Friday, February 8, 2013

โทษหลักสูตรเด็กไม่รู้วิธีแก้ท้องวัยเรียน

โทษหลักสูตรเด็กไม่รู้วิธีแก้ท้องวัยเรียน
             ผลพวงจากปัญหาท้องไม่พร้อมในวัยรุ่นไทยได้เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับสำนักเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลวันวาเลนไทน์ พร้อมจัดเสวนาหัวข้อ "เมื่อวัยเรียนก้าวพลาดในความรัก เราจะตั้งหลักกันอย่างไร"              นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ข้อมูลระบุว่า ขณะนี้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทั่วประเทศ 15 ล้านคน มีกว่า 1 แสนคน ประสบปัญหาท้องในวัยเรียน ซึ่งกลุ่มเยาวชนเหล่านี้ประมาณ 5 หมื่นคน ได้กลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรมกระทำผิดกฎหมาย เนื่องจากถูกกดดันจากสังคมและถูกตีตราว่าเป็นเด็กไม่ดี เป็นเด็กที่สร้างปัญหาให้แก่สังคม จึงส่งผลให้กลุ่มเด็กหญิงที่ก้าวพลาดคิดว่าตนเองได้ทำความผิดที่ร้ายแรง ในที่สุดจึงหลงเดินทางผิดมากขึ้น เพราะคิดว่ายังไงเขาก็ถูกสังคมตัดสินความผิดไปแล้ว              ขณะเดียวกันหลักสูตรการศึกษาในประเทศไทยยังขาดเรื่องการส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับความรักในวัยเรียน ทำให้การเรียนการสอนในสถานศึกษามุ่งเน้นเพียงแต่ด้านวิชาการ เด็กนักเรียนจึงขาดความพร้อมด้านทักษะในการดำเนินชีวิต ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงควรพิจารณาเพิ่มหลักสูตรในสถานศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมากขึ้น เพราะการใช้ชีวิตจริงในสังคมบางครั้งเด็กที่เรียนไม่เก่งอาจสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าพวกเรียนเก่ง ตัวอย่างก็มีให้เห็นไม่น้อย              "สถิติเกี่ยวกับปัญหาท้องในวัยเรียนของเด็กไทยพุ่งเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย และเป็นอันดับ 2 ของโลก สะท้อนให้เห็นว่า ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาของเรายังไม่ถูกจุด นอกจากนี้สังคมไทยก็ไม่เคยคิดถึงการไปเก็บข้อมูลเด็กที่ท้องไม่พร้อม แต่สามารถกลับมายืนหยัดในสังคม และกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่สังคมว่า เขาเหล่านั้นยังมีโอกาสปรับตัว ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มีเพียงแต่มุ่งเป้าว่า เด็กที่ทำผิดเป็นคนไม่ได้ โดยลืมมองไปว่าผู้ใหญ่เองนั่นแหละเป็นตัวต้นเหตุของปัญหา" นางทิชากล่าว              สอดคล้องกับ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ผู้ใหญ่ต้องเลิกพูดว่าเด็กเป็นจำเลยของสังคม แม้ในความเป็นจริงส่วนหนึ่งเด็กก็ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิด เนื่องจากการตำหนิอย่างเดียวไม่ทำให้เกิดประโยชน์              ขณะที่ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี กล่าวว่า ช่วงวัยเรียนตนเป็นเด็กที่เรียนดี เกรดเฉลี่ย 3.9 เกือบทุกเทอม แต่เพราะรักในวัยเรียนทำให้ใช้ชีวิตก้าวเดินไปในทางที่ผิด วันนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตคือ การไปฉลองเรียนจบ ม.6 กับเพื่อนและแฟน ด้วยความที่ไม่เคยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่เมื่อลองดื่มทำให้เมาขาดสติจนพลาดตั้งครรภ์ พอรู้ว่าตั้งครรภ์ก็ตกใจและทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าการกระทำแค่ครั้งเดียวจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตมากขนาดนี้ เพื่อนแนะนำให้ไปเอาเด็กออก แต่ตัดสินใจเล่าความจริงให้พ่อกับแม่ฟัง ที่บ้านก็เสียใจมาก เพราะเป็นลูกคนเดียว จากนั้นไม่นานผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ปรึกษาและตกลงให้แต่งงานกัน ใช้ชีวิตอยู่กับแฟนได้เพียง 2 ปี มีปัญหาทะเลาะกันบ่อยครั้ง จนสุดท้ายเลือกที่จะแยกทางกัน              "ตอนนี้เลี้ยงดูลูกเอง ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูก และตั้งใจไว้ว่าจะเรียนต่อให้จบปริญญาตรี เพื่อเป็นของขวัญให้พ่อและแม่ สิ่งที่ทำให้ลุกขึ้นมาสู้ชีวิตก้าวเดินต่อไปได้ก็เพราะลูก ลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อยากฝากไปถึงผู้ใหญ่ว่า เมื่อลูกหลานมีปัญหา ไม่ควรโทษเด็กอย่างเดียว โดยเฉพาะการตบตีด่าทอยิ่งไม่ควรทำ เพราะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะเด็กอาจจะหลงไปในทางที่ผิดคิดสั้นได้" น.ส.เอกล่าว

อพวช.แหล่งเรียนรู้ของคนทุกเพศทุกวัย

อพวช.แหล่งเรียนรู้ของคนทุกเพศทุกวัย
                องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) แหล่งเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมไว้ให้คนทุกวัยเข้าไปศึกษาหาความรู้เพื่อรู้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันและอนาคต                 ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เล่าว่า อพวช.เป็นองค์กรที่มีบุคลากรเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ทำหน้าที่สำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ เผยแพร่ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้คนไทยทั่วทั้งประเทศ สร้างความตระหนักเรื่องวิทยาศาสตร์ให้สามารถนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้แก้ไขปัญหาชาติบ้านเมือง และวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ และวิจัยการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ ทั้งหมดเชื่อมโยงการทำงานกับชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน และส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมไว้ให้คนทุกวัยเข้าไปศึกษาหาความรู้                 "ผมทำงานให้ อพวช.มาเกือบ 8 ปี ได้รับรู้ว่าคนส่วนใหญ่คิดว่า พิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่สำหรับเด็ก เยาวชน จึงเป็นปัญหาว่าทำไมวิทยาศาสตร์ไม่ได้รับความสนใจ และไม่ถูกนำมาใช้มากนักในประเทศไทย ก็เพราะผู้ใหญ่ไม่เข้าพิพิธภัณฑ์ ทั้งที่ความจริง พิพิธภัณฑ์คือแหล่งเรียนรู้สำหรับคนทุกเพศทุกวัย ทุกการศึกษา และทุกอาชีพ เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบันและส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต มารวมไว้ให้คนทุกวัย ด้เข้าไปศึกษาหาความรู้ รู้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะอนาคตมีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน เช่น เทคโนโลยี สังคม สิ่งแวดล้อม ทรัพยากร ผมไม่ได้คาดหวังว่าคนที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์แล้วเมื่อกลับออกไปต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ ขอเพียงให้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แก้ไขปัญหาก็พอ ความจริงอยากให้หมอ ครู นักการเมือง เดินเข้ามาที่พิพิธภัณฑ์ แล้วกลับออกไปนำกระบวนการวิทยาศาสตร์ไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล"                 ผอ.พิชัย เล่าอีกว่า อพวช.ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้ ยกตัวอย่างเช่น ชาวบ้านต้องการทราบว่าจะสามารถแก้ปัญหาลูกระกำมีหนอนได้อย่างไร อพวช.แก้ปัญหาด้วยการติดต่อขอวิทยากรทางการเกษตรเข้ามาชี้แจงและให้ความรู้ อีกหนึ่งตัวอย่างคือ ชาวบ้านถามว่า ทำไมกะปิต้องมีเทียนสีขาวปิดหน้าก่อนเสมอ และในกะปิมีสารอาหารอะไรบ้าง อพวช.แก้ปัญหาโดยการให้มหาวิทยาลัย โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ทำการวิจัย ผลการวิจัยได้คำตอบว่า สามารถใช้กระดาษฟอยล์ห่อกะปิแทนได้ และมีสารอาหารอะไรบ้าง ชาวบ้านก็เขียนสารอาหารใส่กระดาษ ปิดที่บรรจุภัณฑ์ของตนเอง นอกจากนี้ผลการวิจัยนี้ยังประสบความสำเร็จ เนื่องจากผลิตภัณฑ์กะปิที่หอด้วยกระดาษฟอยล์ สามารถตีตลาดต่างประเทศได้                 "จากนี้ไปแผนงานในอนาคต อพวช.จะเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างชุมชนกับนักวิจัย เพิ่มความเข้าใจให้เห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องสำคัญ รู้แล้วต้องนำไปใช้ เน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยผ่านเครื่องมือของ อพวช.3 อย่าง ได้แก่ 1.พิพิธภัณฑ์ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์วิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ จตุรัสวิทยาศาสตร์ (จตุรัสจามจุรี) และพิพิธภัณพ์รัชการที่ 9 2.กิจกรรม และ 3.สื่อโทรทัศน์วิทยาศาสตร์ วารสาร การตีพิมพ์งานวิจัย ผ่านกิจกรรม ที่นี่จัดขึ้นทั้งในสถานที่และนอกสถานที่"                 ในสถานที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโลก ในรูปแบบนิทรรศการถาวร พิเศษ และเคลื่อนที่ นิทรรศการถาวรมีทั้งหมด 6 ชั้น ชั้นที่ 1 ส่วนต้อนรับและแนะนำการเข้าชมนิทรรศการไฟฟ้า ชั้นที่ 2 ประวัติความเป็นมาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดินแดนวิทยาศาสตร์ ชั้นที่ 3 วิทยาศาสตร์พื้นฐานและพลังงาน ชั้นที่ 4 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ชั้นที่ 5 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน และชั้นที่ 6 เทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย รับรองว่ารู้ทันการเปลี่ยนแปลงแน่นอน กิจกรรมนอกสถานที่จะมีคาราวานวิทยาศาสตร์ สัปดาห์วิทยาศาสตร์ จัดอบรมครู เป็นต้น                 "ปีนี้พิเศษกว่าปีก่อนๆ ในส่วนของสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ซึ่งปกติ อพวช.จะจัดเพียง 2 อาทิตย์ แต่ในปี 2556 จะจัดเป็นเวลา 6 เดือนเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-31 ธันวาคม 2556 ภายใต้หัวข้องานเฉลิมพระเกียรติบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย รัชการที่ 4 ส่วนกิจกรรมจะมีอะไรบ้าง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมงาน ผู้สนใจเข้าชมพิพิธภัณพ์ในขณะนี้ นอกจากจะมีนิทรรศการถาวรแล้ว ยังมีนิทรรศการพิเศษคือ "ค้นหาประสาทสัมผัสทั้ง 7" “MOVE and PLAY : The 7 senses” จากประเทศฟินแลนด์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม เวลา 09.30-16.00 น."                 สนใจเข้าชมและเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ สอบถามได้ที่ โทร.0-2577-9999 ต่อ 1829,1830   ..............................................                "ผมไม่ได้คาดหวังว่าคนที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์แล้วเมื่อกลับออกไปต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ ขอเพียงให้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แก้ไขปัญหาก็พอ ความจริงอยากให้หมอ ครู นักการเมือง เดินเข้ามาที่พิพิธภัณฑ์ แล้วกลับออกไปนำกระบวนการวิทยาศาสตร์ไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล" ............................................. (อพวช.แหล่งเรียนรู้ของคนทุกเพศทุกวัย กลับออกไปแก้ปัญหาได้ด้วยเหตุผล : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) )

