Saturday, April 6, 2013

สธ.หวั่นยอดป่วยไข้เลือดออกพุ่ง เหตุเคลื่อนย้ายคนช่วงสงกรานต์

สธ.หวั่นยอดป่วยไข้เลือดออกพุ่ง เหตุเคลื่อนย้ายคนช่วงสงกรานต์
กระทรวงสาธารณสุข หวั่นหลังเทศกาลสงกรานต์ ยอดผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจะเพิ่มขึ้น เหตุรวมญาติในต่างจังหวัด ชี้ผู้ที่มีเชื้อไข้เลือดออกในตัว จะนำเชื้อไปสู่ที่ต่างๆ มากขึ้นเมื่อถูกยุงกัด แนะทุกบ้านทำความสะอาดบ้าน กำจัดลูกน้ำยุงลายก่อนถึงช่วงสงกรานต์...เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 56 นายแพทย์โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานวอร์รูมแก้ไขป้องกันโรคไข้เลือดออกของกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการ และประเมินสถานการณ์โรคไข้เลือดออกทั่วประเทศ  พบว่าในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 ราย  แนวโน้มจำนวนลดลงกว่าช่วงก่อนหน้านี้  ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2556 ทั่วประเทศมีผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสมรักษาหายแล้วรวม 17,960 ราย เสียชีวิต 20 ราย  ซึ่งทั้งจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตยังสูงกว่าช่วงเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา 3 เท่าตัว สาเหตุที่จำนวนผู้ป่วยเริ่มลดลง อาจเป็นได้จากโรงเรียนปิดเทอม ยุงลายมีแหล่งอาหารน้อยลง ความเสี่ยงของการป่วยเป็นไข้เลือดออกขณะนี้จึงไปอยู่ที่บ้าน หากบ้านใดไม่มีการดูแลความสะอาด ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุก 5-7 วัน เช่นในถาดรองกระถางไม้ประดับ แจกันปลูกไม้ประดับ น้ำหล่อขาตู้กับข้าว หรือในภาชนะเก็บน้ำที่ไม่มีฝาปิดมิดชิด จะมีลูกน้ำยุงลายเกิดขึ้นและโตเป็นยุงเต็มวัยอาศัยอยู่กับคนภายในบ้าน  นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า จากรายงานผลสำรวจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านใน 32 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่าในบ้าน 300,000 ครัวเรือน มีประมาณ 1 ใน 4 ที่ยังมียุงกัดในบ้านในช่วงกลางวัน แสดงให้เห็นว่า ยังมีประชาชนบางส่วนที่ยังไม่ได้ให้ความสนใจปัญหาของโรคไข้เลือดออก ไม่สนใจที่จะทำให้บ้านปลอดยุงลาย   อย่างไรก็ดี จากการประเมินทิศทางสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกของคณะผู้เชี่ยวชาญ คาดว่าอาจจะมีปัญหาการระบาดในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีวันหยุดยาว 5 วัน เนื่องจากประชาชนทั่วประเทศ จะเดินทางกลับไปฉลองสงกรานต์ที่ภูมิลำเนาเดิม ในทางวิชาการการแพทย์พบว่าประชาชนอาจติดเชื้อไข้เลือดออกแต่ยังไม่แสดงอาการ เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านทำให้มีการกระจายเชื้อไปที่ต่างๆ ได้ หากถูกยุงลายที่บ้านกัดดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้วางแผนป้องกันไว้ก่อน โดยสั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ โรงพยาบาลทุกแห่ง ดำเนินการรณรงค์กระตุ้นให้ประชาชนทุกหลังคาเรือนทำความสะอาดบ้านเรือน เปลี่ยนน้ำ ขัดล้างภาชนะขังน้ำสะอาดที่อยู่ภายในบ้าน หรือปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะปลูกไม้ประดับขนาดใหญ่เช่นอ่างบัว เป็นต้น และกำจัดเศษภาชนะที่อยู่รอบบ้านให้หมดเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งขังน้ำ ทำต่อเนื่องทุกๆ 5-7 วัน และส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจลูกน้ำยุงลายในสถานที่สาธารณะ เช่น วัด โรงพยาบาล โดยเฉพาะตามสถานีขนส่ง ทั้งรถไฟ รถยนต์ ซึ่งจะมีประชาชนไปรอใช้บริการจำนวนมาก เพื่อไม่ให้มีแหล่งยุงลายวางไข่ได้ จำนวนยุงลายก็จะลดลงได้  นายแพทย์โสภณ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขเน้นหนักในการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก ในปีนี้จะเน้นทั้งการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยใช้ตะไคร้หอม ซึ่งกลิ่นของตะไคร้หอมเป็นกลิ่นที่ยุงลายเกลียด ไม่เข้าใกล้ แนะนำให้ประชาชนใช้ได้ทั้งในรูปของตะไคร้สด โดยทุบที่ลำต้น ใบ ให้แตกเพื่อให้กลิ่นระเหยออกมา และนำไปวางไว้ในบ้าน หากวางในห้องจะใช้ได้นาน 24-48 ชั่วโมง แต่หากวางไว้ในที่โล่ง กลิ่นจะเจือจางเร็วกว่า หรืออาจใช้ชนิดที่ทำเป็นโลชั่นสำเร็จรูปแล้ว ให้ทาหลังจากอาบน้ำแล้ว ทั้งกลางวันกลางคืน หรือใช้ชนิดเป็นสเปรย์ฉีดพ่นในห้องก็ได้ ส่วนภายในโรงพยาบาลทุกแห่งทุกระดับ ต้องเป็นสถานที่ปลอดลูกน้ำและปลอดยุงลาย ไม่เป็นแหล่งแพร่เชื้อ หากพบผู้ป่วยสงสัยเป็นไข้เลือดออก ก็จะให้โลชั่นตะไคร้หอมให้ผู้ป่วยและญาติ ที่เฝ้าไข้ทาด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงกัดและนำเชื้อไปแพร่สู่คนอื่น

