลัก ให้การใช้จ่ายงบฯเกิดความรอบคอบและเป็นไปตามนโยบายรัฐ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า รมว.ศธ.ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมากลั่นกรองงาน ประกอบด้วย รมว.ศธ. สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาวิจัย ภาคประชาชน นักวิชาการ หรือมีองค์กรหลักด้วย และดึงงบฯมาไว้ที่ส่วนกลางพิจารณาตามนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อตอบโจทย์ของปัญหาของชาติได้ อีกทั้งวิธีการนี้จะทำให้งานของ ศธ.ต่อเนื่อง แม้จะเปลี่ยน รมว.ศธ.ด้านนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายและการตัดสินใจของ รมว.ศธ. ซึ่งหากเห็นชอบทุกองค์กรหลักก็ต้องปฏิบัติตาม แต่ส่วนตัวมองว่าการบริหารงานรูปแบบเดิมไม่ดีอย่างไร และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ควรจะมีการสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน เพราะแม้จะกำหนดว่าให้เสนองานผ่าน สป.ถึง รมว.ศธ.ในเรื่องที่เป็นนโยบายรัฐและแผนยุทธศาสตร์ แต่ทุกเรื่องที่องค์กรหลักดำเนินการไม่ใช่นโยบายรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์หรืออย่างไร อย่างกรณีมหาวิทยาลัยการเสนอแผนงานและงบประมาณก็เสนอตรงต่อสำนักงบประมาณไม่ได้ผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาอยู่แล้ว.

คนกรุงโทษรถคันแรกทำจราจรติดหนึบ จี้เพิ่มระบบขนส่งมวลชน

คนกรุงโทษรถคันแรกทำจราจรติดหนึบ จี้เพิ่มระบบขนส่งมวลชน
“นิด้าโพล” เผยคนกรุงโทษ รถคันแรก ตัวการทำจราจรติดขัดหนัก เสนอเพิ่มระบบขนส่งมวลชนครอบคลุมทุกพื้นที่ ปฏิบัติตามกฎจราจร ขณะที่นักวิชาการชี้เหตุหลักเกิดจากระบบขนส่งมวลชนไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่ไม่เข้มงวดเรื่องกฎหมาย...เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2556 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ปัญหาการจราจรในเขตเมืองหลวง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17-19 ม.ค. จากประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และพักอาศัยอยู่ใน กทม. จำนวน 1,500 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพ ทั้ง 50 เขต พบว่า ร้อยละ 65.73 ระบุสาเหตุที่ทำให้การจราจรติดขัดมากที่สุด มาจากคนออกรถใหม่เพิ่มมากขึ้นและนโยบายรถคันแรก รองลงมาร้อยละ 18.73 เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบวินัยจราจร เช่น การกีดขวางช่องการจราจร จอดในที่ที่ห้ามจอด ร้อยละ 6.53 ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะไม่เพียงพอ ร้อยละ 3.33 เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของ กทม. และตำรวจ ร้อยละ 3.20 เกิดจากการเติบโตของเขตเมืองหลวงและการเพิ่มขึ้นของประชากร และร้อยละ 1.60 อื่นๆ เช่น ถนนชำรุด การซ่อมบำรุงถนน และอุบัติเหตุเมื่อถามถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาจราจร พบว่า ร้อยละ 43.07 ควรเพิ่มระบบขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ รองลงมาร้อยละ 33.87 ระบุว่า ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบวินัยจราจรร้อยละ 7.60 ระบุว่า ควรเพิ่มภาษีรถยนต์ร้อยละ3.60 ระบุว่า ควรมีนโยบายลดหรือจำกัดปริมาณการใช้รถยนต์โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมานาน ร้อยละ  2.53 ย้ายเมืองหลวงหรือปรับระบบผังเมืองให้รองรับการขยายตัว และร้อยละ 4.47 อื่นๆ เช่น การเพิ่มช่องทางจราจร/สะพานข้ามแยก การจัดช่วงเวลาการเข้าเรียน/ทำงาน ใช้รถบริการสาธารณะ ขณะที่ร้อยละ  4.87 ระบุว่า เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากและไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ด้าน รศ.พ.ต.อ.ดร.ประพนธ์ สหพัฒนา อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงผลการสำรวจในครั้งนี้ว่า คนกรุงเทพฯ ยังให้ความสำคัญของสาเหตุการจราจรติดขัด ที่เป็นสาเหตุในระยะสั้นเป็นหลัก จากการออกรถใหม่เพิ่มมากขึ้น และนโยบายรถคันแรก เพราะเป็นนโยบายที่เพิ่งจะมีมาได้ไม่นาน แต่ไม่ได้มองสาเหตุหลักที่ทำให้รถติด แต่ในระยะยาวด้านระบบขนส่งมวลชนที่ยังมีไม่เพียงพอ จึงควรเริ่มแก้ไขปัญหาการจราจรด้วยการเพิ่มระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ และพัฒนาการบริการให้มีคุณภาพ มีแรงจูงใจในการใช้บริการเพิ่มมากขึ้น หากจะระงับโครงการรถคันแรก คงจะทำได้ยาก ดังนั้น การเพิ่มระบบขนส่งมวลชนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและควรเร่งพัฒนาให้เร็วมากที่สุด ส่วนการปฏิบัติตามกฎระเบียบการจราจรนั้น มองว่าเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก ส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากเจ้าหน้าที่ยังกวดขันไม่ต่อเนื่อง และการที่สังคมและวัฒนธรรมไทยที่ยังเป็นระบบอุปถัมภ์ มีการลดหย่อนผ่อนปรน ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ต้องปรับเปลี่ยนแนวความคิดว่าไม่ใช่เป็นการถูกบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ให้คิดว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละบุคคล.

Wednesday, January 23, 2013

เพิ่มพักเที่ยง GAT-PAT เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เผยยอดผู้มีสิทธิ์กว่า 3 พันคน

เพิ่มพักเที่ยง GAT-PAT เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เผยยอดผู้มีสิทธิ์กว่า 3 พันคน
สทศ.หนุนประชาธิปไตยเล็งจัดรถถึงคูหานายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยกรณีปฏิทินการทดสอบแบบวัดความถนัดทั่วไป หรือ GAT และแบบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ หรือ PAT ครั้งที่ 2/2556 ที่สอบวันที่ 2-5 มี.ค.56 ซึ่งไปตรงกับวันเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร (กทม.) ในวันที่ 3 มี.ค. อาจส่งผลกระทบต่อนักเรียนผู้เข้าสอบที่มีสิทธิเลือกตั้งว่า ตนได้หารือกับเจ้าหน้าที่จากสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) แล้ว และได้มอบให้ สทศ.ประสานกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะสามารถจัดหน่วยเลือกตั้งไว้ที่สนามสอบ GAT-PAT ในเขต กทม. ทั้ง 26 สนามสอบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียน รวมถึงให้นักเรียนสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้หรือไม่ด้าน ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สทศ. กล่าวว่า ตนได้หารือกับ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) แล้ว เห็นตรงกันว่าจะไม่มีการเลื่อนการสอบ GAT-PAT แน่นอน เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบกับคนส่วนใหญ่ และสทศ.ได้มีการเตรียมความพร้อมการจัดสอบทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งนักเรียนและผู้ปกครองได้มีการวางแผนล่วงหน้าที่จะมาสอบด้วย แต่เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็จะเพิ่มเวลาพักกลางวันเฉพาะการสอบในวันที่ 3 มี.ค.เพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง จากเดิมพักเวลา 11.30-13.00 น. จะเพิ่มเป็น 11.30-14.00 น. และเลื่อนสอบช่วงบ่ายเป็น 14.00-17.00 น. และวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งจะมีการประชุมบอร์ด สทศ. ตนจะเสนอขอความเห็นชอบต่อที่ประชุมด้วยผอ.สทศ.กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 3 มี.ค.จะสอบ 2 วิชา ช่วงเช้า สอบ PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ เวลา 08.30-11.30 น. มีผู้เข้าสอบ 7,071 คน ส่วนช่วงบ่าย สอบ PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู กลุ่มผู้เข้าสอบที่จะได้รับผลกระทบคือ ผู้ที่ต้องสอบทั้ง 2 วิชา ซึ่งมีจำนวน 2,821 คน นักเรียนกลุ่มนี้อาจต้องใช้ช่วงเวลาพักกลางวันที่เพิ่มเวลาให้อีก 1 ชั่วโมง ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส่วนผู้เข้าสอบที่สอบในช่วงเช้าก็สามารถไปใช้สิทธิในตอนบ่ายได้ และผู้เข้าสอบในช่วงบ่ายก็สามารถไปใช้สิทธิในช่วงเช้าได้ ทั้งนี้ สทศ.ส่งเสริม และสนับสนุนความเป็นประชาธิปไตย จึงอยากให้เด็กทุกคนไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลของหน่วยเลือกตั้งว่าตั้งอยู่ที่ใดบ้าง และอาจจะต้องขอความร่วมมือไปยังโรงเรียนที่เป็นสนามสอบจัดรถรับส่งนักเรียนไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้ง.