หมากกะโหล่งโปงลางของอาชีวะ

หมากกะโหล่งโปงลางของอาชีวะ
               "ผมอยากจะหากิจกรรมให้เด็กๆ ได้ทำ เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ จะได้ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือเกม ด้วยความชอบโปงลางมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อผมชอบผมก็จะทุ่มเทใจลงไปกับสิ่งนั้น ทำให้เกิดความคิดที่จะทำวงโปงลางขึ้นมา และพยายามให้เด็กมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเด็กเอง เพราะตอนนี้การที่เขาได้เข้ามาช่วยงานในวง การที่มาฝึกซ้อมทุกวันก็ทำให้เขาเกิดความรับผิดชอบที่ดี หันมาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น" อักษรศิลป์ แก้วมหาวงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ กล่าว                 ด้วยความที่อยากเห็นเด็กนักเรียนอาชีวะที่ใครหลายๆ คนมองว่าไม่สามารถเล่นดนตรีได้ เพราะเป็นเด็กที่เรียนมาทางสายช่างฝีมือไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายดนตรี เมื่อมีโอกาสได้ย้ายมาเป็น ผอ.ที่วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ ผอ.อักษรศิลป์ก็ก่อตั้งวงโปงลางขึ้นมาอีกครั้งภายใต้ชื่อ "หมากกะโหล่งโปงลาง" แม้วงโปงลางที่ จ.ศรีสะเกษ จะมีเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความชื่นชอบและรักที่จะทำบวกกับหน้าที่ของการเป็นครู จึงอยากที่จะหากิจกรรมให้เด็กๆได้ทำร่วมกัน โดยเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เด็กๆ ได้ห่างไกลจากอบายมุขทั้งปวง จึงซื้อเครื่องดนตรีโปงลางและว่าจ้างให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านโปงลางมาช่วยสอนวิธีการเล่นให้กับเด็กๆ                 "ช่วงแรก ผอ.ยอมรับว่ามีความยากลำบากในการที่จะดึงให้เด็กเข้ามาเล่นเครื่องดนตรีพื้นบ้าน เพราะเด็กบางคนยังเกิดความรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง จึงต้องนำเอาเครื่องดนตรีสากลเข้ามาเป็นส่วนร่วมบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกลิ่นอายของดนตรีพื้นบ้านไว้ให้มากที่สุด เมื่อเด็กเกิดความสนิทใจก็จะนำเครื่องดนตรีสากลออก เพราะเกรงว่ากลิ่นอายของดนตรีพื้นบ้านจะถูกกลืนหายไป และสนุกในที่สุด และค่อยๆเป็นวงอย่างสมบูรณ์" ผอ.อักษรศิลป์ กล่าว                 องค์ประกอบของวงหมากกะโหล่งโปงลาง มีเครื่องดนตรีที่ได้แก่ โปงลาง พิณ แคน กลองยาวอีสาน รำมะนา ฉิ่ง ฉาบ หมากกะโหล่ง หรือกั๊บแก๊บ ไหซอง สองอย่างหลังนี้จะมีไว้เพื่อเป็นตัวชูโรง แต่ความจริงจะมีหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นองค์ประกอบหลักๆของวงโปงลางทั่วไปอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากจะมีเพียงแค่นาฏศิลป์ก็จะทำให้เกิดความซ้ำซาก จำเจ คนดูก็จะรู้สึกเบื่อได้ง่าย จึงพัฒนาให้วงโปงลางที่นอกจากจะมีเพียงแค่ดนตรี ยังมีในส่วนของแดนเซอร์ นักร้องขึ้นมาเพิ่มเติม ลักษณะคล้ายกับวงโปงลางชื่อดังอย่าง โปงลางสะออน รวมทั้งยังมีการเพิ่มเติมในส่วนของตัวตลกขึ้นมาเพื่อให้เกิดความหลากหลายและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น                 สมทบ ทรัพย์ศาสตร์ นักเรียนชั้น ปวช.ปีที่ 2 แผนกช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ ตัวแทนสมาชิกจากวงหมากกะโหล่งโปงลาง เล่าถึงเหตุผลในการเข้าร่วมกับวงโปงลาง เพราะความชื่นชอบ และถือเป็นกิจกรรมที่ดีที่จะได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ จะได้ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อมีเวลาว่างจากการเรียนก็จะมาซ้อมโปงลางกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่ในวงเสมอ ขณะนี้เข้าร่วมได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ทำให้พ่อแม่รู้สึกดีใจและสบายใจที่เราหันมาใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์                 หลายๆ ครั้งเราจะเห็นวงโปงลาง วงนาฏศิลป์ส่วนใหญ่จะมาจากนักเรียนที่เรียนทางด้านสายสามัญศึกษา แต่ทางสายอาชีวะจะพบน้อยมาก ความจริงแล้วก่อนที่จะมาเป็นเด็กอาชีวะทุกคนจะต้องผ่านการเรียนการสอนในสายสามัญมาก่อน และหลายๆ คนก็มีพื้นฐานในด้านการเล่นดนตรีพื้นบ้านมาบ้างไม่มากก็น้อย เพียงแต่ขาดการต่อยอด ทำให้เขาหลงลืมและขาดโอกาสที่จะได้แสดงออกในส่วนนี้ไป สนใจ วงหมากกะโหล่งโปงลาง วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ สอบถามได้ที่ 08-3966-9358   ................................................ ('หมากกะโหล่งโปงลาง'อาชีวะบนเส้นทางเสียงเพลง : โดย...นิรมล สถานเมือง)  

สธ.รุกผลิตวัคซีน 4 โรคในเข็มเดียว

สธ.รุกผลิตวัคซีน 4 โรคในเข็มเดียว
สธ.รุกผลิตวัคซีน 4 โรคในเข็มเดียวครั้งแรกในประเทศไทย  แจงใช้พัฒนากว่า 8-10 ปี งบลงทุนกว่า 700 ล. คาดช่วยประหยัดเงินซื้อวัคซีนเกือบ 2พันล้าน...นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยองค์การเภสัชกรรม บริษัทองค์การเภสัชกรรมเมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ได้ลงนามความร่วมมือกับบริษัทซาโนฟีปาสเตอร์ ประเทศฝรั่งเศส ในโครงการผลิตวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี ในประเทศไทย โดยในการลงนามดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และนายฌอง-มาร์ค เอโรต์ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการพัฒนาการผลิตวัคซีนป้องกันโรคในเด็กแรกเกิดขององค์การเภสัชกรรมให้มีรูปแบบทันสมัย ครอบคลุมการได้รับภูมิคุ้มกันโรคเด็กไทย โดยจะพัฒนาและผลิตวัคซีนรวม 4 โรคดังกล่าว ในประเทศไทยครั้งแรก เพื่อฉีดให้แก่เด็กแรกเกิดของไทยทุกคน ซึ่งบริษัทซาโนฟีฯจะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนดังกล่าวให้กับองค์การเภสัชกรรม และบริษัทองค์การเภสัชกรรมฯ จนผลิตวัคซีนรวมสำเร็จและจะลงทุนสร้างโรงงานผลิตวัคซีนตับอักเสบบีให้แก่องค์การเภสัชกรรมด้วย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ใช้เวลา 8-10 ปี ใช้งบประมาณลงทุน 700 ล้านบาทนพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว สธ.จะซื้อวัคซีนจากบริษัทองค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนขององค์การเภสัชกรรม ในราคาตลาดที่ถูกลงเป็นกรณีพิเศษ และคาดว่าจะประหยัดงบประมาณในการจัดหาวัคซีนได้เกือบ 2,000 ล้านบาท.

#EANF#

#EANF#
#EANF#

#EANF#

#EANF#
#EANF#

Thursday, February 7, 2013

เมืองใหญ่ใช้พลังงานกันอย่างฟุ่มเฟือย สร้างความเดือดร้อนให้กับเมืองอยู่ไกลๆ

เมืองใหญ่ใช้พลังงานกันอย่างฟุ่มเฟือย สร้างความเดือดร้อนให้กับเมืองอยู่ไกลๆ
นักวิทยาศาสตร์แจ้งว่า เมืองใหญ่ที่ใช้พลังงานหมดเปลืองเป็นจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนให้กับเมืองอื่นที่อยู่ห่างไกลกันตั้งพันกว่า กม.ได้ โดยทำให้สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนไปวารสาร “การแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศธรรมชาติ” ของสหรัฐฯ รายงานว่า ได้มีการค้นพบว่า เมืองใหญ่ๆที่ใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย ได้สร้างความกระทบกระเทือนให้กับดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไป เกินพันกว่ากิโลเมตรพลอยเดือดร้อนไปด้วย อย่างเช่น ทำให้บางส่วนของดินแดนอเมริกาเหนือ อุณหภูมิสูงขึ้น 0.6 องศาเซลเซียส และภาคเหนือของทวีปเอเชีย สูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส แต่ในทางกลับกัน กลับทำให้อากาศของทวีปยุโรปเย็นลงในจำนวนไล่ๆกันพลังงานฟุ่มเฟือยที่ถูกระบายทิ้งออกไป บันดาลให้ การไหลเวียนของบรรยากาศ ตั้งแต่กระแสลมบน อันเป็นกระแสลมแรงที่พัดจากตะวันตกไปยังตะวันออก และจากเหนือลงใต้ประจำอันรุนแรงของบรรยากาศชั้นบนแปรปรวนไป.

กินอาหารทอดกรอบเฉียดมะเร็งลูกหมาก ของหุงต้มด้วยความร้อนจัดเกิดสารก่อโรค

กินอาหารทอดกรอบเฉียดมะเร็งลูกหมาก ของหุงต้มด้วยความร้อนจัดเกิดสารก่อโรค
ศูนย์วิจัยการแพทย์เฟรด ฮัตชินสันที่สหรัฐฯ ศึกษาพบว่า การกินอาหารทอดกรอบ อย่างเช่น มันฝรั่งทอด ไก่ทอดและโดนัท จะทำให้เฉียดใกล้โรคมะเร็งของต่อมลูกหมากเข้าไปมากขึ้นนักวิจัยของศูนย์ได้เปิดเผยผลการศึกษาทางออนไลน์ หลังจากที่มีการศึกษาพบว่า การกินอาหารที่หุงต้มด้วยความร้อนสูง เช่น เนื้อย่าง ทำให้ล่อแหลมกับโรคยิ่งขึ้น แต่ผลการศึกษาครั้งใหม่นี้ เท่ากับได้เพิ่มอาหารพวกทอดกรอบเข้าไปอีกอย่างหนึ่งด้วยรายงานกล่าวว่า หากกินบ่อยเกินกว่าอาทิตย์ละหนึ่งหน ความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นอย่างเจาะจง ยิ่งกว่าผู้ที่กินแค่เดือนละหน โดยจะเพิ่มสูงขึ้นระหว่างร้อยละ 30-37มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดของอเมริกา เคยศึกษาพบสาเหตุของการกินอาหารทอดกรอบ ทำให้เสี่ยงกับโรคมะเร็งว่า เป็นเพราะเมื่อทอดอาหารด้วยความร้อนสูง ทำให้เกิดสารประกอบที่อาจก่อมะเร็งขึ้นในอาหารได้ และยิ่งถ้าหากเอาน้ำมันเก่าที่ใช้แล้วไปทอดต่อๆไปอีก ก็จะยิ่งทำให้เกิดสารประกอบก่อมะเร็งเพิ่มมากขึ้น.