เฟ้นหา เด็กไทย ประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย

เฟ้นหา เด็กไทย ประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย
กสอ. เชิญประกวดบรรจุภัณฑ์ไทยประจำปี 2556 เพื่อเฟ้นหาตัวแทนประเทศไทย ประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย...กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย (TPA) สมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย (THAI CPA) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) และสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม จัดโครงการประกวดบรรจุภัณฑ์ไทยประจำปี 2556 ภายใต้หัวข้อ “บรรจุภัณฑ์ไทยรักษ์โลก” เพื่อชิงเงินรางวัล มูลค่ารวมกว่า 250,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร โดยบรรจุภัณฑ์ที่สามารถส่งเข้าร่วมประกวดได้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. ต้นแบบบรรจุภัณฑ์ แบ่งเป็นเพื่อการจัดจำหน่าย สำหรับสินค้า OTOP และเพื่อการขนส่งสำหรับสินค้า OTOP (ผู้ส่งผลงานจะต้องเป็นนักเรียน นิสิต และนักศึกษาที่กำลังศึกษาไม่เกินระดับปริญญาตรีเท่านั้น) 2. บรรจุภัณฑ์ที่ใช้บรรจุสินค้าที่มีจำหน่ายในท้องตลาด แบ่งเป็นเพื่อการจัดจำหน่ายสำหรับสินค้าทั่วไป และเพื่อการขนส่งสำหรับสินค้าทั่วไป โดยผู้ชนะในโครงการจะเป็นตัวแทนบรรจุภัณฑ์ไทยที่เข้าร่วมประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย (AsiaStar) ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และระดับโลก (WorldStar)สำหรับนักเรียนนิสิต และนักศึกษาและประชาชนที่สนใจทั่วไป ผู้สนใจเข้าร่วมประกวด สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ http://pdpd.dip.go.thหรือ www.dip.go.th ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พร้อมส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 9 สิงหาคม 2556 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ชั้น 6 อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน ซอยตรีมิตร กล้วยน้ำไท ถนนพระรามที่ 4 กรุงเทพฯ หมายเลขโทรศัพท์ 02-367-8181-2, 02-367-8190 และ 02-367-8154