จับได้เขม่าเป็นตัวการใหญ่ทำให้โลกร้อน รองจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น

จับได้เขม่าเป็นตัวการใหญ่ทำให้โลกร้อน รองจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า เขม่าเป็นตัวการทำให้โลกร้อน ยิ่งเสียกว่าที่เคยคิดกันมาก่อน เขม่าที่เกิดจากเครื่องยนต์ดีเซลและการใช้ฟืน อาจเป็นตัวทำให้โลกร้อนมากกว่าที่เคยคาดกันไว้ถึง 2 เท่า เป็นรองก็แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้นวารสารการวิจัยทางธรณีฟิสิกส์ รายงานผลการศึกษาว่า ทราบกันมาหลายปีแล้วว่า ผงฝุ่นคาร์บอนพวกนี้เป็นต้นเหตุให้โลกร้อน เพราะได้ดูดซับความร้อนจากแสงแดด และยังทำให้น้ำแข็งและหิมะลายเร็วขึ้นด้วย การศึกษาระยะหลังๆ ได้ลงความเห็นว่า มันมีส่วนทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 2 ใน 3 ของคาร์บอนไดออกไซด์ และเหนือกว่าก๊าซมีเทนเสียอีก ความเห็นส่วนใหญ่พากันวิตกว่า เพราะการมีเขม่าปะปนคละคลุ้งในบรรยากาศมากขึ้นรายงานการวิจัยกล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้ปริมาณเขม่า ตามชาติที่กำลังพัฒนาชักมากขึ้นทุกวัน แต่ยังเคราะห์ดีว่าผงเขม่ามักอยู่ในบรรยากาศได้ไม่นานนัก ลดอันตรายของอุณหภูมิ จึงลดลงได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังมีผู้ท้วงว่า อิทธิพลของเขม่า มันยังอาจก่อให้เกิดทั้งความร้อนและความเย็นขึ้นด้วยเคยมีรายงานว่า เขม่าเป็นบ่อเกิด ให้เกิดอากาศที่อุ่นขึ้นอย่างรวดเร็วในอเมริกา แคนาดา ยุโรปเหนือ และเอเชียเหนือ ทั้งยังมีส่วนเกื้อหนุนของแบบแผนของฝนฟ้าตกในช่วงฤดูมรสุมของทวีปเอเชียด้วย.

ดื่มนมพาหนีรอดปลอดโรคหลอดเลือดหัวใจ แถมยังช่วยป้องกันอัมพาตกับเบาหวานให้

ดื่มนมพาหนีรอดปลอดโรคหลอดเลือดหัวใจ แถมยังช่วยป้องกันอัมพาตกับเบาหวานให้
นักวิจัยมหาวิทยาลัยรีดดิ้ง คาร์ดิฟฟ์ และบริสตัลร่วมกันศึกษาพบว่า การดื่มนมอาจให้คุณ ช่วยป้องกันโรคของหลอดเลือดหัวใจให้น้อยลงได้ระหว่างร้อยละ 15—20นักวิจัยเหล่านี้ ได้ร่วมกันศึกษา เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า การดื่มนมให้คุณมากกว่าโทษ พวกเขาได้ศึกษาด้วยการทบทวนรายงานการศึกษาคุณประโยชน์ของการดื่มนม ในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ  อัมพาต  และเบาหวาน  รวม  324  เรื่องด้วยกันศาสตราจารย์เอียน กิฟเวนส์  หัวหน้านักวิจัย ได้แจ้งผลการศึกษาว่า “เราค้นพบอย่างชัดเจนว่า เมื่อพิจารณาถึงยอดของผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ อัมพาตและมะเร็งอื่นๆ ได้พบหลักฐานอย่างแข็งขันที่แสดงว่า การดื่มนมช่วยลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังเหล่านี้ลงได้.”