เผยคนไทยติดกินหวาน- ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ

เผยคนไทยติดกินหวาน- ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ
เอแบคโพลล์ เผยคนไทยติดกินหวาน ดื่มน้ำอัดลมเกือบทุกวัน บางคนมากกว่า 1 ขวดต่อวัน แถมพ่วงด้วยขนมขบเคี้ยว ไม่กลัวโรครุมเร้า พบหากมีการปรับขึ้นราคาเครื่องดื่ม มีผลทำให้การซื้อลดลง หนุนมาตรการโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม...เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2556 เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานพบว่า คนไทยรับประทานน้ำตาลสูง กลุ่มเด็กและวัยรุ่นนิยมดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ แม้จะมีความรู้ว่าการกินหวานมากเกินไปนั้นทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ อาทิ โรคอ้วน ฟันผุ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง จึงร่วมกับ เอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ทำการสำรวจเด็กวัยเรียน และหนุ่มสาววัยทำงาน ในกรุงเทพมหานคร และ 4 จังหวัดหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และสงขลา รวมทั้งสิ้น 2,238 ตัวอย่าง โดยพบว่า ตัวอย่าง 2 ใน 3 ยังไม่ลดหรือควบคุมการกินหวาน เกือบ 1 ใน 4 ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำทุกวัน/เกือบทุกวัน บางรายยังดื่มมากกว่า 1 ขวด/กระป๋องต่อวัน และคนที่ดื่มน้ำอัดลมเกือบครึ่งหนึ่ง มักทานขนมขบเคี้ยวกรุบกรอบควบคู่ไปด้วยทุกครั้งหรือที่มีโอกาส เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลงจนถึงระดับหวานน้อย พบว่าไม่มีผลทำให้กลุ่มตัวอย่างดื่มเครื่องดื่มลดลง แต่เมื่อสอบถามถึงการขึ้นราคา พบว่าหากปรับขึ้นราคาน้ำอัดลม ชา กาแฟ จะมีผลต่อการตัดสินใจลดหรือเลิกดื่ม ยิ่งปรับราคามากขึ้น ยิ่งมีผลต่อการตัดสินใจลด หรือเลิกมากขึ้นตามลำดับ มาตรการด้านภาษีจึงอาจส่งผลต่อการควบคุมเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ส่วนด้านความคิดเห็นต่อมาตรการการห้ามจำหน่ายน้ำอัดลมในสถานศึกษา พบว่าตัวอย่างส่วนใหญ่สนับสนุนมาตรการดังกล่าวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการห้ามจำหน่ายในโรงเรียนอนุบาล ประถม และมัธยม  ด้าน ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้เพื่อสนับสนุนมาตรการโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสหวานในสถานศึกษา ตามที่กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดเป็นนโยบาย ส่วนมาตรการด้านภาษีและราคา แม้การศึกษานี้จะสอดคล้องกับการศึกษาในต่างประเทศ ที่พบว่าเป็นมาตรการที่ช่วยลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงได้ หากแต่ในทางปฏิบัติยังคงต้องมีการประเมินความเป็นไปได้ในการดำเนินการในแง่มุมอื่นๆ เพิ่มเติม

Wednesday, February 6, 2013

กำชับสถานศึกษาคุมเข้ม ห่วง นร.ถูกหลอกเดินยา

กำชับสถานศึกษาคุมเข้ม ห่วง นร.ถูกหลอกเดินยา
ผู้ตรวจศธ.กำชับสถานศึกษาคุมเข้ม ห่วงนักเรียนถูกหลอกเป็นเด็กเดินยา แฉผู้ค้าปรับกลยุทธ์หันหากลุ่ม นร.โต ...นายบัณฑิต ศรีพุทธางกูร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในส่วนของผู้ตรวจราชการ ศธ.มอบหมายให้นายกมล สุบรรณ ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็นผู้รับผิดชอบดูแลโดยตรง โดยพยายามให้ผู้บริหารสถานศึกษา และครู อาจารย์ในโรงเรียนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ทั้งนี้ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. ได้มอบเป็นนโยบายว่า จะต้องสร้างความอบอุ่นให้กับเด็กนักเรียน เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าครู อาจารย์ คือ พ่อแม่คนที่ 2 ที่สามารถเข้ามาปรึกษาหารือได้ทุกเรื่อง หากเด็กมีความอบอุ่นก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งยั่วยุเหล่านั้นหัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ.กล่าวอีกว่า เท่าที่ได้ลงพื้นที่ และได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน ทำให้รู้ว่าเด็กนักเรียนในแต่ละพื้นที่จะมีความเสี่ยงในเรื่องของยาเสพติดแตกต่างกัน บางพื้นที่ เช่น แหล่งชุมชนขนาดใหญ่ที่มีผู้คนมากหน้าหลายตาจากต่างถิ่นมาทำงานและอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากตามนิคมอุตสาหกรรม จะพบว่าเด็กมีความเสี่ยงสูง หรืออยู่ในโซนที่ต้องเฝ้าระวังสูงก็จะมีการกำชับผู้บริหาร และครู อาจารย์ดูแลเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันที่ผ่านมาจากข้อมูลที่รู้มาว่ากลุ่มผู้ค้าพยายามจะเจาะเข้ามาหาลูกค้าในกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษา แต่พอเรารู้และป้องกันได้ค่อนข้างดี เขาก็จะถอยออกจากกลุ่มนี้ไปและใช้ความพยายามที่จะไปเจาะกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาซึ่งเป็นเด็กโตแทน โดยสิ่งที่เราพยายามสกัดกั้นเต็มที่ก็คือขณะนี้กลุ่มผู้ค้าพยายามใช้ หรือหลอกนักเรียนกลุ่มนี้เข้าไปเป็นเด็กเดินยาเพื่อจำหน่ายยาให้กับเพื่อนๆในสถานศึกษา ซึ่งการปรับรูปแบบของ กลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีกับเด็กและเยาวชนเหล่านี้ ทำให้ทางผู้ตรวจราชการ ศธ.ต้องประชุมและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเป็นระยะ เพื่อปรับกลยุทธ์ในการเฝ้าระวัง และติดตามดูแลเด็กนักเรียนของเราอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน.

ช่วยหนูเส้นเลือดสมองแตกกลับฟ้ืนคืนดีใช้เซลล์ต้นกำเนิดรีบอัดเสริมเข้าไปทันที

ช่วยหนูเส้นเลือดสมองแตกกลับฟ้ืนคืนดีใช้เซลล์ต้นกำเนิดรีบอัดเสริมเข้าไปทันที
วารสารการแพทย์ “งานวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดและการบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิด” ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การรักษาหนูที่หลอดเลือดสมองแตก ด้วยเซลล์ต้นกำเนิดในช่วงของความเป็นความตายนั้น จะช่วยให้ฟื้นตัวหายอย่างรวดเร็วทีมนักวิทยาศาสตร์ของโบลิเวียได้รักษาหนู ด้วยการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดให้ ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงกว่าเล็กน้อย ปรากฏว่าสมองสามารถฟื้นตัวกลับทำงานได้อย่างปกติ ภายในเวลา 2 อาทิตย์เท่านั้น และยังหวังว่า จะนำวิธีนี้ไปทดลองทำกับมนุษย์ได้สำเร็จ ตามวิธีการรักษาในปัจจุบัน หมอจะให้ยาละลายลิ่มเลือด ในช่วงเวลาคับขันนั้นรายงานกล่าวว่า ผลการทดลองครั้งนี้ เป็นการช่วยยืนยันผลการค้นพบมาก่อนว่า อาจใช้เซลล์ต้นกำเนิดรักษาคนไข้หลอดเลือดสมองแตก เพื่อเพิ่มพูนสมรรถภาพของร่างกายในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหายได้เซลล์ต้นกำเนิด นับเป็นแม่เซลล์ สามารถสร้างเป็นเซลล์ชนิดต่างๆได้ ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว จะสามารถใช้แทนเซลล์ที่เสียหายเพราะโรคหรือการบาดเจ็บได้.

โทษรถเก๋งเป็นตัวการทำให้คนอ้วนยิ่งกว่านั่งรถเมล์-ขี่จักรยานทำงาน

โทษรถเก๋งเป็นตัวการทำให้คนอ้วนยิ่งกว่านั่งรถเมล์-ขี่จักรยานทำงาน
หมอผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและเบาหวาน โทษรถยนต์เป็นตัวการทำให้คนเราอ้วน เพราะขับรถเก๋งไปทำงาน ทำให้อ้วนมากกว่าผู้ที่นั่งรถไฟฟ้า รถเมล์และขี่จักรยานหมอทากามิ สุกิยามา แห่งสถาบันโรคหัวใจและเบาหวานออสเตรเลีย กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ถึงจะออกกำลังอย่างหนักหน่วงเมื่อยามว่างก็ตาม การขับรถไปทำงานทุกวัน จะทำให้อ้วนขึ้นได้”เขากับคณะได้พบในการศึกษากับผู้ใหญ่ 822 คนว่า “ผู้ที่ขับรถไปทำงาน แม้ว่าจะออกกำลังอาทิตย์ละอย่างต่ำ 2 ชม.ครึ่ง ก็ยังอ้วน ชั่วเวลา 4 ปี จะอ้วนขึ้นอีกเฉลี่ยแล้วคนละ 4 ปอนด์ ในช่วงเวลานานๆ แม้จะพยายามออกกำลังสักเท่าไร ก็ยังไม่อาจป้องกันผู้ที่ขับรถไปทำงานอ้วนขึ้นได้อยู่ดี”.