โพลเผยร้อนนี้คนไทยนิยมอยู่บ้านอาบน้ำทาแป้งเย็น

โพลเผยร้อนนี้คนไทยนิยมอยู่บ้านอาบน้ำทาแป้งเย็น
นิด้าโพล เผยคนส่วนใหญ่มีวิธีคลายร้อนด้วยการอยู่บ้านเปิดพัดลม อาบน้ำ ทาแป้งเย็น รองลงมาไปเที่ยวน้ำตก เขื่อน สวนน้ำ  มากกว่าเปิดแอร์นอนอยู่บ้าน หรือเดินห้าง และเมื่อเกิดอารมณ์หงุดหงิดช่วงหน้าร้อนส่วนมากจะระงับสติอารมณ์ หรือไปกิน เที่ยว ฟังเพลงเพื่อคลายเครียด...เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2556 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล  สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง คนไทย ร้อนกายร้อนใจทำอย่างไร ? ให้เย็นลง ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2 – 3 เม.ย.จากประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ ทุกภูมิภาค จำนวน 1,253 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพ  มีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน ไม่เกิน ร้อยละ 1.3 โดยพบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 30.43 ระบุว่า อยู่บ้าน อาบน้ำ ทาแป้งเย็น เปิดพัดลม ไม่ออกไปไหน รองลงมา ร้อยละ 23.27 ไปน้ำตก เล่นน้ำคลอง สระ เขื่อน สวนน้ำ ร้อยละ 14.81 เปิดแอร์นอนอยู่บ้าน ร้อยละ 12.46 ไปเดินห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 11.46 ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ทานน้ำแข็งใส ไอศกรีม ดื่มน้ำเยอะๆ ร้อยละ 4.35 ไปในที่ร่มรื่น มีต้นไม้เยอะๆ และมีอากาศถ่ายเท เช่น สวนสาธารณะ ป่าไม้  ร้อยละ 1.95 ไปทำงานตากแอร์ที่ออฟฟิศ ร้อยละ 0.45 ไม่ทำอะไร ทำใจ มีสติ ไม่เครียด ไม่ใส่ใจ และร้อยละ 0.80 ระบุว่า อื่นๆ เช่น ทำงานอดิเรก ไปวัดทำบุญ ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นชุบตัว ติดสปริงเกอร์บนหลังคา ท้ายสุดเมื่อถามถึงวิธีระงับอารมณ์หากเกิดอารมณ์หงุดหงิด หรือโกรธง่ายในช่วงหน้าร้อน พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 24.63 ระบุว่า จะค่อยๆ คิด พยายามระงับสติอารมณ์ รองลงมา ร้อยละ 24.41 ทำงานอดิเรก อ่านหนังสือ ฟังเพลง ไปกิน ไปเที่ยว ผ่อนคลายความเครียด ร้อยละ 20.27 ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดหรือโกรธ หลีกเลี่ยงหรือไม่เผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้หงุดหงิดง่าย ร้อยละ 14.89   ใช้เหตุผลคุยกัน ร้อยละ 12.40  ใช้หลักธรรมะเข้าช่วย อดทน อดกลั้น นับ 1 ถึง 10 ใช้สมาธิเข้าช่วย  ร้อยละ 2.38  ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ อาบน้ำ อยู่ในที่เย็นๆ และร้อยละ 1.02 ระบุว่า อื่นๆ เช่น มองโลกในแง่ดี ฝึกให้เป็นคนอารมณ์ดี อยู่ที่เงียบๆ คนเดียว พูดคุย ระบายให้เพื่อน พ่อ แม่ฟัง ด้านรศ.ดร.สุรสิทธิ์  วชิรขจร อาจารย์ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า จากผลการสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ จะเลือกพักผ่อนคลายร้อนอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะถ้าเป็นบ้านที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เป็นการคลายร้อนที่สามารถทำได้ง่ายและประหยัด เป็นความผูกพันระหว่างคนกับบ้าน ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยเกี่ยวกับความสุขของคนในกรุงเทพมหานคร พบว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความสุขก็คือ บ้าน ดังนั้น หากทำให้บ้านของเราเองให้น่าอยู่ เราก็อยากจะพักผ่อนอยู่กับบ้านอย่างมีความสุขและสบายใจ ไม่อยากออกไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้ จนมีบางคนเป็นลม ส่วนวิธีคลายร้อนอื่นๆ ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ประชาชนนิยมไปกัน เช่น ไปเดินห้าง ไปทะเล น้ำตก เป็นต้น ส่วนการจัดการกับอารมณ์หงุดหงิดหรืออารมณ์โกรธในหน้าร้อนที่เกิดจากปัญหาต่างๆ นั้น โดยพื้นฐานคนไทยส่วนใหญ่ก็จะมีพฤติกรรมที่อยู่ในศีลในธรรม อยู่ในหลักการปฏิบัติของศาสนาอยู่แล้ว และไม่ชอบการใช้ความรุนแรง จึงหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งต่างๆ โดยหันมาใช้สติ ใช้เหตุผลคุยกัน และการประณีประนอมกัน หางานอดิเรกอย่างอื่นทำ หลีกเลี่ยงและไม่ใส่ใจกับเรื่องที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจ ซึ่งส่วนตัวแล้วจะใช้หลักธรรมะเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหา รู้จักการปล่อยวาง จะสุขหรือจะทุกข์ ก็อยู่ที่ใจ จึงอยากให้คนไทยนำหลักของศาสนามาใช้ให้มากขึ้น สังคมไทยก็จะน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