Tuesday, January 22, 2013

จับยาแผนโบราณเสริมพลังเซ็กส์

จับยาแผนโบราณเสริมพลังเซ็กส์
             เมื่อวันที่ 22 มกราคม นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการ อย. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ล้ำพันธุ์ พรรธนประเทศ ผกก.4 บก.ปคบ. และ พ.ต.ท.กัมพล วงษ์สงวน สว.กก.4 บก.ปคบ. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมยาแผนโบราณโฆษณาหลอกลวงสรรพคุณทางเพศ              นพ.บุญชัยกล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม  อย. ร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(บก.ปคบ.) เข้าตรวจสอบ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนัทเฮิร์บ พาณิชย์ เลขที่ 16/17 หมู่ 7 ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมี นายธนัท เชี่ยวชาญอักษร เป็นเจ้าของ พบการผลิตยาแผนโบราณที่มีฉลากไม่ตรงตามทะเบียนตำรับ หลายรายการ ได้แก่ ยาแคปซูลสมุนไพร หยิ่นปังปัง เจียวหนัง ทะเบียนยาเลขที่ G609/54 เป็นสมุนไพรสำหรับผู้ชาย ฉลากระบุสรรพคุณ เช่น เสริมสมรรถภาพทางเพศ และยาอายุวัฒนะ แต่ฉลากระบุไม่ตรงตามที่ขอขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้ และยังพบฟอยล์สำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์ WELL 101 ฉลากระบุเลขทะเบียนยาแผนโบราณ G580/54 ซึ่งเป็นเลขทะเบียนของยาตำรับอื่น แต่เมื่อตรวจสอบภายหลังพบว่าผลิตภัณฑ์ WELL 101 เพิ่งได้รับการจดทะเบียนอาหารเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2556 เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางเพื่อดำเนินคดีต่อไป มูลค่าของกลางที่ยึดได้กว่า 1.5 ล้านบาท              นอกจากนี้ พบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ลักษณะเป็นครีมขัดผิว และเจลทำความสะอาดผิว ที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง ไม่มีฉลากภาษาไทย และเป็นเครื่องสำอางควบคุมที่ไม่ได้จดแจ้ง ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ Enzyme Collagen Peeling Cleanser และกล่องบรรจุภัณฑ์ Enzyme Collagen Peeling c จำนวน 6,500 ชิ้น รวมมูลค่าประมาณ 975,000 บาท รวมมูลค่าของกลางทั้งสิ้น 2,475,000 บาท              นพ.บุญชัยกล่าวอีกว่า การเข้าจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจาก อย.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคทางเคเบิลทีวี จึงทำการล่อซื้อและส่งยา WELL 101 ไปตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่ามีส่วนผสมของยาซิลเดนาฟิล (Sildenafil) ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เช่น ยี่ห้อซิเดกร้าขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) และยี่ห้อไวอากร้า              นพ.บุญชัยกล่าวด้วยว่า ยาแผนโบราณ WELL 101 ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา เพราะเลขทะเบียน G 580/54 เป็นเลขทะเบียนตำรับยาของยาสามัญประจำบ้าน ชนิดยาขี้ผึ้ง รวมทั้งสถานที่ผลิตคนละแห่งกับที่แจ้งบนฉลาก  อีกทั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนัทเฮิร์บ ได้รับอนุญาตให้ผลิตยาแผนโบราณ แต่ไม่พบการขออนุญาตผลิตยา WELL 101 และสถานที่ผลิตยังไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตยาแผนปัจจุบัน              “ตามปกติยาซิลเดนาฟิลจะไม่ให้รับประทานเกิน 1 เม็ดต่อวัน เพราะมีอันตรายต่อหัวใจ การที่ผสมทั้งยาแผนโบราณและยาแผนปัจจุบันตัวนี้ในแคปซูลเดียวกันและระบุฉลากไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ที่รับประทานได้รับยาไปในปริมาณเท่าไหร่ จึงมีอันตรายมากโดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เสียชีวิตได้” นพ.บุญชัยกล่าว              พ.ต.อ.ล้ำพันธุ์กล่าวว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา 1.ผลิตยาแผนโบราณ ใช้ฉลากและเอกสารกำกับยาไม่ตรงตามที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้ มีโทษปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท 2.ผลิตยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 3.ผู้รับอนุญาตผลิตยาแผนโบราณต้องมีผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณเป็นผู้มีหน้าที่ ปฏิบัติการตามมาตรา 68 ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หากผู้รับอนุญาตใดไม่ปฏิบัติตาม มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ปรับเป็นรายวันอีกวันละ 100  บาท จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง              4.ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 68 คือ ไม่ประจำอยู่ ณ สถานที่ผลิตยาตลอดเวลาที่เปิดทำการ มีโทษปรับตั้งแต่ 500-2,000 บาท 5.นำเข้าเครื่องสำอางโดยไม่ผ่านการจดแจ้งกับ อย. มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  และ 6.ขายเครื่องสำอางที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ากระทำโดยประมาท มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท              ด้าน ภญ.ศรีนวล กล่าวว่า อย.ได้สั่งปิดโรงงานดังกล่าวชั่วคราวเป็นเวลา 120 วัน จนกว่าจะมีการดำเนินการให้ถูกต้อง ส่วนการดำเนินการกับผู้โฆษณายาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผ่านเคเบิลทีวีและอินเทอร์เน็ตนั้น อย.ได้รับเรื่องร้องเรียน 100 กรณีต่อเดือน และเฝ้าระวังโดย อย. 800- 1,000 กรณีต่อเดือน ซึ่งพบว่าเกือบทั้งหมดเป็นโฆษณาผิดกฎหมายไม่ได้รับอนุญาตและอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ส่วนใหญ่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณเสริมสมรรถภาพทางเพศและลดความอ้วน ในส่วนของเคเบิลที่มีความผิด อย.จะดำเนินคดีตามกฎหมาย หากยังพบความผิดซ้ำจะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พิจารณาการต่อใบอนุญาต สำหรับอินเทอร์เน็ตจะแจ้งเรื่องให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ปิดเว็บไซต์ทันที