17มิ.ย.ยาเสียสาวห้ามขายในร้านยา

17มิ.ย.ยาเสียสาวห้ามขายในร้านยา
                6 ก.พ.56 นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ( อย.)ได้มีการแก้ไขกฎหมายโดยออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 2 ฉบับ คือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 มีสาระสำคัญคือ การยกระดับการควบคุมอัลปราโซแลม (Alprazolam) เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งห้ามผลิต ขาย นำเข้า ส่งออก ยกเว้นกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้ได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุข หากฝ่าฝืน มีโทษจำคุก 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 - 400,000 บาท สำหรับการมีไว้ ในครอบครองจะต้องขอรับ “ใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์” ด้วยและประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดชื่อและปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันชั้นหนึ่งในสาขาทันตกรรม (ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม) หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่ง (ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง) มีไว้ในครอบครองได้โดยไม่ต้องขออนุญาต พ.ศ. 2555 มีสาระสำคัญคือ เป็นประกาศที่ตัดรายการอัลปราโซแลมออก ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพทุกรายต้องขอรับใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ จึงจะมีอัลปราโซแลม ไว้ในครอบครองได้ โดยประกาศทั้ง 2 ฉบับนี้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 129 ตอนพิเศษ 191 ง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2555 จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป                " ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป ร้านขายยาไม่สามารถมีและขายอัลปราโซแลม ให้กับผู้บริโภคได้อีกต่อไป จึงขอให้ส่งยาที่คงเหลืออยู่คืนให้แก่บริษัทผู้ผลิตหรือผู้ขายทั้งหมด หากพ้นกำหนดจะมีโทษตามกฎหมาย สำหรับโรงพยาบาลรัฐในสังกัดกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งสภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาล บ้านแพ้ว (องค์กรมหาชน) กรุงเทพมหานครเฉพาะสำนักการแพทย์และสำนักอนามัย ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องขอใบอนุญาตครอบครองฯ ส่วนโรงพยาบาลของรัฐสังกัดหน่วยราชการอื่น เช่น องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ที่ไม่มีใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองฯ หากไม่ประสงค์จะครอบครองยา ให้ส่งคืนยาแก่ผู้ผลิตหรือผู้ขายก่อนวันที่ 17 มิถุนายน 2556 ด้วยเช่นกัน แต่หากประสงค์ จะมีไว้ในครอบครองต้อง ขออนุญาต โดยหากตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ให้ยื่นคำขอที่กองควบคุมวัตถุเสพติด อย. ที่อยู่ในเขตปริมณฑล และส่วนภูมิภาค ให้ยื่นคำขอที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยผู้มีไว้ในครอบครอง ฯ ทุกราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาต หรือผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องขอใบอนุญาต จะต้องจัดทำบัญชีรับ-จ่ายวัตถุออกฤทธิ์ และรายงานทั้งรายเดือนและรายปี ส่ง อย. ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด ในส่วนประชาชนผู้บริโภคนั้นสามารถมียาดังกล่าวไว้ในครอบครองได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใดๆ เพียงแต่ต้องเป็นไปตามที่ผู้ประกอบวิชาชีพสั่งจ่ายให้เฉพาะตนเองเพื่อการบำบัดรักษาเท่านั้น"นพ.บุญชัย กล่าว                นพ.บุญชัย กล่าวต่อว่า เดิมอัลปราโซแลม จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ตาม พรบ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 เป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ทางการแพทย์และมีการใช้อย่างแพร่หลาย มีข้อบ่งใช้ที่ได้รับการยอมรับและเป็นไปตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้คือ บรรเทาหรือรักษาอาการวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนก ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีชื่อทางการค้าซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ซาแน็กซ์ โซแลม มาโน เป็นต้น แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน พบข้อมูลการนำไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า มีการนำยานี้ ไปเสพร่วมกับยาน้ำแก้ไอ น้ำใบกระท่อมต้ม หรือที่รู้จักกันในหมู่นักเสพว่า                “สี่คูณร้อย” นอกจากนี้ ยังมีการนำไปใช้ก่ออาชญากรรม ในรูปแบบของการมอมยารูดทรัพย์หรือล่วงละเมิดทางเพศนักท่องเที่ยว ตามสถานเริงรมย์ต่างๆ ซึ่งในบางรายถึงกับเสียชีวิต ขณะเดียวกันก็มีคดีการจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวกับยาตัวนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น จึงต้องมีการยกระดับดังกล่าว   .................................... (หมายเหตุ : ภาพจากแฟ้มข่าว)    

วิกฤติการณ์ความขัดแย้งของอสช.

วิกฤติการณ์ความขัดแย้งของอสช.
               7 โมงเช้า วันที่ 6 กุมภาพันธ์ โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม จะจัดงาน White Wednesday "Walk Together" พี่ น้องอัสสัมชัญ เราจะก้าวไปด้วยกัน ณ โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม โดยจะมีพิธีทำบุญตักบาตร (พระสงฆ์ประมาณ 30 รูป) / พิธีมิสซา ผู้ที่จะมาร่วมงานวันนั้น นอกจากผู้ปกครอง นักเรียน และศิษย์เก่าแล้ว ยังจะมี วัลลภ เจียรวนนท์ นายกสมาคมอัสสัมชัญ รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน นายกสมาคมครูและผู้ปกครองโรงเรียนอัสสัมชัญ รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย                พร้อมด้วย พล.อ.อ.กัณฑ์ พิมานทิพย์ อัสสัมชนิกอาวุโส อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ที่จะมาร่วมกันมอบดอกไม้แด่  ภราดาสุรสิทธิ์ สุขชัย รักษาการแทนผู้อำนวยการโรงเรียน หลังจาก ภราดาอานันท์ ปรีชาวุฒิ ยุติบทบาทการบริหารในตำแหน่งผู้อำนวยการ จากเหตุการณ์ที่สั่งปิดโรงเรียนเมื่อวันศุกร์ที่ 25 มกราคม เพื่อให้กำลังใจ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่บุคลากร รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนอัสสัมชัญ ว่า หลังจากนี้พวกเขาจะเดินไปข้างหน้า เพื่อพัฒนาอัสสัมชัญให้เป็นสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพดังเดิม                ว่ากันว่า สถาบันนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงเรียนชั้นแนวหน้าของประเทศ จากการที่มีศิษย์เก่าหลายๆ ท่านเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมไทยมากมาย เพราะโรงเรียนอัสสัมชัญ (หรือบางครั้งเรียกว่า "อัสสัมชัญบางรัก" หรือ "อัสสัมชัญกรุงเทพ" อักษรย่อ อสช, AC) เป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วนขนาดใหญ่ แบ่งเป็นแผนกประถม ตั้งอยู่ในซอยเซนต์หลุยส์ 3 ถนนสาทรใต้ และแผนกมัธยม ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 40 (ซอยบูรพา) ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก ก่อตั้งโดยโดยบาทหลวงเอมิล กอลมเบต์ ปัจจุบันมีอายุ 127 ปี                ทว่ากระแสการควบรวม 2 โรงเรียนเข้าด้วยเป็นที่มาของข่าวการแต่งดำของครูจำนวนหนึ่งมาแล้ว ต่อเนื่องด้วยการประกาศปิดโรงเรียนในวันที่ 25 มกราคม 2556 โดยผู้อำนวยการ ภราดาอานันท์ เป็นคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร และไม่ชอบธรรมตามหลักกฎหมาย คณะครูโรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม และครูโรงเรียนอัสสัมชัญ จึงได้ร่วมกันเรียกร้องในการแถลงการณ์ให้ทำการเปิดโรงเรียนในวันที่ 28 มกราคม 2556 เพราะหากมีการเปิดเรียนตามประกาศอาจส่งผลกระทบต่อเด็กนักเรียนได้ โดยเฉพาะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งจะมีการทดสอบโอเน็ต, เอเน็ต                เหตุการณ์ดังกล่าวเครือข่ายครูและศิษย์เก่ากู้วิกฤติอัสสัมชัญ ซึ่งเป็นการรวมตัวของคณะครูโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม คณะครูโรงเรียนอัสสัมชัญ และศิษย์เก่าในนามกู้อัสสัมชัญ ที่มีจุดหมายร่วมกันคือ ต้องการให้โรงเรียนอัสสัมชัญมีผู้บริหารที่ดี มีจริยธรรม คณะครูมีขวัญกำลังใจและได้รับเงินเดือนและสวัสดิการที่เหมาะสม มีระบบธรรมาภิบาลที่คอยกำกับดูแลและมีทรัพยากรที่เพียงพอในการพัฒนานักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ                เพราะจากวิกฤติการณ์ต่างๆ ทำให้เครือข่ายครูและศิษย์เก่ากู้วิกฤติอัสสัมชัญมีข้อเรียกร้องเพื่อยุติวิกฤติการณ์และทำให้โรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม กลับมาเป็นโรงเรียนชั้นนำอีกครั้ง ด้วยกัน 6 ข้อ 1.ภราดาอานันท์ ปรีชาวุฒิ ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ ยุติบทบาทการบริหารโดยทันที 2.แต่งตั้งภราดาสุรสิทธิ์ สุขชัย ที่เคยเป็นอธิการ มารักษาการแทนตำแหน่ง ผอ.และอธิการทันที 3.ให้คณะกรรมการบริหารทั้ง 2 โรงเรียนพ้นจากหน้าที่ 4.ให้คืนงบประมาณที่โรงเรียนนำไปสร้างโครงการพระราม 2 คืนให้โรงเรียนอัสสัมชัญ 5.ให้ยุติและถอนเรื่องการควบรวมโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถมทันที 6.ให้โรงเรียนปฏิบัติตามคำสั่งของมูลนิธิเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ในเรื่องของการปรับเงินเดือนครูและคืนสวัสดิการให้ครูและบุคลากร                ซึ่งจากการเรียกร้องของเครือข่ายเป็นผลให้ ภราดาอานันท์ ยุติบทบาทในการบริหารงานโรงเรียน และแต่งตั้งภราดาสุรสิทธิ์ รักษาการแทนตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน แทน ล่าสุด ผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ ประธานที่ปรึกษาเครือข่ายพ่อแม่-เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ได้ยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ตรวจสอบการใช้เงินบริจาคที่ผิดวัตถุประสงค์ของมูลนิธิเซนต์คาเบรียล โดยขอให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตรวจสอบบัญชีเงินฝากของมูลนิธิ และเส้นทางการเงินของมูลนิธิและที่มาของเงินฝากของคณะประธานและกรรมการมูลนิธิทุกคน รวมทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนในเครือของมูลนิธิทั้งหมด เท่าที่ติดตามการบริหารงานของมูลนิธิเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนในเครือมูลนิธิ พบว่ามีการดำเนินการจัดการศึกษาที่ผิดไปจากวัตถุประสงค์                คงต้องดูกันต่อไปว่า การเปลี่ยนผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญ จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย จะยุติวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ อีกไม่นานคงรู้กัน   ...................................... (วิกฤติการณ์ความขัดแย้ง บนเส้นทางและบทสรุปอสช! : โดย...พลอยรุ้ง อุ่นวิเศษ มรภ.จันทรเกษม)