Friday, April 5, 2013

สธ.สั่งคุมเข้มหวัดนก หลังมีรายงานผู้เสียชีวิตที่กัมพูชา

สธ.สั่งคุมเข้มหวัดนก หลังมีรายงานผู้เสียชีวิตที่กัมพูชา
สธ.กำชับ สสจ.ทั่วประเทศ เฝ้าระวังควบคุมโรคไข้หวัดนกอย่างเข้มงวด หลังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดนก ที่กัมพูชา ในสัปดาห์ที่ผ่านมา วอนหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย กำชับทุกโรงพยาบาลเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม...เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 56 นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยม รพ.หนองคาย จ.หนองคาย เพื่อมอบนโยบายการทำงานแก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ว่า ตามที่มีรายงานข่าวการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้หวัดนกที่ประเทศกัมพูชาและในภูมิภาคนั้น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้สั่งการให้เตรียมพร้อมระบบการเฝ้าระวังเชื้อไข้หวัดนก โดยให้สำนักระบาดวิทยาและโรงพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวมที่มีอาการรุนแรง เพื่อให้สามารถตรวจจับสัญญาณโรคได้ทันท่วงที และเตรียมความพร้อมทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (เอสอาร์อาร์ที) ที่มีครอบคลุมทุกอำเภอกว่า 1,200 ทีม พร้อมลงพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง หากพบหรือได้รับรายงานว่าพบผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นไข้หวัดนก นอกจากนี้ ได้ให้ อสม.เฝ้าระวังในชุมชนด้วย ทั้งแนะนำการป้องกันโรค และรายงานความผิดปกติสัตว์ปีกป่วยตายทั้งนี้ ในการเตรียมพร้อมระบบการดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หวัดนก ขณะนี้โรงพยาบาลในสังกัด สธ. ได้สำรองยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ไว้ทุกแห่ง หากพบผู้ป่วยที่มีอาการน่าสงสัยว่าจะติดเชื้อไข้หวัดนก โดยเฉพาะผู้ที่มีไข้ ไอ หรือมีปัญหาปวดบวม ปอดอักเสบร่วมด้วย ให้ซักประวัติการสัมผัสสัตว์ปีกอย่างละเอียด เพื่อให้การดูแลตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และเตรียมพร้อมห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการตรวจยืนยันเชื้อพร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชนในการป้องกันโรคไข้หวัดนก ให้รับประทานเนื้อสัตว์ปีก รวมทั้งไข่ ที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อน ขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าสัตว์ปีก รวมทั้งประชาชน อย่านำสัตว์ปีกที่กำลังป่วย หรือมีอาการผิดปกติ หรือซากสัตว์ปีกมาชำแหละประกอบอาหาร เนื่องจากหากสัตว์ปีกติดเชื้อไข้หวัดนก อาจทำให้โรคติดสู่คนได้ ขอให้ประชาชนแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที เพื่อทำการส่งตรวจวิเคราะห์เชื้อทางห้องปฏิบัติการอย่างไรก็ดี การเฝ้าระวังไข้หวัดนกของประเทศไทย เป็นการทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของ 3 กระทรวง คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกระทรวงสาธารณสุขเฝ้าระวังในคน กระทรวงเกษตรฯ คือกรมปศุสัตว์ เฝ้าระวังในสัตว์ และกระทรวงทรัพยากรฯ เฝ้าระวังในสัตว์ปีกธรรมชาติสำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 ทั่วโลกในปี 2556 นี้ องค์การอนามัยโลกรายงานผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อใน 3 ประเทศคือ กัมพูชา จีน และอียิปต์  มีผู้ป่วยรวม 10 ราย เสียชีวิต 7 ราย และตั้งแต่ปี 2546-2556 มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกรวม 620 ราย เสียชีวิต 367 ราย ใน 15 ประเทศ.

พม.ลุ้นของบฯ2พันล้านดูแล-สร้างอาชีพผู้สูงอายุ

พม.ลุ้นของบฯ2พันล้านดูแล-สร้างอาชีพผู้สูงอายุ
พม.ลุ้นของบฯ2พันล้านดูแล-สร้างอาชีพผู้สูงอายุ ใน 15 ปีข้างหน้าให้ครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน...นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวตอนหนึ่งในพิธีเปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี 2556 ภายใต้แนวคิด “ผู้สูงวัยใส่ใจสุขภาพ” ว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 13 และคาดว่าใน 15 ปีข้างหน้า จะเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลเร่งผลักดันและระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนในการสร้างหลักประกันด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ ตลอดจนการจัดสวัสดิการต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้กับผู้สูงอายุอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เช่น การจัดให้มีการบริการพิเศษ 70 ปี ไม่มีคิว การส่งเสริมการสร้างงาน ให้โอกาสผู้สูงอายุทำงานในวัยเกษียณ นอกจากนี้พม.ยังได้เสนอของบประมาณเพิ่มเติมในการดูแลผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ และฝึกฝนผู้สูงอายุเพื่อเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม และส่งเสริมอาชีพ ประมาณ 2 พันล้านบาทนพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย นำข้อเสนอจากเวทีสมัชชาผู้สูงอายุระดับชาติ ปี 2556 เสนอต่อรัฐบาลว่า ที่ประชุมมีมติเลือกการเสริมสร้างสังคมผู้สูงอายุไทยให้มีคุณภาพใน 4 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านสุขภาพ ขอให้มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค 2.ด้านเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการสร้างหลักประกันด้านเศรษฐกิจด้วยระบบบำนาญอย่างบูรณาการ 3.ด้านสังคม มุ่งเน้นการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ และ 4.ด้านการศึกษา ขอให้มุ่งเน้นการพัฒนาผู้สูงอายุด้านการศึกษาตลอดชีวิต.