วิกฤติอัสสัมชัญ บางรัก

วิกฤติอัสสัมชัญ บางรัก
               จากกระแสข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ข่าวคราวของโรงเรียนที่มีอายุยาวนาน 120 กว่าปี มีศิษย์เก่าจวบจนศิษย์ปัจจุบัน 127 รุ่น นามว่า “โรงเรียนอัสสัมชัญ” โรงเรียนชายล้วนที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของประเทศไทย จะมีประเด็นทางสังคมที่ถูกตีแผ่ถึงความคลุมเครือในหลากหลายเรื่อง โดยเริ่มต้นจากครูระดับประถมศึกษาแต่งชุดดำถ่ายรูปกับป้ายโรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถมศึกษา ซอยเซนต์หลุยส์ ที่ทราบกันภายในว่าจะมีการยุบรวมกับโรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกมัธยม เขตบางรัก กทม.                 ทว่าที่กลายเป็นข่าวครึกโครมกระจายสู่สังคมภายนอก เมื่อ “หมอนิด" กิจจา ทวีกุลกิจ โพสต์เรื่องราวของครูแต่งชุดดำในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ครู ต่อด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เขียนในผู้จัดการรายสัปดาห์ ถึงปัญหา ข้อเรียกร้องต่างๆ ของครู ผู้ปกครอง และขอให้ทางโรงเรียนออกมาชี้แจง ขณะที่ในเว็บไซต์พันทิป เฟซบุ๊ก และโซเชียลมีเดียต่างๆ มีการตั้งกระทู้และมีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้าน วิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนักในกลุ่มของศิษย์เก่า โดยเฉพาะเรื่องการยุบรวม โรงเรียนบังคับให้ครูเซ็นใบลาออกล่วงหน้า ถ้าครูคนไหนไม่ยอมเซ็นใบลาออกจะถูกให้ออก พร้อมจ่ายค่าชดเชยให้ การไม่ปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่ครู รวมถึงการจะขายพื้นที่เซนต์หลุยส์ และย้ายนักเรียนไปพระราม 2                 "อัสสัมชัญ" กลายเป็นประเด็นร้อน หลากหลายความคิดเห็น “นสพ.คม ชัด ลึก” จึงได้ลงพื้นที่เสาะหาข้อเท็จจริง พูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง “ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน” ในฐานะนายกสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนอัสสัมชัญ อดีตศิษย์เก่าอัสสัมชัญ ที่ได้รับข้อเรียกร้องจากครู ผู้ปกครอง ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการยุบรวมของโรงเรียน เพราะต่อให้ชื่อเหมือนกัน มีผู้อำนวยการ ภราดา ดร.อานันท์ ปรีชาวุฒิ ในการบริหารงานคนเดียวกัน ทว่าในการบริหารจัดการกลับแตกต่าง ตามตราสาร บริบทของโรงเรียน                 “ตอนนี้โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก มีนักเรียน 5,000 คน มีครู 500 คน ยังไม่มีครูสักคนเซ็นใบลาออก เพราะครูบางคนที่ทำงานอยู่เป็นครูก่อนที่ พ.ร.บ.การศึกษา พ.ศ.2542 จะออกมา และไม่ได้จบครู แต่พวกเขาสอนมายาวนาน มีประสบการณ์และความชำนาญในวิชาชีพ ถ้าพวกเขาเซ็นลาออกอาจจะไปเป็นครูอีกไม่ได้ อีกทั้งที่ผ่านมา แม้ทางประธานมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทยจะได้มาพูดคุยทำความเข้าใจกับครูเรื่องของการยุบรวม แต่ไม่มีความชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร อีกทั้งต่อให้มีลายลักษณ์อักษรครูก็ไม่มั่นใจว่าจะทำตามที่ระบุมาในลายลักษณ์อักษรหรือไม่ ก่อนหน้านี้ก็มีประกาศมูลนิธิ เรื่องปรับขึ้นเงินเดือนครูเป็นลายลักษณ์อักษร ยังไม่ปรับเงินเดือนให้ครู ทั้งที่โรงเรียนในเครือข่ายมูลนิธิ 10 กว่าแห่ง ปรับเงินเดือนให้ครู ยกเว้นโรงเรียนอัสสัมชัญ” ศ.ดร.เกื้อกล่าว                 หลังจาก "นสพ.คม ชัด ลึก" ได้ตีแผ่ความจริง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้นกับอัสสัมชัญ” โรงเรียนสร้างขึ้นโดยบาทหลวง เป็นโรงเรียนศาสนา แล้วทำไมถึงเกิดความขัดแย้งภายใน ความไม่เป็นธรรมแก่ครู เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2556 ภราดา ดร.ศิริชัย ฟอนซีกา ประธานมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ผู้ได้รับใบอนุญาตก่อตั้งโรงเรียน พร้อมด้วย ภราดา ดร.อานันท์ แถลงข่าว ปฏิเสธการยุบรวม และชี้แจงทุกประเด็น                 “มูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลขอยืนยันการไม่ยุบโรงเรียนประถม และไม่มีการเลิกจ้างครู ไม่มีการบังคับให้ครูเขียนใบลาออกตามที่เป็นข่าว ครูผู้สอนในระดับประถมยังสอนนักเรียนแต่ละรุ่นที่โรงเรียนรับเข้ามาเป็นนักเรียนอยู่ในสถานที่เดิม(สาทร) สภาพความผูกพันต่อมูลนิธิ ครูจะได้รับการดูแลจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ได้รับการบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนอัสสัมชัญทันทีเมื่อสมัครใจโอนเข้าเป็นครูของโรงเรียนอัสสัมชัญหรือหลังการควบรวมมีผลตามกฎหมายแล้ว และรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่นเดิม รวมถึงการนับอายุการปฏิบัติงานต่อเนื่อง และตามกฎระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ทุกประการ” ภราดา ดร.ศิริชัยยืนยัน                 ขณะที่ ภราดา ดร.อานันท์ กล่าวชัดเจนถึงการปรับเงินเดือนครูว่า ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน(สช.) ทางโรงเรียนจะต้องปรับเพิ่มเงินเดือนให้แก่บุคลากรทางการศึกษา ระดับปริญญาตรี ให้เพิ่มเป็น 11,680 บาท แต่ครู 450 คนของโรงเรียนอัสสัมชัญ ไม่มีใครได้เงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท ดังนั้น จึงไม่ต้องปรับเพิ่มเงินเดือนให้แก่ครู                 คำแถลงข่าวของผู้ถือใบอนุญาตจัดตั้ง ผู้อำนวยการโรงเรียน ในเรื่องการยุบรวมได้ไขข้อข้องใจ สร้างความชัดเจนให้แก่ครูมากขึ้น ทว่าเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ อย่าง การปรับขึ้นเงินเดือน ยังคงคลุมเครือ ไม่ได้ข้อสรุป เมื่อผู้อำนวยโรงเรียนยังไม่ได้ประกาศว่าทางมูลนิธิได้ตีความคำว่าบุคลากรทางการศึกษานั้น หมายรวมถึงครูด้วยหรือไม่ เพราะสาเหตุหลักๆ ที่ ผอ.ไม่ปรับขึ้นเงินเดือนให้ครู เพราะประกาศของมูลนิธิขึ้นเงินเดือนให้แก่บุคลากรทางการศึกษา ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นครู ดังนั้นจะขึ้นหรือไม่ขึ้นเงินเดือนให้ครู ต้องรอให้ทางมูลนิธิตีความ ณ ขณะนี้ ครูยังไม่ได้คำตอบ ไม่ทราบได้ว่า อนาคตเงินเดือนของตนเองจะเป็นเช่นไร????                 ครูมัธยมศึกษา ร.ร.อัสสัมชัญ รายหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2556 จากคำชี้แจงของผู้อำนวยการโรงเรียนเกี่ยวกับการปรับเพิ่มเงินเดือนให้แก่ครูแล้วนั้น ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ครูอัสสัมชัญไม่มีใครได้ปรับเพิ่มเงินเดือน และเงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท ต่อให้ได้รับสวัสดิการ ค่าครองชีพต่างๆ แล้วก็ตาม                 "อย่างในส่วนของครูระดับปริญญาตรี จบใหม่เงินเดือนที่ได้รับ ฐานเงินเดือนประมาณ 9,140 บาท ซึ่งเมื่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ประกาศให้ปรับเงินเดือนครูเพิ่มเป็น 11,680 บาท ทางโรงเรียนก็ไม่ได้ปรับเพิ่มแต่อย่างไร ผมในฐานะที่เป็นครูที่นี้มา 27 ปี ได้เงินเดือน 2 หมื่นกว่าบาท เพราะได้รับการดูแลดีจากผู้อำนวยการคนก่อนๆ แต่ไม่ใช่กับผู้อำนวยการคนปัจจุบัน ท่านมีสวัสดิการให้ครู แต่ไม่ปรับฐานเงินเดือนให้ครู แถมบางปีมีการตัด ปรับลด ค่าครองชีพครูอีกด้วย" ครูมัธยมศึกษา ร.ร.อัสสัมชัญ รายเดิม กล่าว                 ดูเหมือนว่า ปัญหาใหญ่ที่ยังคงยืดเยื้อ หาบทสรุปไม่ได้ และก่อให้เกิดคำถามต่อความรู้สึกของครู ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า "อัสสัมชัญ" รวมถึงประชาชนคนทั่วไปในสังคมไทย คงไม่อยู่ที่ยุบรวมประถม และมัธยม แต่กลายเป็นเรื่องของ “สวัสดิภาพ ความเป็นอยู่ของครู  แม่พิมพ์ของชาติ” ที่ยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ตราบใดที่ครูอัสสัมชัญยังรู้สึกว่า "ไม่ได้รับความเป็นธรรม"   .................................................. (วิกฤติ'อัสสัมชัญ บางรัก'อุ้มชูครู...จริงหรือ? : โดย...ทีมการศึกษา)

เปิดม่านการศึกษา : 23 ม.ค.56

เปิดม่านการศึกษา : 23 ม.ค.56
               0 แวะเวียนเยี่ยม "วังจันทรเกษม" วันนี้ ภายใต้ปีก "พรรคเพื่อไทย" ดูเหมือนหลายอย่างเป็น "น้ำหนึ่งใจเดียวกัน" ไม่มี "รัฐมนตรี" ต่างพรรคนั่งบริหารงานให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจ ทุกอย่างน่าจะราบรื่น สามารถขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาในทุกระดับได้เป็นอย่างดี                 0 หากวิเคราะห์ เจาะลึกลงไปในเนื้อหาสาระของ "เจ้ากระทรวงคุณครู" พงศ์เทพ เทพกาญจนา ผู้ที่พ่วงตำแหน่งใหญ่ เพราะนั่งควบเก้าอี้ "รองนายกรัฐมนตรี" แล้ว เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถสูง แถมยังมีต้นทุนทางสังคมสูงอีกด้วย                 0 เฉกเช่นเดียวกันกับ "หวานใจเจ๊เบียบ" เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็เป็นผู้มีประสบการณ์ในการบริหารงานมาทุกระดับ ตั้งแต่ระดับภูมิภาค จนถึงระดับชาติ มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง น่าจะฝากอนาคตการศึกษาของชาติเอาไว้ได้                 0 วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก "2 รัฐมนตรีศึกษาฯ" พงศ์เทพ-เสริมศักดิ์ ยังหาผลงานที่โดดเด่น โดนใจพ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมถึงคนไทยไม่ได้ ส่วนมากเป็นเรื่องของ "วาทกรรม" ผ่านลมปาก ยังมองไม่เห็นผลงานที่เป็น "รูปธรรม"                 0 "ปรับหลักสูตร" แม้โดนใจพ่อแม่ผู้ปกครอง อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้มายาวนาน แต่ "รมต.พงศ์เทพ" ไม่มีการขยับปรับเปลี่ยนในเรื่องนี้  ไม่จริงจังกับเรื่องนี้ เป็นการพูดผ่านสื่อไปวันๆ อย่างน่าเสียดายโอกาส                 0 ขณะที่ "หวานใจเจ๊เบียบ" ผู้กุมหัวใจคุณครูค่อนประเทศเอาไว้เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง "รมช.ศึกษาฯ" ใหม่ๆ ยังข้าวใหม่ปลามัน แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยน ย้อนกลับไปถามใจคุณครูหลายคนออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่า "ผิดหวัง" ไม่เห็นทำอะไรเพื่อครูตามที่ออกสื่อเลย ว่าไปนั่นเน้อ !!                 0 ยิ่งนับวันกระทรวงศึกษาธิการ กลายเป็นที่รองรับ "รัฐมนตรีพาร์ทไทม์" แม้ไม่เลวร้าย แต่ทำให้การศึกษาไทยเสียโอกาสในการเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไม่น้อยเน้อ !!                 0 เมื่อกระทรวงศึกษาธิการ มี "รัฐมนตรีพาร์ทไทม์" ทำงานไปวันๆ สังคมไทยเริ่มย้อนกลับมามองที่ "5เสือศธ." เพื่อขอฝากความหวังอนาคตการศึกษาของชาติ แว่วว่ายามนี้ "ซี11" วังจันทรเกษม แต่ละคน โอ้โห !!!   ............................................. (คอลัมน์เปิดม่านการศึกษา : โดย...ครูแจ่ม)