เดินเท้าเขาหลวง สู่เมืองหลวงต้านยา

เดินเท้าเขาหลวง สู่เมืองหลวงต้านยา
               วันที่ 9 ก.พ.นี้ คณะเดินเท้าจาก “เขาหลวงถึงกรุงเทพฯเมืองหลวง” ระยะทาง 800 กิโลเมตร นำโดยเฉลิม  กาญจนพิทักษ์  วัย 51 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านเก้ากอ หมู่ 1 ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช และชาวบ้านกว่า 40 ชีวิต จะถึงเป้าหมายทำเนียบรัฐบาล พวกเขามีตั้งใจว่า จะขอเข้าพบ "ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอข้อมูลปัญหายาเสพติดและ เรียกร้องให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญ เพิ่มมาตรการเอาจริงกับการแก้ปัญหา ยาเสพติด ในทุกมิติอย่างจริงจังต่อเนื่อง เป็นสร้างเครือข่ายต่อต้านยาเสพติดทั่วประเทศทั้งในเชิงปริมาณ และคุณภาพ เพื่อขจัดสิ้นยาเสพติดให้หมดไปจากแผ่นดินไทย                ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม ผู้ใหญ่เฉลิม และชาวบ้าน กว่า 40 ชีวิต ตัวแทนชาวบ้านตำบลทอนหงส์ทั้ง 9 หมู่บ้าน ประกอบด้วยทั้ง เด็ก ผู้หญิง คนแก่ พระ และ คนพิการ อายุน้อยสุดเป็นเด็กหญิงวัย 8 ขวบ อาวุโสสุดอายุ 75 ปี พวกเขาออกเดินทางหมู่บ้านเก้ากอ หมู่ 1 ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช  ฝ่าความร้อน ความหนาว ผ่าน 9 จังหวัด นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร  ประจวบคีรีขันธ์  เพชรบุรี  ราชบุรี   สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร  บอกเล่าเรื่องราวปัญหายาเสพติด รูปแบบ วิธีการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด                ผู้ใหญ่เฉลิมเป็น 1 ใน 22 ที่ได้รับรางวัล “ข้าราชการไทยใจสีขาว” ที่มีความพยายามแก้ไข ปัญหายาเสพติด หรือการต่อสู้กับปัญหายาเสพติด ประกาศตนเป็นศัตรู กับผู้ค้า และผู้เสพยาเสพติดมาตลอดเวลา  15 ปี ริเริ่ม “หมู่บ้านประชาธิปไตย ต้านภัยยาเสพติด”ให้ทุกคนในสังคม ประเทศชาติ หันมาให้ความสำคัญและร่วมต่อสู้เอาชนะปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทุกจังหวัดที่เดินเท่าผ่าน ผู้ใหญ่เฉลิม จะล้อมวงคุยกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และเยาวชน ในแต่ละพื้นที่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวปัญหายาเสพติด รูปแบบ วิธีการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดที่เขาเคยทำที่หมู่บ้าน                ด้วยความหวังว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างที่ดีเพื่อลูกหลานเยาวชนของพวกเขา เพราะ 80 เปอร์เซ็นต์ของลูกหลานเวลานี้ ติดยา และกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 90 เปอร์เซ็นแล้ว ความเหนื่อยยากในครั้งนี้ ไม่ได้มากมายอะไร ถ้าเทียบกับ 'ผล' ที่หวังว่าจะได้ นั่นคือ การได้ลูกหลานคืนมาสักจำนวนหนึ่ง และถ้าเกิดปาฏิหาริย์ หรือว่ามีอะไรดีๆ ก็น่าจะเกิดกระแสพลังชุมชน หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับสูงขึ้นไป นั่นคือ ทางภาครัฐได้มองเห็นปัญหายาเสพติดว่า ถึงจุดวิกฤติแล้วที่ต้องแก้ไขด้วยมิติใหม่ๆในการแก้ไขปัญหาขจัดยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย                ผู้ใหญ่เฉลิม บอกว่า ตลอดทางเจอพี่น้อง แลกเปลี่ยนปัญหากัน ระบายความในใจก็เป็นแรงส่งว่า ถ้าเผื่อเราทำได้ เผื่อภาครัฐทำจริงจัง อานิสงค์จะได้เผื่อแผ่ถึงเขาด้วย เพราะเขาเองก็สุดจะทนทานแล้ว ถ้ามีโอกาสเราอยากบอกทั้งประเทศว่า ลุกขึ้นมาๆ ลุกขึ้นมาจัดการทั้งพ่อค้ายาบ้า และข้าราชการที่เข้าด้วยช่วยเหลือกับพ่อค้ายาบ้า เราปล่อยไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเราแทบไม่มีลูกหลานเราเหลือ ทุกเวทีมีพี่น้องมาร่วมปรับทุกข์ บอกตรงกันว่า ปัญหาใหญ่คือ เราก็สูญเสียลูกหลานเหมือนกัน ถึงเวลาที่พี่น้องต้องรวมตัวต่อสู้เพื่อเอาลูกหลานของเรากลับมา                ทุกวันเหงื่อไหลโทรมกาย เท้าระบมเป็นแผลจากการเดินเกือบ แต่เมื่อถึงเวลาล้อมวงคุย ผู้ใหญ่เฉลิม บอกเล่าประสบการณ์การต้านยาเสพติดที่ผ่านมาให้แต่ละเครือข่ายฟังโดยไม่เหน็ดเหนื่อยบางอำเภอจัดคณะเยาวชนร่วมเดิน บางเทศบาลมีนายกเทศมนตรีออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งหนึ่งรถยนต์ขนเสบียงที่เสียกลางทาง ก็มีผู้ใหญ่ใจดีที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ สละรถให้ใช้จนกว่าเสร็จสิ้นภารกิจค่อยนำกลับมาคืน รวมถึงคุณป้าคุณย่าคุณยายทั้งหลาย ก็ควักเงินให้เพื่อให้นำไปซื้อน้ำอาหาร ทำให้คณะเดินเท้ามีกำลังใจขึ้นมาก                "เจี้ยบ-ประภาพร  ปิยะพิสุทธิศักดิ์"  อดีตบัณฑิตม.รามคำแหง วัย 41ปี แม่เลี้ยงเดี่ยวลูก 3 ทิ้งรายได้ขายไก่ทอดวันละ 20 กิโลและข้าวเหนียววันละ 10 กิโลพาลูกชาย อัจฉพัฒน์ วัย 14  อัจฉรียา วัย 11 อัจฉราพร วัย 8 ปี ร่วมเดินเท้าในครั้งนี้อย่างไม่กังวลกับการเรียนของเด็กๆนัก เพราะการเรียนแบบโฮมสคูลนั้นเน้นการเรียนรู้ตามความต้องการของผู้เรียนและเน้นทักษะชีวิต ให้เป็นคนดีของสังคม และเลี้ยงตัวเองได้ ที่สำคัญต้องการสร้างสังคมที่ปลอดยาเสพติดให้กับลูกๆในอนาคต เพราะทุกวันนี้เยาวชนกว่า 80% ติดยาหากว่าการเดินเท้าขจัดยาเสพติดครั้งนี้ได้ผล หลายครอบครัวคงได้ลูกหลานกลับมาสู่ชายคารั้วบ้านอีกครั้ง                ขณะที่ "ลุงนับ  สพานทอง" วัย 75 ปี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินแม้แต่น้อย เพราะเป็นนักวิ่งมาราทอน ได้เหรียญรางวัลมาหลายเวที ประกอบกับเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน ชอบช่วยงานสังคมอยู่แล้ว และเห็นภัยของเยาวชนที่ติดยามานักต่อนัก จึงไม่ลังเลที่จะร่วมขบวนการเดินเท้าขจัดยาเสพติดในครั้งนี้                ส่วน "โสภณ  มีมาก" วัย  52ปี ทั้งๆที่ร่างกายไม่สมบูรณ์เพราะประสบอุบัติเหตุ แต่หาได้เป็นภาระในการเดินเท้าครั้งนี้ไม่ เพราะเห็นหลานๆติดยาแล้วเสียอนาคต อยากให้นายกรัฐมนตรีช่วยขจัดยาเสพติดให้หมดไปจากแผ่นดิน แม้ร่างกายไม่เป็นใจ ทว่า "โสภณ" หาได้ยอมแพ้ ผู้ใหญ่บ้านหัวใจสิงห์อย่าง พษิน บุบผัน วัย 50 สมบัติ สุวรรณคต วัย  58 และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอย่าง จด ใจห้าว วัย 62  และ ภูเมฆ ลักษณะปิยะ วัย 36 อย่างใดไม่                "เห็นหลานๆ เยาวชน ในหมู่บ้าน ติดยา แล้วทนไม่ไหว เอาด้วย ไม่เป็นไร ร่างกายไม่เต็มร้อย แต่ใจเราสู้ไม่ถอย เอาด้วยกัน อยากเจอนายกรัฐมนตรี อยากบอกว่า ยาเสพติดมันเป็นภัยมหันต์อย่างไร อยากให้รัฐบาลมาช่วยแก้เรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ก่อนที่เราจะสูญเสียลูกหลานให้กับยาเสพติดไปทั้งประเทศ" โสภณ กล่าว                 ผู้ใหญ่เฉลิม อธิบายว่า "เราเหมือนหัวเมืองเล็กๆ ที่รักษาเมืองอยู่แต่หัวเมืองเดียว ไม่มีการช่วยเหลือจากเมืองหลวง ไม่มีการให้ปืนใหญ่ เสบียง หรือกำลังพลเพิ่มเติม เราต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว และในที่สุดเราก็ต้องเดินเท้าสู่เมืองหลวง เพื่อขอการสนับสนุนจากเมืองหลวงว่า ถึงเวลาไปจัดตั้งให้หัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ไกลโพ้น หรือไม่ไกลเท่าไหร่ให้ลุกขึ้นสู้ มาจัดการตนเอง เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรของภาครัฐ และปลุกกระแสของชุมชนว่า มันต้องสู้แล้ว ณ วันนี้ ถ้าช้าไปอีกปีหนึ่ง เราคงไม่เหลือลูกหลานให้เราได้สู้แล้ว                ทั้งนี้ ปัญหายาเสพติดจำเป็นต้องให้ผู้นำประเทศเข้ามาแก้ไข อย่างเร่งด่วน สร้างความศรัทธาเชื่อมั่นให้กับข้าราชการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังในการแก้ไขอย่างเข้มงวด เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามแก้ไขการแพร่ระบาดของยาเสพติดเพียงใด ทว่าผู้ค้าก็จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ คิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อหา ช่องการทางหลบเลี่ยงมาตรการของรัฐอยู่ตลอดเวลา  ทำให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่รู้จักจบสิ้น                ที่สำคัญจากข้อมูลการจับกุม  10 คดี เมื่อปีที่แล้ว 5 คดี มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องและ 3 คดีเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยอีก 2 เป็นกระทรวงอื่นๆที่เหลือเป็นภาคเอกชนแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวกับการค้ายาครึ่งต่อหนึ่ง ที่คือสิ่งที่อันตรายมากที่นายกรัฐมนตรีต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน  พวกเราตั้งใจว่า อยากจะขอเข้าพบกับนายกรัฐมนตรี เพื่อบอกกล่าวปัญหายาเสพติดว่า ทุกจังหวัดที่ผ่านมาร้อยละ 80-90 เยาวชนลูกหลานเราติดยาเสพติดด้วยกันทั้งสิ้น แต่ถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะได้มีโอกาสเข้าพบนำเสนอข้อมูลหรือไม่ เพราะเท่าที่มีการประสานขอข้อเข้าพบยังไม่มีการตอบรับจากนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด                การเดินเท้าครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงรถยนต์ 3 คัน รถตำรวจนำทาง (สีแดง-ขาว) รถตู้ (ของตำรวจ) ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.พ.ได้ถูกรถสิบล้อเฉี่ยวชนเสียหายไปแล้ว และ รถกระบะขนเสบียง มีค่าใช้จ่ายแต่ละวันประมาณ 4 พันบาท "รวมค่าน้ำมันรถด้วยแล้วตกวันละหมื่นกว่าบาท อาศัยเงินสนับสนุน และเงินบริจาค จากบัญชีจึงพอไปได้ระดับ แต่เวลานี้บัญชี 'กองทุนต้านยาเสพติดบ้านเก้ากอ' (ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาศาลากลาง นครศรีธรรมราช บัญชีประเภทออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 389-0-10488-6) ยังต้องการแรงสนับสนุนงบประมาณอีกมาก                  ผู้ใหญ่เฉลิม บอกว่า ทำอย่างไรถึงจะช่วยบอกนายกให้พวกเขาได้เข้าพบเพื่อบอกเล่าเรื่องราวผ่านทาง มหันตภัยของยาเสพติด เพื่อนำเสนอให้ นายกรัฐมนตรี มีข้อมูลไปกำหนดแนวทางจัดการคนของมหาดไทยเพื่อเรียกศรัทธาของหน่วยงานรัฐคืนมา ปลุกเร้าพลังชาวบ้านให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับยาเสพติด ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้ความเด็ดขาดขึ้น ถ้าได้พบกับนายกฯ จะกลับไปตั้ง "เครือข่ายต้านยาเสพติดนครศรีธรรมราชให้เป็นรูปธรรมต่อไป                ได้แต่หวังว่าการเดินเท้าของชาวบ้านทั้งเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ที่ล้วนแต่มีประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำจากยาเสพติดทั้งสิ้นในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากรัฐบาล  