วอน สพฐ.คลายกฎหนุนครูสอนนอกห้อง

วอน สพฐ.คลายกฎหนุนครูสอนนอกห้อง
วอน สพฐ.คลายกฎหนุนครูสอนนอกห้อง เปิดโลกกว้างดึงเด็กรักการอ่าน ชี้ตั้งคำถามโดนใจกระตุกต่อมคิด...จากการเสวนาเรื่องผู้นำการเรียนรู้สู่สังคมนักอ่าน จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษา สสค. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าผู้ใหญ่รวมทั้งตนด้วย หากเกิดพร้อมเด็กในยุคปัจจุบันก็อาจจะไม่ชอบอ่านหนังสือ เพราะมีสื่ออื่นที่น่าสนใจมากกว่าหนังสือ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก เกมออนไลน์ แต่ตนก็มั่นใจว่า การรณรงค์ให้เด็กไทยหันกลับมารักการอ่าน เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก ปัจจัยสำคัญคือ วิธีการเรียนรู้ โดยครูต้องหาเวลาที่จะเปิดโลกรอบตัวเด็ก ตั้งคำถามที่น่าสนใจให้เด็กเกิดความคิด ท้าทายจินตนาการ และให้เด็กได้ตั้งคำถามกลับมาที่ครูด้วย ที่ผ่านมามีการสอนยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นวิชาที่ส่งเสริมให้เด็กรู้จักตั้งคำถามวิจัย และค้นคว้าประวัติของชุมชนตนเองซึ่งได้ผลมาก เพราะเด็กต้องอ่านหนังสือจำนวนมาก จึงจะทำวิจัยแต่ละชิ้นได้สำเร็จ ซึ่งนำไปสู่การรักการอ่านของเด็กโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ทุกภาคส่วนก็ต้องจัดหาหนังสือดีให้เด็กเข้าถึงได้ ขณะที่ครูก็จะทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง หรือผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้เด็กต่อข้อถามถึงข้อจำกัดของครูในการส่งเสริมให้เด็กรักการอ่านนั้น ที่ปรึกษา สสค. กล่าวว่า ครูเป็นบุคคลที่น่าเห็นใจ เพราะต้องทำตามที่หลักสูตรกำหนด รวมไปถึงเกณฑ์การวัดและประเมินผล และการสอบวัดความรู้ระดับชาติต่างๆ ทำให้ครูเหลือเวลาน้อยมากที่จะเปิดโลกรอบตัวของเด็ก รวมทั้งการพาเด็กๆออกเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือเรียนรู้จากชุมชน ทั้งยังมีเกณฑ์กำหนดให้ครูต้องดูแลความปลอดภัยของเด็ก ทำให้ครูไม่กล้านำเด็กออกมาเรียนรู้นอกห้องเรียน ซึ่งเรื่องนี้ควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันทั้งของครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง เพราะเป็นเรื่องจำเป็นที่เด็กต้องเรียนรู้จากชุมชน ตนจึงอยากเรียกร้องสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกระทรวงศึกษาธิการ ช่วยผ่อนคลายกฎเกณฑ์ดังกล่าว ครูจะได้กล้าที่จะนำเด็กออกเรียนรู้นอกห้องเรียน.

Thursday, April 4, 2013

สอศ.เปิดปริญญาตรีไม่กระทบเอกชน

สอศ.เปิดปริญญาตรีไม่กระทบเอกชน
นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้มีการจัดตั้ง 19 สถาบันการอาชีวศึกษาขึ้นทั่วประเทศ และเตรียมที่จะเปิดสอนในระดับปริญญาตรีด้วยนั้น ตนคิดว่าการเปิดสอนระดับปริญญาตรีของสถาบันการอาชีวศึกษาจะส่งผลดีต่อการจัดการอาชีวศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และมั่นใจว่าจะไม่มี ผลกระทบใดๆเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน เพราะทั้ง สอศ. และ สช.ต่างก็มีการทำงานร่วมกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมการในบอร์ดของ กช. และคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ก็มีตัวแทนของ กันและกันเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงแทนกันอยู่แล้วเลขาธิการ กช. กล่าวอีกว่า  ส่วนเรื่องหลักสูตรบางหลักสูตรที่อาชีวศึกษาเอกชนเปิดสอนอยู่ในขณะนี้และมีหลายฝ่ายเป็นห่วงว่าในบางสาขาอาจจะไม่สามารถไปสมัครเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้นั้น ยืนยันว่าไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะสถานศึกษา อาชีวศึกษาเอกชนก็ใช้หลักสูตรการจัดการเรียนการสอนเดียวกับที่สถานศึกษาในสังกัด สอศ.เปิดสอนอยู่แล้ว ดังนั้น เชื่อว่าสามารถที่จะเรียนต่อได้แน่นอน.

สส.ทำฮับสิ่งแวดล้อมรับอาเซียน

สส.ทำฮับสิ่งแวดล้อมรับอาเซียน
เมื่อวันที่ 4 เม.ย.กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จัดงานสถาปนา 21 ปี สส. ภาย ในงานมีกิจกรรมต่างๆเช่น พิธีมอบโล่เกียรติคุณแก่อดีตผู้บริหาร ข้าราชการ และลูกจ้างดีเด่นรวมไปถึงมีการออกร้านตลาดนัดสีเขียว นำสินค้าที่รักษาสิ่งแวดล้อมมาจำหน่ายกับผู้สนใจและจัดเวทีวิชาการหลายเวที โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดี สส. กล่าวว่า ระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา สส.ทำงานต่างๆมากมาย โดยเฉพาะการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการจัดการขยะมูลฝอยโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน โครงการชุมชนปลอด ขยะ หรือขยะเป็นศูนย์ ส่วนผลงานการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชนและการสร้างภาคีเครือข่าย เช่น การสร้างเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสม.) โดยดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ.2553 ถึงปัจจุบัน มี ทสม. ทั่วประเทศครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด มีสมาชิกประมาณ 150,000 รายนายจตุพรกล่าวต่อว่า ที่สำคัญ เร็วๆนี้ สส.จะตั้งศูนย์ปฏิบัติการและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสาร การรายงานสภาพแวดล้อมในกลุ่ม 10 ประเทศอาเซียนเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 หรือเป็นฮับด้านสิ่งแวดล้อมของอาเซียน โดยจะเสนอนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทส.