ศิริราชใจดีรับรักษาโรคปากแหว่งช่วยผู้ยากไร้

ศิริราชใจดีรับรักษาโรคปากแหว่งช่วยผู้ยากไร้
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ศิริราชครบ 125 ปีในเดือน เม.ย.นี้ ศิริราชจึงได้จัดโครงการศัลยกรรมแก้ไขโรคปากแหว่งเพดานโหว่ช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้และด้อยโอกาส 200 ราย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ 85 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ 60 พรรษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม มกุฎราชกุมาร  ทั้งนี้ประเทศไทยพบทารกเกิดใหม่ เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ประมาณ 1,000 รายต่อปี  โดยเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น  การถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือโครโมโซมที่ผิดปกติ  หรือปัจจัยภายนอกที่กระทบคุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เช่น การขาดสารอาหารหรือวิตามินบางชนิด พิษของยาหรือสารเคมีบางอย่าง การติดเชื้อจากไวรัสและแบคทีเรียบางชนิด รวมถึงวิตามินเอที่ได้รับเกินขนาดโดยเฉพาะยารักษาสิวที่มีผลต่อใบหน้าและสมองทารกในครรภ์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามโรคนี้รักษาให้หายหรือลดความเสี่ยงได้ แต่คนไทยบางส่วนยังเข้าใจผิดคิดว่ารักษาไม่ได้ ซึ่งส่งผลต่อเด็กเมื่อโตขึ้น นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วยังมีผลต่อการสื่อสาร กระทบต่อสุขภาพและจิตใจศ.คลินิก  นพ.อภิรักษ์ ช่วงสุวนิช  หน.สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่ง  กล่าวว่า  ศิริราช รักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ไปแล้วมากกว่า 4,000 ราย โดยดูแลแบบครบวงจร  สำหรับผู้ที่สนใจไม่ว่าอยู่วัยใดหรือมีสิทธิ์ใดๆ สามารถเข้าร่วมโครงการได้  ซึ่งจะได้รับการประเมินจากนักสังคมสงเคราะห์ว่าเป็นบุคคลที่มีรายได้น้อย  เหมาะสมที่จะเข้าร่วมโครงการ  ติดต่อได้ที่หน่วยตรวจโรคศัลยศาสตร์  ตึกผู้ป่วยนอกชั้น 3 โทร.0-2419-8002.

เร่งสางผลกระทบปรับเงินเดือนครู

เร่งสางผลกระทบปรับเงินเดือนครู
นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการที่ประกอบด้วยผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงบประมาณ สมาคมโรงเรียนเอกชน เพื่อพิจารณาว่าจะจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนรายหัวเพิ่มหรือช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนรองรับการปรับเพิ่มเงินเดือน 15,000 บาท  ตามนโยบายของรัฐบาลในปี 2557 แต่ขณะนี้รัฐบาลได้ปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนโรงเรียนเอกชนแล้วในระดับประถม 601 บาท และมัธยม 751 บาท เป็นการช่วยปรับเงินเดือนครูเอกชนในอัตรา 11,680 บาทเท่านั้น แต่อีกสองปีที่จะปรับเงินเดือน 15,000บาท จำเป็นต้องช่วยเหลือเงินเพิ่มเติม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดและจะเสนอ รมว.ศึกษาธิการพิจารณาเพื่อนำเสนอสำนักงบประมาณต่อไปรักษาการเลขาธิการ กช. กล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมาธิการได้ให้ข้อสังเกตว่าโรงเรียนเอกชนต้องมีระบบรายรับรายจ่ายและบอกได้ว่างบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ไม่เพียงพอต่อการจ่ายเงินเดือนครู ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จึงได้ให้โรงเรียนเอกชนทุกแห่งที่ได้รับเงินอุดหนุนทำระบบบัญชีรับจ่ายที่เป็นงบประมาณของรัฐอุดหนุนกับรายจ่ายที่เป็นกิจการของโรงเรียน เพื่อชี้ให้เห็นว่ารายจ่ายไม่เพียงพอต่อการประกอบกิจการ โดยให้จัดส่ง สช.ภายในเดือน ก.พ.นี้ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลพิจารณาอุดหนุนช่วยเหลือต่อไป โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนที่รัฐอุดหนุน 70% ซึ่งมีทั้งโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก จะได้รับผลกระทบมากเพราะโรงเรียนก็ไม่ได้มีนโยบายที่จะเพิ่มค่าเล่าเรียน กรณีโรงเรียนที่มีปัญหาเร่งด่วนไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนให้กับครูในอัตรา 11,680 บาท สช.จะช่วยเยียวยาเบื้องต้นซึ่งอาจจะนำงบประมาณกลางปี 2556 มาช่วย.

นักวิชาการหนุนยกฐานะ กศน.-แยก สกอ.