Tuesday, February 5, 2013

ขรก.แชมป์ใช้สิทธิระบบฉุกเฉิน 49%

ขรก.แชมป์ใช้สิทธิระบบฉุกเฉิน 49%
สธ.เผยประชาชนกว่า 40% ไม่เข้าใจสิทธิ์ระบบฉุกเฉินของ 3 กองทุน ขณะที่ ขรก.แชมป์ใช้สิทธิมากที่สุดกว่า  49%  แจงเบิกชดเชยไปแล้วกว่า 254 ลบ. นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการรายงานผลการดำเนินงานระบบบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของ 3 กองทุน พบว่า มีสิ่งที่น่าสนใจ 4 ส่วน คือ 1.มีประชาชนประมาณ 40% ไม่เข้าใจสิทธิประโยชน์อย่างชัดเจนถึงคำว่าเจ็บป่วยฉุกเฉินทำให้มีปัญหาในการเบิกค่าใช้จ่ายไม่ได้ 2.อัตราค่าเบิกจ่ายยังไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญมากนัก แต่ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาถึงต้นทุน 3.การลดปัญหาประชาชนไม่ทราบสิทธินั้นจะให้โรงพยาบาลแจ้งสิทธิให้ผู้ป่วยทราบหากผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิกรณีฉุกเฉินได้ เพื่อผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินไปก่อนแล้วมาขอคืนทีหลังและ 4.การส่งต่อผู้ป่วยในกรณีพ้นภาวะวิกฤติที่มีปัญหาจะมีการสำรองเตียงไว้ในส่วนของโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์  โดยปัญหาที่พบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเขต กทม.และปริมณฑล ดังนั้นจึงจะติดต่อประสานงานให้ โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพฯสำรองเตียงไว้ เนื่องจากเป็นผู้ให้บริการหลักในเขตกรุงเทพฯ ด้าน ภญ.เนตรนภิส สุชนวนิช ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานระบบบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของ 3 กองทุน ในการประชุมคณะกรรมการ สปสช.รอบ 9 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-31 ธ.ค. 2555 พบว่ามีจำนวนการรับบริการทั้งสิ้น 14,525 คน คิดเป็น 15,708 ครั้ง แยกเป็นสิทธิสวัสดิการข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ 7,731 ครั้ง หรือ 49% หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง 6,878 ครั้ง คิดเป็น 44% ประกันสังคม 1,063 ครั้ง หรือ 7% และอื่นๆ 36 ครั้ง สำหรับการเบิกชดเชยค่าบริการฉุกเฉินของ  3  กองทุน มีการจ่ายเงินชดเชยไปแล้วประมาณ 254 ล้านบาท.

หมอรีบปลุกให้รู้ตัว อย่าประมาทนอนกรน เป็นภัยต่อสุขภาพตนหนักในวันข้างหน้า

หมอรีบปลุกให้รู้ตัว อย่าประมาทนอนกรน เป็นภัยต่อสุขภาพตนหนักในวันข้างหน้า
นักวิจัยโรงพยาบาลเฮนรีี่ ฟอร์ดของสหรัฐฯ บอกเตือนอย่างแรงว่า อย่าไปดูถูกการนอนกรนว่า แค่เป็นการก่อความรำคาญเท่านั้น แต่ที่จริงแล้ว มันอาจก่อภัยให้กับสุขภาพในวันหน้าได้ยิ่งกว่าความอ้วน การสูบบุหรี่และมีไขมันในเลือดสูง เพราะว่ามันทำให้เส้นเลือดเลี้ยงสมองด้านหน้าหรือผิดปกติไปได้ ซึ่งการที่เยื่อบุเส้นเลือดใหญ่นำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองหน้านั้น เท่ากับเป็นลางร้ายบอกให้รู้การมาถึงของโรคหลอดเลือดทั้งหลายหมอโรเบิร์ต ดีบ หมอโสตศอนาสิกวิทยา กล่าวว่า ไม่ควรประมาทการนอนกรนเป็นอันขาด ควรจะเริ่มรักษามัน เช่นเดียวกับความดันโลหิตสูง การหยุดหายใจระหว่างหลับและปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆเขาได้พบในการศึกษาว่า ผลจากการนอนกรนทำให้เส้นเลือดเลี้ยงสมองกระทบกระเทือนได้ แม้ว่าจะยังไม่ถึงหยุดหายใจระหว่างนอนหลับ อาจจะเป็นเพราะการสั่นไหวของการนอนกรน ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น การหยุดหายใจขณะหลับเป็นพัก เป็นอาการของโรคของการนอนอย่างหนึ่ง เกิดจากท่อทางเดินหายใจอุดตัน ทำให้กรนดังและหยุดหายใจเป็นพัก รู้กันว่าเกี่ยวพันกับโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมกับภัยต่อสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ นานแล้ว.

เดินช่วยยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ให้ยืนนานมากกว่าคนเอาแต่นอนเกือบครึ่งเท่าตัว

เดินช่วยยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ให้ยืนนานมากกว่าคนเอาแต่นอนเกือบครึ่งเท่าตัว
สมาคมต่อต้านโรคมะเร็งของสหรัฐฯแจ้งว่า  ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ หากพยายามเดินให้บ่อยกว่าการนอนบนที่นอน จะไม่ค่อยเสียชีวิต แม้ว่าจะถูกวินิจฉัยโรคมานานตั้ง 7 ปีแล้วหัวหน้านักวิจัยปีเตอร์ แคมป์เบลล์ กล่าวอธิบายว่า เรื่องนี้ไม่ใช่จะอวดว่าการออกกำลังจะช่วยยืดอายุการอยู่รอดออกไปได้ แต่การออกกำลังจะให้คุณมากกว่าการไม่ได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืดเส้นยืดสายและการทำสวน แค่ครั้งละ 5-10 นาที ก็พอ โดยไม่จำเป็นต้องเหนื่อยยาก ถึงกับไปวิ่งมาราธอนหรือไปไต่เขาเขากับคณะได้วิเคราะห์กรณีของผู้ป่วยชาวอเมริกัน ได้พบว่า ผู้ป่วยที่ออกกำลังมากที่สุด โดยเดินได้นานอาทิตย์ละ 2-2.30 ชม. หรือมากกว่านั้น ต่างจะพากันยืดอายุการอยู่รอดออกไปได้มากกว่าผู้ที่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ระหว่างร้อยละ 28-42อย่างไรก็ดี นักวิจัยได้เตือนว่า การออกกำลังไม่ใช่ถึงขนาดจะใช้แทนการรักษาตามมาตรฐานอย่าง เช่น การผ่าตัด และในบางราย อาจเป็นเคมีบำบัดกันได้.

Monday, February 4, 2013

จี้แก้เกณฑ์ประเมินคุณภาพสถานศึกษา

จี้แก้เกณฑ์ประเมินคุณภาพสถานศึกษา
กอศ.จี้แก้เกณฑ์ประเมินคุณภาพสถานศึกษา  หวั่นอาชีวะทั้งรัฐ-เอกชนไม่ผ่านรอบ 3 เหตุสูตรใช้คำนวณเกินจริง...ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานศึกษาอาชีวศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนกำลังมีความกังวล เกี่ยวกับการจัดทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านอาชีวศึกษา หรือ วีเน็ต ให้แก่นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ซึ่งตามหลักเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระบุว่าต้องผ่านทุกตัวบ่งชี้จึงจะถือว่าผ่านการประเมิน แต่การคำนวณในตัวบ่งชี้ที่  2  ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการทำงาน ที่ใช้จำนวนผู้เรียนชั้นปีสุดท้ายที่สอบผ่านการทดสอบเชิงวิชาการด้านความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการทำงาน หารด้วยจำนวนผู้เรียนชั้นปีสุดท้ายทั้งหมด และคูณด้วยร้อย จะทำให้สถานศึกษาไม่ผ่านการประเมินคุณภาพภายนอก เพราะในความเป็นจริงผู้ที่เข้าสอบไม่ใช่ผู้ที่เรียนชั้นปีสุดท้ายทั้งหมด นอกจากนี้การสอบวีเน็ตที่จัดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ที่ผ่านมาพบว่าข้อสอบอยู่ในระดับยาก หากใช้การคำนวณเช่นนี้โอกาสที่สถานศึกษาจะผ่านการประเมินมีน้อยมาก เลขาธิการ กอศ.กล่าวอีกว่า ตนได้หารือกับศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา  (สมศ.) ว่าอยากให้แก้ไขหลักเกณฑ์การประเมิน แต่จากการหารือเบื้องต้น ผอ.สมศ.ชี้แจงว่าเนื่องจากขณะนี้อยู่ในระหว่างการประเมินคุณภาพภายนอกรอบ 3 พ.ศ.2554-2558 ซึ่งใช้หลักเกณฑ์นี้มาแล้ว 2 ปี และควรใช้ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี เพื่อความเป็นธรรมแก่สถานศึกษาที่ประเมินไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้มีการทบทวนสูตรการคำนวณโดยใช้ตัวหารเท่ากับจำนวนผู้ที่สอบจริง เพราะใช้เกณฑ์เดิมประเมินไปก็ไม่ผ่าน พร้อมกันนี้อยากเรียกร้องให้ สทศ.จัดทำข้อสอบวีเน็ตที่มีความยากง่ายที่เหมาะสม โดยมีการทดลองใช้สอบก่อนเพื่อให้ได้ข้อสอบที่ดี.

สตรีจะหน้าตาเหี่ยวแก่สุดสุดในวันพุธ เพราะเครียดจากงานกับอ่อนล้าจากเที่ยว

สตรีจะหน้าตาเหี่ยวแก่สุดสุดในวันพุธ เพราะเครียดจากงานกับอ่อนล้าจากเที่ยว
ยามบ่ายสามโมงเย็นครึ่งของทุกวันพุธ จะเป็นยามที่ผู้หญิงคนทำงานส่วนใหญ่ พบว่าหน้าตาพวกตนจะแก่ลง ยิ่งกว่าวันอื่นมากกว่าเพื่อน  เนื่องจากเป็นวันที่พลังงานจะตกต่ำลง ความเครียดจากการงานเพิ่มถึงขีดสุด รวมทั้งความอ่อนล้าจากการเที่ยวดึก เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยสำนักงานสำรวจความคิดเห็นของอังกฤษ ค้นพบจากการสอบถามความคิดเห็น ได้พบว่าสตรีคนทำงานเกือบ 2 ใน 3 จะมีความรู้สึกว่าหมดเรี่ยวหมดแรงมากที่สุด เมื่อตอนบ่ายของวันพุธ เป็นเหตุให้พวกเธอ 1 ใน 4 จะต้องหาอะไรรองท้อง เพื่อจะค่อยมีเรี่ยวมีแรงขึ้นผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานยังเปิดเผยด้วยว่า เป็นธรรมเนียมที่สตรีชาวตะวันตกคนทำงาน มักจะออกไปเที่ยวเตร่ช่วงสุดสัปดาห์กันดึก เหล้ายาที่กินกัน กว่าจะออกฤทธิ์ก็เกือบ 3 วัน ดังนั้น มันจะมาออกฤทธิ์เอาเมื่อบ่ายเย็นของวันพุธ อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเธอมากถึงร้อยละ 37 นอนไม่หลับเมื่อคืนวันจันทร์ ทำให้รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงเอากลางสัปดาห์ โทษของการอดนอนอาจสำแดงให้เห็นทางใบหน้าอยู่ได้นานถึง 48 ชม. หากคนไหนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเมื่อคืนวันจันทร์ จะทำให้ดูหน้าตาดูเป็นคนแก่ไปในวันพุธ.