อาชีวะอ้าแขนรับ ปวช.รอบสอง 20-30 เม.ย.นี้

อาชีวะอ้าแขนรับ ปวช.รอบสอง 20-30 เม.ย.นี้
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้เปิดรับสมัครนักเรียน นักศึกษา เพื่อเข้าศึกษาต่อสถานศึกษาในสังกัด สอศ. ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประจำปีการศึกษา 2556 ระหว่างวันที่ 15-19 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น ได้รับรายงานผลการรับนักเรียน นักศึกษาดังนี้ ระดับ ปวช. ตั้งเป้าไว้ 128,687 คน มาสมัครทั้งสิ้น 66,464 คน ยังต่ำกว่าแผนประมาณ 60,000 คน ระดับ ปวส. ตั้งเป้า 188,956 คน มาสมัคร 148,223 คน ยังต่ำกว่าแผนอีก 40,000 คน สำหรับสาขาที่มีผู้สนใจมาสมัครเป็นจำนวนมากได้แก่  สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว  ร้อยละ 97.13 รองลงมาเป็นสาขาพาณิชยกรรม ร้อยละ 80.26 สาขาอุตสาหกรรม ร้อยละ 79.72 สาขาคหกรรมศาสตร์ ร้อยละ 75.5 และสาขาเกษตรกรรม ร้อยละ 45.61เลขาธิการ กอศ. กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ สอศ.มีกำหนดการให้นักเรียน นักศึกษาไปรายงานตัว ในวันที่ 7 เม.ย.นี้ และจะสำรวจที่นั่งว่างอีกครั้ง ในวันที่ 10 เม.ย.นี้ จากนั้นจะเปิดรับสมัครรอบ 2 ในวันที่ 20-30 เม.ย.นี้ พร้อมกันนี้ สอศ. มีนโยบายให้สถานศึกษาทุกแห่งรับนักเรียนที่เรียนชั้นม.3 แต่ยังไม่จบการศึกษา เนื่องจากติด ร หรือติด มส ได้เข้าเรียนต่อในสถานศึกษาสังกัด สอศ. แต่จะมีสถานภาพเป็นนักเรียน ปวช.โดยสมบูรณ์เมื่อเรียนจบชั้น ม. 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนการรับนักศึกษาระดับ ปวส.นั้น ให้สถานศึกษาเป็นผู้พิจารณาดำเนินการรับตามความเหมาะสม แต่ทั้งนี้ต้องให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 พ.ค.นี้

Wednesday, April 3, 2013

สธ.ออกมาตรการคุมเข้มไข้หวัดนกเอช 7 เอ็น 9

สธ.ออกมาตรการคุมเข้มไข้หวัดนกเอช 7 เอ็น 9
จากกรณีที่คณะกรรมการวางแผนครอบครัวและสุขภาพของประเทศจีนระบุว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดนกชนิดเอช 7 เอ็น 9 (H7N9) และเสียชีวิต 2 ราย โดยอาการติดเชื้อเริ่มจากมีไข้สูง ไอและปอดอักเสบรุนแรง หายใจลำบาก นั้น นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO (ฮู) พบว่าขณะนี้มีผู้ป่วยไข้หวัดนกสายพันธุ์ H7N9 แล้ว 7 ราย และเสียชีวิต 2 ราย ซึ่งเป็นการติดเชื้อจากสัตว์สู่คนและไม่พบรายงาน ว่ามีการติดเชื้อจากคนสู่คน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายในการควบคุม โดยทาง สธ.ได้มีมาตรการควบคุมสถานการณ์เบื้องต้น คือ 1. ในกลุ่มสัตว์ป่า เช่น นก หากพบป่วยตายแบบผิดปกติก็จะมีการเก็บตัวอย่างอุจจาระมาเพาะ เชื้อเพื่อหาสาเหตุการตาย 2. ในฟาร์มเลี้ยงทุกฟาร์มต้องมีสัตวแพทย์คอย ดูแล 3. สัตว์ที่ประชาชนเลี้ยงหากพบการป่วยตายผิดปกติเบื้องต้นให้แจ้ง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข้าตรวจสอบ และ 4. ประชาชนที่ป่วยไอและมีอาการทางปอดไข้สูงเกิน 3 วัน ให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการ ตรวจเชื้อ โดย สธ.ได้กำชับให้ทุกคนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอให้ประชาชนมั่นใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าเป็นห่วง และเพื่อความไม่ประมาท สธ.ยังมีมาตรการเตรียมความพร้อมทั้งการเตรียมพร้อมห้องตรวจเพาะเชื้อและการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของ สำนักระบาดวิทยาเพื่อหาแนวทางควบคุมต่อไป.