นักวิชาการหนุนยกฐานะ กศน.-แยก สกอ.
พงศ์เทพ ดับฝันปีนี้ไม่รื้อโครงสร้างแน่ จี้ ศธ.ลดขนาดจิ๋วแต่แจ๋วจากการเสวนา นโยบายและทิศทางการพัฒนาระบบการศึกษาไทย จัดโดย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ศ.ดร.ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอ 3 เรื่องเพื่อปรับปรุงระบบการศึกษา คือ 1.ต้องปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้เล็กลง กระจายอำนาจให้ถึงสถานศึกษา และควรแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ออกจาก ศธ. เพราะเดิมเราคิดว่าถ้ารวมศธ.กับทบวงมหาวิทยาลัยจะทำให้นโยบายต่อเนื่อง แต่ผลปรากฏว่าไม่ทำให้การศึกษาดีขึ้น กลับทำให้ ศธ.อุ้ยอ้าย ขณะที่อุดมศึกษาก็แย่ลง 2. เร่งพัฒนาคุณภาพครู และควบคุมการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีให้ได้คุณภาพ  3.วางระบบมาตรฐานการศึกษาให้เป็นระบบเดียวกัน ใช้การประเมินครูโดยดูที่ผลสัมฤทธิ์ของเด็ก ไม่ใช่ระบบบริหารบุคคลที่ใช้เงินซื้อขายเพื่อโยกย้ายตำแหน่ง  รวมทั้งทบทวนวิธีการสอนแบบเก่า โดยเฉพาะการท่องจำ ซึ่งบางครั้งก็ยังมีความจำเป็น แต่ต้องปรับให้เหมาะกับการเรียนการสอนในปัจจุบันด้าน ศ.ดร.ศิริชัย กาญจนวาสี อดีตคณบดี คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะยกฐานะสำนักงานการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เป็นองค์กรหลักอีกแท่ง เพื่อเติมเต็มการศึกษาในระบบ แต่เมื่อปรับโครงสร้างแล้ว ศธ.ควรต้องเล็กลง ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลักษณะจิ๋วแต่แจ๋ว  นอกจากนี้  ควรต้องแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาโดยแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก และควรเพิ่มการใช้คะแนนโอเน็ตมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียน ชั้น ป.6, ม.3 และ ม.6 ร้อยละ 20 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้โรงเรียนต้องปรับระบบการประเมินผลให้ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นเรื่องดีขณะที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนจะนำข้อเสนอของนักวิชาการทุกคนไปพิจารณา สำหรับเรื่องโครงสร้าง ทั้งเรื่องยกฐานะ กศน.และข้อเสนอแยกอุดมศึกษาออกจาก ศธ.นั้น ตนเห็นว่าเรื่องโครงสร้าง ศธ.มีปัญหาจริง แต่ตนยังไม่อยากเน้นเรื่องนี้ในปีนี้ สิ่งที่จะทำขณะนี้คือ การปรับหลักสูตรและวิธีการสอน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง.

Monday, January 21, 2013

ผู้มีดวงตาสีน้ำตาลเป็นบุญเป็นคนดวงดีได้รับการนับถือว่า เป็นคนน่าเชื่อถือไว้ใจ

ผู้มีดวงตาสีน้ำตาลเป็นบุญเป็นคนดวงดีได้รับการนับถือว่า เป็นคนน่าเชื่อถือไว้ใจ
ผู้มีดวงตาสีน้ำตาล กลายเป็นคนดวงดีไปทั้งโลก เพราะมีคนเห็นว่า เป็นคนที่เชื่อใจได้ ยิ่งกว่าคนที่มีดวงตาสีฟ้า อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งภูมิใจจนมากไปนัก เพราะยังมีคนค้านว่า ความเชื่อถือไว้วางใจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีตาอย่างเดียว เหมือนอย่างกับผู้ที่มีใบหน้าดูอ่อนวัยนั้น จะต้องเป็นผู้มีดวงตาสีน้ำตาลด้วยนักวิจัยคาเรล ไคล์เนอร์ มหาวิทยาลัยชาร์ลส์แห่งกรุงปราก ผู้ริเริ่มศึกษาเรื่องนี้ บอกให้ความเห็นว่า “สีตาเป็นเรื่องเพียงผิวเผิน ไม่มีใครที่คิดไปว่า มันจะเกี่ยวพันลึกไกล ขนาดลงถึงโครงสร้างกระดุกมากกว่านี้ แต่มันก็ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้เขาเริ่มสนใจว่าคนส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกอย่างไรในเรื่องสีตาคน เพราะอันที่จริงแล้ว ตาสีฟ้านับว่าเพิ่งวิวัฒนาการมาใหม่มาก นักวิทยาศาสตร์พบว่า มนุษย์ตาสีฟ้าเพิ่งจะมีมาเมื่อประมาณ 6,000-10,000 ปีมานี่เอง และที่สำคัญตัวเขาเองก็เห็นว่า “ตาคนเราไม่ได้มีไว้สำหรับใช้ดูอย่างเดียว หากแต่มีไว้เพื่อให้คนอื่นมองเห็นด้วย”เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ เขาได้ทดสอบโดยถ่ายภาพนักศึกษาชายหญิง ที่มีตาสีฟ้า หรือสีน้ำตาล ฝ่ายละ 40 คน แล้วอัดไปให้ นักศึกษาชายหญิงอีกกลุ่มหนึ่งดู และให้คะแนนว่าคนไหนสวยงาม เชื่อถือไว้วางใจได้ และมีลักษณะโดดเด่นมากกว่ากันปรากฏว่า ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า คนตาสีน้ำตาลเชื่อถือไว้วางใจได้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ชาย.

พบวิธีตรวจโรคอัมพาตแบบสั่นตั้งแต่ต้น ใช้การทดสอบกับส่วนของต่อมน้ำลาย

พบวิธีตรวจโรคอัมพาตแบบสั่นตั้งแต่ต้น ใช้การทดสอบกับส่วนของต่อมน้ำลาย
สถานพยาบาลเมโยอันมีชื่อเสียงโด่งดังของสหรัฐฯ พบวิธีทดสอบส่วนของต่อมน้ำลาย รู้ได้ว่าเป็นโรคอัมพาตแบบสั่นในระยะต้นๆหรือไม่โรคอัมพาตแบบสั่น มักเป็นกับผู้มีวัยเกิน 50 ปีขึ้นไป ทำให้มีอาการเชื่องช้าลง เดินเหิน หรือแม้แต่การยืนลำบาก ตลอดจนกล้ามเนื้อแข็งเกร็งและมีอาการสั่น ปัจจุบันยังไม่มีการทดสอบวินิจฉัยโรคนี้ได้ดร.ชาร์ลส์ แอดเล่อร์ แพทย์ประสาทวิทยาของคลินิก กล่าวว่า “เราเคยตัดชิ้นเนื้อของคนไข้เพื่อชันสูตรโรคพบว่า มีโปรตีนผิดปกติบางชนิดเกี่ยวพันอยู่ และจะพบในต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่าง” เขาเสริมว่า “การตรวจวินิจฉัยโรคในคนไข้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ จะเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ จะช่วยให้เข้าใจและหาวิธีรักษาที่ได้ผลดีขึ้นด้วย”หมอแอดเล่อร์ ได้ให้ความเห็นด้วยว่า แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ในปัจจุบัน แต่ก็มีหยูกยาที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคลงอย่างสังเกตได้.

ยูนิเซฟดีเดย์ หนังสั้นชีวิตจริง 2 เยาวชนยากจน

ยูนิเซฟดีเดย์ หนังสั้นชีวิตจริง 2 เยาวชนยากจน
ยูนิเซฟประเทศไทยเริ่มต้นเผยแพร่หนังสั้นตอนแรกจากทั้งหมด 5 ตอน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของ 2 เยาวชนยากจนจากต่างจังหวัด ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะอาชีพ ณ โรงแรมหรูใจกลางกรุง...เมื่อวันที่ 21 ม.ค. มีรายงานว่า ยูนิเซฟประเทศไทยเปิดตัว “A Chance for Change” ซึ่งคือ หนังสั้น 5 ตอนจบ เกี่ยวกับชีวิตจริงของเยาวชนยากจน 2 คนจากต่างจังหวัดที่มาตามหาฝันในกรุงเทพฯ โดยผู้สนใจสามารถคลิกที่นี่ เพื่อชมตอนที่ 1 ชีวิตใหม่: http://youtu.be/rC5mzzBUPFMสำหรับเนื้อหานั้น ติดตามการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของดาวใจ และ อุไรรัตน์ ซึ่งต้องจากบ้านเกิดเพื่อเข้าฝึกอบรมการโรงแรม ในโครงการพัฒนาเยาวชนในสายอาชีพ ณ โรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพฯ มาติดตามชมว่าพวกเขาคาดหวังอะไรจาก 5 เดือนนี้หนังสั้นชุดนี้ นำเสนอเรื่องราวของ น.ส.ดาวใจ แซ่ท่อ เด็กสาวกลุ่มชาติพันธุ์ม้งวัย 20 ปี จากหมู่บ้านทับเบิก จ. เพชรบูรณ์ ที่ต้องการต่อสู้และส่งตนเองเรียน ส่วนอีกคนหนึ่งคือ น.ส.อุไรรัตน์ ศรีสาระ วัย 18 ปี เด็กสาวผู้กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุ 7 เดือนจาก จ.หนองคาย ซึ่งทางบ้านไม่สามารถส่งเสียให้เรียนต่อได้ ทั้งคู่ได้พบโอกาส ความหวัง และความฝัน ณ โรงแรมหรูใจกลางเมืองหลวง หลังจากได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาเยาวชนในสายอาชีพ (Youth Career Development Programme) ซึ่งจัดอบรมการโรงแรมให้แก่เด็กและเยาวชนที่ยากจนและขาดโอกาสเป็นเวลา 5 เดือนโครงการนี้ ริเริ่มโดยยูนิเซฟและโรงแรมแพน แปซิฟิกเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต สร้างโอกาส และรายได้ที่มั่นคง ตลอดจนป้องกันเด็กกลุ่มนี้จากการถูกล่อลวงให้เข้าสู่ธุรกิจบริการทางเพศ และการถูกเอารัดเอาเปรียบทางแรงงานหากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยูนิเซฟ กรุณาไปที่ www.unicef.or.th หรือ www.facebook.com/unicefthailandEmbed code: ตอนที่ 1