หนุ่มสาวอยากถูกปลุกปั้นเป็นคนอารมณ์ดี ต้องหมั่นกินผักผลไม้หลายๆ กำไว้ทุกวัน

หนุ่มสาวอยากถูกปลุกปั้นเป็นคนอารมณ์ดี ต้องหมั่นกินผักผลไม้หลายๆ กำไว้ทุกวัน
นักวิจัยคณะโภชนาการมนุษย์  มหาวิทยาลัยโอตากา ได้แนะนำกับคนหนุ่มสาวว่า หากอยากเป็นคนอารมณ์ดี ควรจะกินผักผลไม้ทุกวันให้มากๆพวกเขาได้ศึกษากับคนหนุ่มสาว อายุเฉลี่ย 20 ปี จำนวน 281 คน ถึงความสัมพันธ์ของอาหารการกิน กับพื้นอารมณ์ของแต่ละวัน ได้พบว่ามีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดดร.แทมลิน คอนเนอร์ นักวิจัยคนหนึ่ง กล่าวว่า “เราได้พบว่า วันไหนที่พวกเขากินผักและผลไม้มาก จะพากันมีความรู้สึกเยือกเย็น เป็นสุข และจะขยันขันแข็งยิ่งกว่าปกติ” และเสริมว่า “เมื่อศึกษาลึกลงไป จะรู้ว่า คนหนุ่มสาว หากต้องการให้อารมณ์เปลี่ยนไปดีอย่างเห็นได้ ก็ควรจะกินผักผลไม้มากถึงวันละ 7-8 ฝ่ามือ.

พงศ์เทพเผยสทศ.ถกแก้สอบโอเน็ตมั่ว

พงศ์เทพเผยสทศ.ถกแก้สอบโอเน็ตมั่ว
                4 ม.ค.56 นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาการสอบโอเน็ต วิชาภาษาไทย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ.ที่ผ่านมา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่คำถามไม่สัมพันธ์กับคำตอบว่า มีข้อสอบชุดหนึ่งที่มีการสลับระหว่างคำตอบกับคำถาม ทำให้เด็กที่ทำข้อสอบชุดเกิดความสับสน วันนี้ทางสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) จะมีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ระหว่างเด็กที่สอบข้อสอบที่ถูกต้อง กับข้อสอบที่มีปัญหาได้ว่า จะทำให้เกิดความเป็นธรรมได้อย่างไร โดยไม่มีการสอบใหม่อย่างแน่นอน ทั้งนี้ การทำข้อสอบแต่ละชุดไม่เหมือนกันเพื่อป้องกันการทุจริตในการสอบ แต่เมื่อมีการสลับกันมากๆ ก็ทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นได้ ซึ่งตนได้กำชับให้ระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีกและยืนยันว่า เด็กไม่เสียประโยชน์อย่างแน่นอน และคาดว่า จะได้ข้อยุติในวันนี้                 เมื่อถามว่า ปัญหาการสอบวัดความรู้ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจะแก้ปัญหาอย่างไร นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำข้อสอบถือเป็นความลับ คนที่ทำการตรวจสอบข้อสอบมีจำนวนที่จำกัดมาก ทำให้การตรวจทานไม่เหมือนกับการที่ใช้คนตรวจสอบจำนวนมาก แต่หากคนตรวจสอบมากก็จะมีปัญหาเรื่องการรักษาความลับอีก                 เมื่อถามว่า ส่วนการสอบแกต-แพต ที่ตรงกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะดำเนินการอย่างไร นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เราได้ทำการยืดเวลาระหว่างการพักเพิ่มขึ้นเป็น 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งน่าจะเพียงพอ เพราะเด็กส่วนใหญ่จะเลือกศูนย์สอบใกล้บ้านอยู่แล้ว และได้ประสานไปยังหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ว่าเด็กที่ถือบัตรสอบไปนั้นขอให้ไม่ต้องเข้าแถว จะทำอย่างดีที่สุดเพราะคนที่จะสอบในวันนั้นทั่วประเทศมีจำนวนกว่าแสนคน แต่คนที่มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มี 2 พันกว่าคนเราก็ต้องคำนึงถึงคนส่วนใหญ่                 

หมื่นห้าเพิ่มเหลื่อมล้ำ!!

หมื่นห้าเพิ่มเหลื่อมล้ำ!!
                           ผลวิจัยทีดีอาร์ไอ ระบุข้าราชการไม่ได้มีรายได้ต่ำกว่าลูกจ้างเอกชนเสมอไปตามที่เข้าใจกัน แต่อาชีพข้าราชการมีรายได้ตลอดชีวิตเฉลี่ยดีกว่าลูกจ้างภาคเอกชนในทุกระดับการศึกษา พบครึ่งหนึ่งของรายได้คือมูลค่าสวัสดิการที่ได้รับ ขณะที่ลูกจ้างเอกชนมีความผันผวนของรายได้และสวัสดิการ  การปรับเพิ่มตามนโยบาย จบ ป.ตรี รับ 15,000 บาท ยิ่งเพิ่มช่องว่างของรายได้ลูกจ้างภาคราชการกับภาคเอกชนในระดับปฏิบัติการ แต่ข้าราชการในตำแหน่งที่ต้องใช้วิชาชีพสูงยังขาดสิ่งจูงใจที่ดีพอเมื่อเทียบกับภาคเอกชน                            การปรับฐานเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาทต่อเดือน น่าจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงดุลภาพในตลาดแรงงาน ภาระเงินงบประมาณของรัฐ และระดับการบริโภคของประชาชน โครงการวิจัยการศึกษาผลกระทบของการดำเนินนโยบายรายได้ค่าแรงไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวัน และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน ที่มีผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้การอุดหนุนทุนวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) การศึกษาในส่วนนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือนในภาคราชการ ทำการศึกษาโดย ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์สวัสดิการ และนายชยดล ล้อมทอง นักวิจัยทีดีอาร์ไอ เน้นพิจารณารายได้ตลอดชีวิตของลูกจ้างราชการเปรียบเทียบลูกจ้างเอกชน และภาระเงินงบประมาณของรัฐในอนาคต ซึ่งจะมีผลต่อฐานะการคลังและความมั่นคงทางการคลังในระยะยาว                            การศึกษารายได้ตลอดชีวิตของข้าราชการและลูกจ้างเอกชน ซึ่งการคำนวณรายได้ตลอดชีวิตของข้าราชการและลูกจ้างเอกชน โดยใช้ข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรไตรมาส 3 ทั้งหมด 31 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2523 ถึง พ.ศ.2553 เลือกติดตามดูรายได้ตลอดชีวิตข้าราชการและลูกจ้างเอกชนที่อายุ 25-34 ปี ในพ.ศ.2523 และคำนวณรายได้เฉลี่ย (รวมโบนัส ค่าล่วงเวลา ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า และอื่นๆ) ของคนกลุ่มนี้ จำแนกตามระดับการศึกษา 3 ระดับ คือ ต่ำกว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี และจำแนกตามการอยู่อาศัยคือ นอกเขตและในเขตกรุงเทพฯ จากนั้นได้ติดตามลูกจ้างและข้าราชการกลุ่มนี้ทุกปี และคำนวณค่าเฉลี่ยของรายได้ทุกปี จนกระทั่งคนกลุ่มนี้อายุ 55-64 ปี ในปี พ.ศ.2553                            ผลการศึกษาพบว่า การเป็นข้าราชการและอยู่นอกเขตกรุงเทพฯ จะมีรายได้ตลอดชีวิตค่อนข้างดีกว่าการเป็นลูกจ้างเอกชน โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี และผู้มีการศึกษาระดับปริญญาตรี การเป็นลูกจ้างเอกชนจะมีรายได้ที่ผันผวน (เป็นความเสี่ยง) แม้ดูเหมือนว่าผู้ที่จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีจะมีรายได้ดีในบางช่วงก็ตาม โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี รายได้ของลูกจ้างเอกชนจะตกแรงมาก ในขณะที่รายได้ของข้าราชการจะไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ                            สำหรับข้าราชการที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ จะมีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าลูกจ้างเอกชน โดยเฉพาะเมื่อมีการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไป แต่ความผันผวนของรายได้ของข้าราชการก็มักจะต่ำกว่า ดังนั้น โดยเฉลี่ยแล้วข้าราชการไม่ได้มีรายได้ต่ำกว่าลูกจ้างเอกชนเสมอไปตามที่เข้าใจกัน แต่จะมีข้าราชการที่มีการศึกษาสูง ซึ่งน่าจะมีโอกาสที่ดีที่จะได้รับค่าตอบแทนที่สูงถ้าได้ทำงานในภาคเอกชน ซึ่งข้าราชการในกลุ่มนี้มีจำนวนไม่มากนัก อย่างไรก็ดี การศึกษานี้ไม่สามารถรวมข้อมูลเกี่ยวกับเบี้ยประชุม รายได้จากการสอนพิเศษหรือทำวิจัย หรือเบี้ยอื่นๆ ที่ข้าราชการได้รับ ซึ่งเงินรายได้จำนวนนี้อาจจะมีจำนวนไม่น้อย                            นอกจากนี้มูลค่าของสวัสดิการที่ข้าราชการได้รับมีประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่ารายได้ตลอดชีวิต ในขณะที่สวัสดิการสำหรับลูกจ้างเอกชนนั้นมีมูลค่าไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบรายได้รวมสวัสดิการที่เป็นมูลค่าปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า ข้าราชการมีรายได้ตลอดชีวิตสูงกว่าลูกจ้างเอกชนในทุกๆ ระดับการศึกษา ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และนอกกรุงเทพฯ แต่เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้มูลค่า ณ ราคา ปี พ.ศ.2550 จะเห็นว่าข้าราชการที่มีการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรีมักได้รับรายได้ตลอดชีพสูงกว่าลูกจ้างเอกชน                            ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่า การทำงานในเขตกรุงเทพฯ จะให้มูลค่าปัจจุบันของรายได้ตลอดชีวิตสูงขึ้นกว่าการทำงานในจังหวัดอื่นๆ ในทุกๆ ระดับการศึกษา อย่างไรก็ดี ผู้มีระดับการศึกษาน้อยกว่าปริญญาตรีที่ทำงานให้แก่ภาครัฐก็ยังมีมูลค่าปัจจุบันของรายได้ตลอดชีพสูงกว่าการทำงานให้ภาคเอกชน เพราะมูลค่าของสวัสดิการนั้นสูงกว่ากันมาก รวมทั้งผู้ที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรีและทำงานในบริษัทเอกชนจะมีมูลค่าปัจจุบันของรายได้ตลอดชีวิต ณ เวลาที่เริ่มต้นชีวิตทำงานสูงกว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเดียวกันแต่ทำงานในภาครัฐ                            เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้แบบจำลองเศรษฐมิติ สรุปได้ว่า ข้าราชการได้รับรายได้น้อยกว่าเอกชนเฉพาะกลุ่มอาชีพผู้บริหารหรือข้าราชการที่ทำงานในกรุงเทพฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนน้อยของข้าราชการทั่วประเทศ สำหรับกลุ่มอาชีพอื่นๆ แล้ว ข้าราชการมีรายได้มากกว่าลูกจ้างเอกชน และความแตกต่างของรายได้เห็นได้ชัดเจนในกรณีที่ข้าราชการทำงานในภูมิภาค                            "ดังนั้น การขึ้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีและต่ำกว่า น่าจะยิ่งทำให้ความแตกต่างของรายได้ระหว่างภาครัฐและเอกชนในภูมิภาคต่างๆ สูงขึ้นไปอีก"                            สำหรับภาระเงินงบประมาณที่เกิดจากข้าราชการบรรจุใหม่ จะน้อยกว่าภาระเงินงบประมาณที่จะเกิดจากการปรับฐานเงินเดือนให้แก่ข้าราชการเก่า เพราะทุกคนจะได้รับการปรับฐานเงินเดือนชดเชยขึ้น เพื่อไม่ให้น้อยกว่าข้าราชการที่เข้าใหม่ และจำนวนข้าราชการเข้าใหม่จะมีจำนวนน้อยตามนโยบายการลดจำนวนข้าราชการ                            การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การปรับฐานเงินเดือนให้แก่ข้าราชการที่มีวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี จะมีผลทำให้ช่องว่างระหว่างรายได้ตลอดชีพระหว่างข้าราชการและลูกจ้างเอกชนยิ่งสูงมากขึ้น ในขณะที่รายได้ตลอดชีพของข้าราชการที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปนั้นยังน้อยกว่าภาคเอกชน                             นับว่าเป็นการแก้ปัญหาโครงสร้างบุคลากรราชการที่ไม่ถูกจุด ในอนาคตนั้นจำนวนข้าราชการจะลดลงและเน้นให้ข้าราชการเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ การปรับฐานเงินเดือนจึงควรมุ่งเน้นไปยังตำแหน่งงานที่มีความรับผิดชอบสูง ส่วนจำนวนข้าราชการระดับใช้ความรู้หรือทักษะน้อยนั้นต้องลดจำนวนลง งานหลายประเภทควรให้ภาคเอกชนรับไปทำ     -------------------- (15,000 บาทเพิ่มเหลื่อมล้ำ อาชีพข้าราชการดีกว่าลูกจ้างเอกชน : เรื่องโดย...ทีดีอาร์ไอ)      