ม็อบลูกจ้างชั่วคราว สพฐ.บุกทวงสัญญา อัดอั้นหวั่นถูกเลิกลอยแพ ก.ย.นี้

ม็อบลูกจ้างชั่วคราว สพฐ.บุกทวงสัญญา อัดอั้นหวั่นถูกเลิกลอยแพ ก.ย.นี้
“พงศ์เทพ” รับหลักการรอชงเข้า ครม.เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 3 เม.ย. ที่บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) บรรดาลูกจ้างชั่วคราวสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งประกอบด้วยลูกจ้างโครงการพัฒนาครูทั้งระบบ โครงการคืนครูให้นักเรียน โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และโครงการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ กว่า 200 คน นำโดยนายอมรัตน์ ทองสาคร ประธานเครือข่ายลูกจ้างชั่วคราว สพฐ. ได้มาเรียกร้องสิทธิ และทวงสัญญาจากรัฐบาลที่เคยรับปากจะช่วยเหลือลูกจ้างชั่วคราวให้มีความมั่นคงในชีวิตนายอมรัตน์กล่าวว่า พวกตนเคยมายื่นข้อเรียกร้องต่างๆ หลายครั้งแล้ว โดยขอให้มีการต่อสัญญาจ้างให้กับลูกจ้างชั่วคราวสังกัด สพฐ.ทุกโครงการ และขอให้ได้รับสิทธิเงินเพิ่มค่าครองชีพปริญญาตรี 15,000 บาท ตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งให้บรรจุเป็นพนักงานราชการเมื่อทำงานครบ 3 ปี เพื่อให้เกิดความมั่นคงในหน้าที่ แต่ที่ผ่านมาพวกตนไม่เคยได้รับการเยียวยาอย่างที่รับปากไว้ มีแต่การโปรยยาหอมทุกครั้งไป จึงต้องรวมตัวกันมาทวงสัญญา เนื่องจากขณะนี้ทางเขตพื้นที่การศึกษาได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียน แจ้งให้ทราบว่าจะเลิกสัญญาจ้าง โดยเฉพาะโครงการพัฒนาครูทั้งระบบในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ด้วยด้านนายพิธาน พื้นทอง รักษาการผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สพฐ. กล่าวว่า ได้ประสานกับนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวแล้ว ซึ่งนายพงศ์เทพได้รับในหลักการที่จะนำเรื่องการต่อสัญญาจ้างเข้าพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ต้องดูผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาด้วย ส่วนเงินเดือน 15,000 บาทนั้น เรื่องนี้ ศธ.ได้นำเสนอต่อ ครม.แล้ว แต่ต้องพิจารณาไปพร้อมกับลูกจ้างในสังกัดอื่นๆ ทั่วประเทศด้วย สำหรับการบรรจุเป็นพนักงานราชการนั้น สพฐ.รับที่จะนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) ระบบเกี่ยวกับตำแหน่ง ที่ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เพื่อขอ อนุมัติสิทธิพิเศษให้ลูกจ้างชั่วคราวสามารถสอบบรรจุ เป็นพนักงานราชการได้ ในสัดส่วน 25% ของอัตราว่าง.

พบวิธีเผด็จศึก โรคมะเร็งทั้งฝูง

พบวิธีเผด็จศึก โรคมะเร็งทั้งฝูง
วารสาร “วิทยาศาสตร์” ของสหรัฐฯ รายงานว่า นักวิจัยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดค้นพบยาที่สามารถรักษามะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ สมอง ตับและต่อมลูกหมาก ให้หาย หรือทำให้หดเล็กลงได้นักวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนแพทย์คนหนึ่งจาระไนให้ฟังว่า “เราได้พบในการศึกษาว่าเมื่อมะเร็งเข้าตัวเราได้แล้ว แม้แต่ภูมิคุ้มโรคก็ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่ว่าจะขัดขวางไม่ให้เติบโต และป้องกันไม่ให้ลุกลามออกไปได้” แต่ได้พบหนทางใหม่ที่จะจัดการกับมัน และยังพบว่าสารเคมีใหม่นี้สามารถรับมือกับโรคมะเร็งทั้งฝูงได้เขาเปิดเผยต่อไปว่า เหตุที่ร่างกายไม่อาจจะต่อต้านเซลล์มะเร็งได้ ก็เพราะมันมีวิธีปกป้องตัวเองจากระบบภูมิคุ้มโรค โดยการชูธงหรือเครื่องหมายบอกว่า “เราเป็นมิตร อย่าทำอะไรเรา” ซึ่งวิธีแบบนี้เซลล์สำคัญอื่นๆในตัวเรา อย่างเซลล์โลหิตก็มีใช้อยู่แล้วนักวิจัยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้พบวิธีที่จะสกัดมันไม่ให้ส่งสารนี้ได้ โดยส่งภูมิต้านทานเฉพาะไปรับหน้าแทน ซึ่งจะเข้าทำลายมันลง ในการทดลองครั้งหลัง ยังได้พบว่าวิธีนี้จะสามารถปราบมะเร็งได้หลายชนิด แต่ยังจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะนำมาใช้กับมนุษย์ได้.