Sunday, January 20, 2013

นำร่องร้านโชห่วย หวังหยุดนักดื่มก่อนวัย

นำร่องร้านโชห่วย หวังหยุดนักดื่มก่อนวัย
ทีเอพีบี จับมือภาครัฐ เสริมสร้างความรู้และจิตสำนึกปฏิบัติตามกฎหมายการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี จัดกิจกรรมรณรงค์ลงพื้นที่เขตบางกะปินำร่อง มุ่งเน้นร้านโชห่วย...  เมื่อวันที่ 19 ม.ค. นายปริญ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด (ทีเอพีบี) กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมกับกรมสรรพสามิต สำนักงานเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร สมาคมผู้ค้าปลีกไทยและมูลนิธิแก้ไขปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ จัดกิจกรรมรณรงค์ ภายใต้โครงการ ยับยั้งนักดื่มก่อนวัย ทำได้แค่...ไม่ขาย เพื่อสร้างการรับรู้กฎหมายการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ มุ่งเน้นไปที่ร้านโชห่วย ที่จากผลการสำรวจพบว่าเป็นแหล่งที่เยาวชนสามารถหาเครื่องดื่มได้ง่าย โดยเลือกพื้นที่เขตบางกะปิ เป็นพื้นที่นำร่องนายสิน นิติธาดากุล ผู้อำนวยการเขตบางกะปิ พื้นที่นำร่อง กล่าวว่า ปัญหาของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะตัวของผู้ดื่มเอง แต่เป็นผลกระทบให้กับผู้ที่ไม่ดื่มด้วย อย่างหลายตัวอย่างที่เกิดขึ้นมา โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปแล้ว จะมีอันตรายมากกว่าวัยอื่น เนื่องด้วยจากความคึกคะนองที่มีมาก ดังนั้น โครงการดังกล่าวนับว่ามีส่วนช่วยแก้ปัญหาส่วนหนึ่งได้เป็นอย่างดี ยินดีสนับสนุนโครงการดังกล่าว เนื่องจากเป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ ที่อาจมีผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทางเขตจะได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยดูแลความสะดวกในการรณรงค์ครั้งนี้ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวยอมรับว่า ร้านโชห่วยเป็นแหล่งที่เยาวชน สามารถซื้อหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย และไม่มีการตรวจสอบจากภาครัฐ เนื่องจากมีการกระจายของร้านค้าเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ร้านดังกล่าวไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคม เนื่องจากเป็นสมาชิกของสมาคมค้าปลีกเป็นร้านโมเดิร์นเทรดทั้งหมด แต่โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ดี และน่าจะช่วยเสริมในการช่วยรณรงค์การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ และโครงการนี้ในอนาคตน่าจะเข้ารณรงค์ในร้านโมเดิร์นเทรดด้วย เนื่องจากสถิติลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านโมเดิร์นเทรด มีจำนวนประมาณ 10 ล้านคน/เดือน หากสามารถรณรงค์ที่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้นดร.โอฬาร โชว์วิวัฒนา ประธานมูลนิธิแก้ไขปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ทางมูลนิธิได้รณรงค์ในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงและอันตรายที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนวัยอันควร และให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการดื่มในวัยที่เหมาะสมและถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งรณรงค์ให้มีการตรวจบัตรประจำตัวประชาชนก่อนซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านค้า แต่การแก้ไขปัญหาต้องเป็นแบบบูรณาการ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ด้านนางประเสริฐ ชุลีภรณ์ อายุ 45 ปี เจ้าของร้านในซอยรื่นรมย์ หนึ่งในผู้ประกอบการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ดีและสร้างสรรค์ ปัจจุบันการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ก็ยังมีและยังเห็นอยู่ แต่สำหรับป้าถ้ามีเด็กมาซื้อ ที่มองจากสายตาแล้วอายุไม่ถึง 20 ปี ก็จะไม่ขายให้เด็ดขาด หรือถ้ายืนยันว่าอายุถึง ก็จะขอดูบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อเป็นการยืนยัน โดยเฉพาะบริเวณนี้มีสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างๆ  ซึ่งจะยังคงทำแบบนี้ต่อไป นายคำผัน-นางพรรณี ขวานอก สองสามีภรรยา หนึ่งในร้านขายของชำแถวหลังรามฯ หรือรามคำแหง 24 กล่าวว่า ปกติทางร้านก็จะไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเยาวชนอยู่แล้ว ซึ่งในบางครั้งอาจจะมีผู้ปกครองบางคนใช้เด็กมาซื้อ โดยนำบัตรประชาชนของผู้ปกครองมายืนยันด้วยก็ตาม ทางร้านก็จะไม่ขายให้เด็ดขาด เนื่องจากได้รับทราบข้อมูลข่าวสารจากการไปต่อใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในแต่ละปีอยู่แล้ว และยิ่งได้มีน้องๆ จากโครงการดังกล่าวได้มาประชาสัมพันธ์ รวมถึงการเชิญชวนทางร้านเข้าร่วมในโครงการ และติดสติ๊กเกอร์ที่ตู้แช่และหน้าร้าน ยิ่งทำให้ทางร้านตระหนักและยินดีที่จะปฏิบัติตามในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย. 

คนกรุงเชื่อ!! จะมีซื้อสิทธิ์ขายเสียง สนามเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม.