สสจ.เตือนปชช.ระวังโรคท้องร่วง

สสจ.เตือนปชช.ระวังโรคท้องร่วง
                     4 ก.พ.56 นายแพทย์สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมาแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังโรคท้องร่วง เชื้อไวรัส เชื้อรา และแบคทีเรีย ที่เกิดจากการดื่มน้ำไม่สะอาด โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยที่ประสบภัยแล้งขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ที่ต้องนำน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง หรือซื้อน้ำจากพ่อค้ารถเร่ที่มาเร่ขายตามหมู่บ้าน ตำบล เพื่อนำไปอุปโภคบริโภคโดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี เพราะในน้ำดังกล่าวอาจมีเชื้อไวรัส หรือสารเคมีต่างๆตกค้างอยู่ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนที่นำไปบริโภคได้                      ดังนั้นก่อนจะนำไปบริโภคควรจะนำไปต้มหรือฆ่าเชื้อให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคจากการดื่มน้ำที่ไม่สะอาดดังกล่าวได้ ทั้งนี้หากประชาชนรายใดมีอาการเจ็บท้องรุนแรงผิดปกติ หรือ อาเจียน ถ่ายเหลว ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาโดยเร็ว ส่วนสถานการณ์ภัยแล้งของจังหวัดบุรีรัมย์ ยังขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง                      ล่าสุดทางจังหวัดได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยแล้งแล้ว 14 อำเภอ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 89 ตำบล 938 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคจำนวน 41,462 ครัวเรือน ประชากร 162,594 ราย และคาดว่าแนวโน้มสถานการณ์ภัยแล้งจะขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง      

Sunday, February 3, 2013

แม่ญิงพะเยาค้านย้ายขรก.ขี้เหงานอกใจเมีย แนะเพิ่มโทษให้หนัก

แม่ญิงพะเยาค้านย้ายขรก.ขี้เหงานอกใจเมีย แนะเพิ่มโทษให้หนัก
ปธ. แม่ญิงพะเยา ค้านย้าย ข้าราชการขี้เหงา ไปสบอกภรรยา ชี้อาจก่อปัญหาใหม่ถึงขั้นหย่าร้าง และอาจเป็นข้ออ้างสร้างเรื่องในการโยกย้าย ระบุการนอกใจเป็นพฤติกรรมส่วนตัว เสนอปรับบทลงโทษหนัก...เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2556 นางสุภัคสร วรรณปลูก ประธานเครือข่ายแม่ญิงพะเยา กล่าวว่า กรณีสตรีรายหนึ่งที่เป็นภรรยาของข้าราชการระดับสูง ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร้องเรียนพฤติกรรมสามีต่อผู้บริหารของกระทรวง จนกลายมาเป็นเหตุผลหนึ่งให้มีการปรับโยกย้ายข้าราชการระดับผู้อำนวยการที่เป็นคนขี้เหงา มีพฤติกรรมนอกใจภรรยา ให้กลับไปสู่อ้อมอกของภรรยาและเพื่อต้องการให้ครอบครัวอบอุ่นนั้น โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยเพราะเกรงว่า จะเป็นการเริ่มต้นปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้น จากปัญหาครอบครัวแตกแยก เพราะหากฝ่ายชายไม่พอใจที่ฝ่ายหญิงร้องเรียน อาจจะขอแยกทาง ทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา  และหากข้าราชการต้องการจะย้ายแล้วสร้างสถานการณ์ให้ภรรยาทำเรื่องร้องเรียน เพื่อให้ได้ย้ายกลับ จะกระทบต่อระบบการบริหารงานของหน่วยงานราชการนั้นได้ นอกจากนี้ มองว่าความเป็นคนขี้เหงาของข้าราชการระดับสูงนั้น เป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล หากทำงานดีมีคุณภาพ ต้องพิจารณาตามระบบมาตรฐานการทำงาน แต่หากพฤติกรรมส่วนตัวส่งผลกระทบต่อคุณภาพของงาน ย่อมต้องให้ได้รับโทษมากกว่าคนปกติ เพราะเป็นถึงผู้บริหารแล้วไม่มีความอดทน อดกลั้น กระทำสิ่งที่ไม่ถูกศีลธรรม ต้องได้รับโทษ ทั้งทางวินัยและทางสังคมควบคู่ เพื่อไม่ให้ฝ่ายหญิงหรือคู่สมรสถูกละเมิดและถูกทำร้ายจิตใจได้.

จี้บูรณาการทุกฝ่ายสกัดแม่วัยใสเพิ่ม

จี้บูรณาการทุกฝ่ายสกัดแม่วัยใสเพิ่ม
พส.เผยสตรีไทยอายุต่ำกว่า 20 ตั้งท้องและมีบุตรเกินมาตรฐานWHO ระบุ จ.สมุทรสาคร ครองแชมป์สูงสุด จี้บูรณาการทุกฝ่ายสกัดแม่วัยใสเพิ่ม ...นายปกรณ์ พันธุ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เปิดเผยว่า ผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปีที่ตั้งครรภ์และคลอดบุตรตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไม่ควรเกินร้อยละ 10 แต่ประเทศไทยกลับมีตัวเลขเกินมาตรฐานที่ WHO กำหนดและเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2552 มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 13.55 เพิ่มเป็น 13.76 ในปี 2553 และเพิ่มขึ้นอีกในปี 2554 ที่เฉลี่ยถึงร้อยละ 14.32 โดย จ.สมุทรสาครพบมีการตั้งครรภ์ของแม่วัยรุ่นมากที่สุดในปี 2554 รองลงมาคือ กำแพงเพชร ตาก อุทัยธานี และกาญจนบุรี ซึ่ง จ.สมุทรสาครพบว่ามีสถิติสูงอันดับแรกถึง 2 ปีซ้อนระหว่างปี 2553-2554 สาเหตุเนื่องจากเป็นวัยอยากรู้อยากเห็น ขาดองค์ความรู้หรือไม่มีภูมิต้านทานสิ่งเร้า ประกอบกับสื่อมากมายที่ยั่วยุ รวมถึงปัญหาครอบครัวที่ขาดความรัก ความเอาใจใส่ต่อเด็กเยาวชน ทำให้ส่วนหนึ่งเดินหลงทางผิดอธิบดี พส. กล่าวว่า การแก้ปัญหาต้องบูรณา-การทุกฝ่ายร่วมกัน เน้นดำเนินการเชิงรุกทั้งมาตรการป้องกันหรือรีเลย์เซ็กซ์ ให้ความรู้เยาวชนได้ตระหนักและเข้าใจถึงการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ชิงสุกก่อนห่าม หากจำเป็นต้องรู้จักป้องกันหรือเซฟเซ็กซ์ โดยทุกฝ่ายต้องร่วมสร้างความเข้าใจให้กับเยาวชนทั้งพ่อแม่ ครูอาจารย์ ชุมชน รวมถึงสื่อมวลชน.

ลิงอุรังอุตังยุคดิิจิตอลกดไอแพดแข่งกับคน กลายเป็นของเล่นของโปรดยิ่งกว่าอย่างอื่น

ลิงอุรังอุตังยุคดิิจิตอลกดไอแพดแข่งกับคน กลายเป็นของเล่นของโปรดยิ่งกว่าอย่างอื่น
บรรดาลิงอุรังอุตังในสวนสัตว์สมิธโซ-เนียนแห่งชาติของอเมริกา  ต่างพากันกดไอแพดเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานทุกวันนี้พนักงานสวนสัตว์คนหนึ่ง นายเบคกี้ มาลินสกี้ กล่าวว่า “เราเคยเปลี่ยนอาหาร ของเล่น และอื่นๆ ให้พวกมันบ่อยๆ แต่เมื่อให้มันเล่นไอแพดกัน ปรากฏว่ามันพากันมองดู คลำและคอยฟังอย่างไม่วางมือ”เขาเล่าว่า เดี๋ยวนี้ พวกมันพากันใช้โปรแกรมต่างๆ กันเป็นไม่น้อยกว่า 10 อย่าง ตั้งแต่เล่นเกม วาดรูป และที่สำคัญก็คือ การเล่นเครื่องดนตรีเสมือนจริง จนหลายตัวพากันเป็นนักดนตรีสมัครเล่นไป อย่างเช่น เฒ่าบอนนี่ชอบเล่นตีกลองเจ้าหนุ่ม “ไคล” วัย 16 ปี เล่นเปียโน และหนุ่มใหญ่วัย 25 ปี เจ้าไอริส ชอบดูปลาว่ายน้ำในสระลิงอุรังอุตัง นับเป็นญาติใกล้ชิดที่สุดของมนุษย์พันธุ์หนึ่ง ปัจจุบันมีเหลืออยู่ตามป่าเพียงไม่กี่หมื่นตัว ส่วนใหญ่พบอยู่ตามป่าทึบของสุมาตรา และบอร์เนียว แต่ก็ถูกมนุษย์ไล่ล่าอยู่อย่างหนัก.

Blog Archive