คนกรุงเชื่อ!! จะมีซื้อสิทธิ์ขายเสียง สนามเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม.
ดุสิตโพลเผย คนกรุงเทพฯ จะเลือก ผู้ว่าฯ กทม. ที่สังกัดพรรคมากที่สุด เพราะชื่นชอบพรรค ได้รับการสนับสนุนจากพรรค และกว่า  
67.68% คิดว่าจะมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง เพราะเป็นธรรมดาของการเลือกตั้งในเมืองไทย...เมื่อวันที่ 20 ม.ค. สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้ง 50 เขต ในกรุงเทพฯ ถึงการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. ในสายตาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เมื่อถามว่าระหว่าง ผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง กับ ผู้สมัครอิสระ คนกรุงเทพฯ จะเลือกใคร? พบว่า อันดับ 1 ผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง 56.47% เพราะชื่นชอบพรรค ได้รับการสนับสนุนจากพรรคมีทีมงานคอยช่วยเหลือ มีแต้มต่อดีกว่า ฯลฯ, อันดับ 2 ผู้สมัครอิสระ 40.08% เพราะดูที่ตัวบุคคล การทำงานแนวคิดเป็นอิสระ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับพรรคการเมือง เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ฯลฯ และอันดับ 3 ไม่แน่ใจ 3.45%เมื่อถามว่า ผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง กับ ผู้สมัครอิสระ หาเสียงอย่างไร? คนกรุงเทพฯ จึงจะเลือก พบว่า ในมุมของผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง ต้องมีนโยบายโดนใจ มีแนวทางชัดเจน สามารถทำได้จริง 47.30%, หาเสียงอย่างสร้างสรรค์ ไม่กล่าวร้ายหรือโจมตีใคร 30.12% และ เข้าถึงประชาชน เป็นกันเองไม่ถือตัว 22.58% ขณะที่ในมุมผู้สมัครอิสระ ต้องมีมีวิสัยทัศน์ แนวทางการทำงานที่ชัดเจน ไม่เพ้อฝัน 53.15%, จริงใจ ไม่ถือตัว เข้าถึงประชาชนทุกระดับ 26.18% และ มีรูปแบบ วิธีการหาเสียงที่น่าสนใจ เป็นตัวของตัวเอง 20.67% เมื่อถามว่า การหาเสียงเรื่องใด? ที่จะถูกใจคนกรุงเทพฯ มากที่สุด อันดับ 1 การพัฒนาคุณภาพชีวิต /ชีวิตความเป็นอยู่ 22.10%, อันดับ 2 การจราจร 21.40%, อันดับ 3 ปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม 20.18%, อันดับ 4 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 18.37% และอันดับ 5 การศึกษา 17.95%เมื่อถามว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในครั้งนี้จะรุนแรง/ดุเดือด หรือไม่? อันดับ 1 รุนแรง/ดุเดือด
 52.17% เพราะเป็นการแข่งขันกันระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่หวังครองใจคน กทม.  เพียงแค่ช่วงแรกของการหาเสียงก็มีการขุดคุ้ย​โจมตีกันแล้ว ฯลฯ และอันดับ 2 ไม่รุนแรง/ไม่ดุเดือด 47.83% เพราะมีกฎหมายการเลือกตั้งคอยควบคุมอยู่  เป็นการเลือกตั้งในพื้นที่ กทม. ไม่น่าจะรุนแรงเหมือนต่างจังหวัด ฯลฯ เมื่อถามว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในครั้งนี้จะทำให้ความขัดแย้งที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร? 
อันดับ 1 ขัดแย้งเหมือนเดิม 53.88% เพราะการเมืองไทยและสังคมไทยปัจจุบันมีการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน ความขัดแย้งต่างๆ ยังคงมีอยู่ในทุกๆ เรื่อง ฯลฯ, อันดับ 2 ขัดแย้งเพิ่มขึ้น 25.00% เพราะเป็นการช่วงชิงตำแหน่งที่มีความสำคัญ ต่างฝ่ายต่างต้องหาวิธีการเพื่อให้ได้ใจหรือเรียกคะแนนเสียงจากคน กทม. ฯลฯ และอันดับ 3 ไม่แน่ใจ 21.12% เพราะขึ้นอยู่กับวิธีการหาเสียงของผู้สมัครแต่ละคน การนำเสนอของสื่อต่างๆ การสร้างสถานการณ์ของผู้ไม่หวังดี ฯลฯเมื่อถามว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้จะมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงหรือไม่? อันดับ 1 มี 
67.68% เพราะ  เป็นธรรมดาของการเลือกตั้งในเมืองไทย วิธีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงมีรูปแบบที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เพียงการให้เงิน ฯลฯ, อันดับ 2 ไม่แน่ใจ 23.27% เพราะเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่มีหลายฝ่ายจับตามองอยู่ อาจเป็นการสร้างกระแสเพื่อลดความน่าเชื่อถือของคู่แข่ง
 ไม่เคยเจอหรือพบเห็นด้วยตนเอง ฯลฯ และอันดับ 3 ไม่มี  9.05% เพราะเชื่อมั่นในเกียรติของผู้สมัครแต่ละคน วิธีการซื้อเสียงใช้กับคนกรุงเทพฯ ไม่ได้ เป็นการกระทำที่ได้ไม่คุ้มเสีย ฯลฯ.

ปชช.พอใจบริการบัตรทอง 8.29 คะแนนจากเต็ม 10

ปชช.พอใจบริการบัตรทอง 8.29 คะแนนจากเต็ม 10
เอแบค เผยประชาชนพอใจ ประกันสุขภาพถ้วนหน้า 8.29 คะแนน จากเต็ม 10 โดยกลุ่มรายได้ต่ำพอใจสูงกว่ากลุ่มอื่น คนอีสานมากสุด ตามด้วยคนเหนือ ส่วนผู้ให้บริการในสถานพยาบาลตระหนักถึงประโยชน์ที่ให้กับผู้ใช้บริการ แต่มองว่าปัญหางบประมาณเป็นสิ่งที่กระทบต่อการทำงานมากสุด...นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ดำเนินโครงการสำรวจวิจัยเรื่อง ความคิดเห็นของประชาชน และผู้ให้บริการต่อโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (พ.ศ. 2555) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อการได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยให้คะแนนความพึงพอใจ (จาก 1-10 คะแนน) เฉลี่ยเท่ากับ 8.29 คะแนน ซึ่งคนที่ เคยใช้สิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะมีความพึงพอใจสูงมากกว่าคนทั่วไปนอกจากนี้ พบว่าผู้ที่เคยใช้สิทธิบัตรหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในการรักษาพยาบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา มีค่าคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยเท่ากับ 8.63 คะแนน ผลสำรวจยังพบว่า ประชาชนให้ความสำคัญต่อ คุณภาพการรักษาพยาบาลของแพทย์ มากที่สุด รองลงมาคือ คุณภาพด้านยา และคุณภาพด้านเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ตามลำดับ และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 94.8 มีความตั้งใจที่จะไปใช้บริการต่อไป ข้อสังเกตจากการศึกษากลุ่มประชาชนพบว่า ความพึงพอใจมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มประชากร กลุ่มคนอายุมาก กลุ่มเป็นม่าย/หย่า/แยกกันอยู่ กลุ่มคนที่มีการศึกษาต่ำ กลุ่มเกษตรกร/ประมง/รับจ้างทั่วไป กลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำ จะมีความพึงพอใจสูงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ขณะที่กลุ่มประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความพึงพอใจสูงสุด (8.66 คะแนน) รองลงมาคือ ภาคเหนือ (8.28 คะแนน) ภาคกลาง (8.19 คะแนน) กรุงเทพฯ (7.90 คะแนน) และภาคใต้ (7.82 คะแนน)ส่วนกลุ่มผู้ให้บริการพบว่า มีความพึงพอใจต่อโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 7.08 คะแนน (จาก 1-10 คะแนน) เพราะเล็งเห็นประโยชน์ความพอใจในผลที่เกิดกับประชาชนมากกว่าผลที่เกิดกับตนเอง และความพึงพอใจปี 2555 ดีกว่าความพึงพอใจปี 2554 ที่ได้คะแนน 6.99 ขณะที่ผลสำรวจการให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติงาน ให้ความสำคัญกับความคาดหวังของผู้ป่วยมากที่สุด 8.63 คะแนน รองลงมาคือ ความเพียงพอของงบประมาณดำเนินการ และความถูกต้องของการจ่ายชดเชยให้สถานพยาบาลตามลำดับ มีความคิดเห็นต่อระดับความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการปฏิบัติว่า ความเพียงพอของงบประมาณรุนแรงที่สุด รองลงมาคือ ความคาดหวังต่อผู้ป่วย และความเพียงพอของผู้ให้บริการตามลำดับ

Blog Archive