Tuesday, April 2, 2013

สหรัฐยังติดใจ ภัยโทรศัพท์มือถือ

สหรัฐยังติดใจ ภัยโทรศัพท์มือถือ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมของสหรัฐฯ ยังคงสอดส่องปัญหาว่า คลื่นความถี่วิทยุของโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อประชาชนหรือไม่ ซึ่งภัยของการแผ่รังสีของมัน ยังเป็นสิ่งที่วิตกกันอยู่ คณะกรรมการโทรคมนาคมรัฐบาลกลาง เปิดเผยว่า ยังคงสดับตรับฟัง ความเห็นของสำนักและผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขดูว่า ควรจะปรับปรุงมาตรฐาน การจำกัดขอบเขตการแผ่รังสีของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า โดยเฉพาะที่อาจจะมีต่อเด็กหรือไม่ คณะกรรมการเคยทบทวนหนก่อนไปเมื่อ พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นเวลา ก่อนที่จะมีโทรศัพท์อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง อย่างในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่อาจจะตัดสินใจได้ว่า คลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือเป็นอันตรายกับสมองหรือร่างกายมนุษย์ส่วนอื่นหรือไม่ ยังคงศึกษาไปอยู่เรื่อยๆ ขณะที่ปริมาณโทรศัพท์มือถือในมือของคนอเมริกัน ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นร้อยๆ ล้านเครื่องแล้ว.

เด็กไทยป่วยออทิสติกพุ่งเฉียด 2 แสนราย สธ.เปิดรพ.กว่าหมื่นแห่งคัดกรอง

เด็กไทยป่วยออทิสติกพุ่งเฉียด 2 แสนราย สธ.เปิดรพ.กว่าหมื่นแห่งคัดกรอง
กระทรวงสาธารณสุข เผยเด็กไทยอายุ 0-18 ปี ป่วยเป็นโรคออทิสติกเกือบ 2 แสนคน แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบ 10 ปี เร่งให้คลินิกสุขภาพเด็กดีทั่วประเทศกว่า 10,000 แห่ง ตรวจคัดกรองหาเด็กที่มีพัฒนาการภาษา สังคม และพฤติกรรมผิดปกติ แนะสังเกตเด็กต่ำกว่า 3 ขวบ หากไม่สบตา ไม่ชี้นิ้ว พูดซ้ำๆ ให้รีบพบแพทย์ทันที...         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์  อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดงานรณรงค์วันออทิสติกโลก และการประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดทำแนวทางการดูแลบุคคลออทิสติกแบบบูรณาการ เนื่องด้วยสหประชาชาติประกาศให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปีเป็นวันออทิสติกโลก ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิต โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย) จัดงาน “ภาคีร่วมใจ เปิดโลกต่างใบ เข้าใจออทิสติก” รณรงค์ให้ประชาชนและสังคมได้รู้จักเข้าใจภาวะออทิสติกมากขึ้น และจัดระบบการดูแลค้นหาเด็กที่มีภาวะเสี่ยงให้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้เร็วขึ้น และพัฒนาศักยภาพจนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคม เรียนหนังสือและประกอบอาชีพได้   นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า โรคออทิสติก ไม่ใช่โรคปัญญาอ่อน แต่เป็นโรคที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางสมองที่ล่าช้า 3 ด้านคือด้านสังคม ภาษาและพฤติกรรม พบตั้งแต่กำเนิด สังเกตพบได้ก่อนเด็กอายุ 3 ขวบ จากการติดตามสภาพปัญหาในระยะ 10 ปีมานี้ พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างมากทั่วโลก เป็นปัญหาเร่งด่วนของพัฒนาการล่าช้าของเด็กที่ต้องเร่งแก้ไข  โดยผลสำรวจระบาดวิทยาของโรคนี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อปี 2547 พบความชุกร้อยละ 0.1 ในเด็กอายุ 0-5 ปี ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกพบความชุกโรคออทิสติกเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในสหรัฐอเมริกาปี 2553 พบความชุก 1 ต่อ 88 ซึ่งคาดว่ามีเด็กไทยอายุ 0-18 ปี มีอาการออทิสติกประมาณ 188,860 คน พบได้ทั้งคนจนและคนรวย แต่ปัญหาที่ผ่านมาพบว่า เด็กที่ป่วยเข้าถึงบริการได้น้อยมากประมาณร้อยละ 15 เนื่องจากลักษณะเด็กกลุ่มนี้ มีหน้าตาน่ารักเหมือนเด็กปกติทั่วไป ไม่มีลักษณะหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ แต่สื่อสารไม่ได้ ประชาชนจึงเข้าใจว่าเป็นปัญญาอ่อนและเลี้ยงดูกันเอง ไม่ได้พาไปพบแพทย์ ทั้งๆ ที่โรคนี้รักษาได้ และปัจจุบันมีเด็กออทิสติกที่ประสบผลสำเร็จ เป็นแพทย์ วิศวกร และมีอยู่ในเกือบทุกวิชาชีพ          นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจัดบริการใกล้บ้านที่สุด โดยตั้งคลินิกส่งเสริมพัฒนาการสำหรับเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้าและเด็กออทิสติก ในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทุกจังหวัดรวม 833 แห่ง โดยให้สถานบริการในสังกัดทุกระดับทั่วประเทศที่มีประมาณ 10,583 แห่ง ตั้งแต่โรงพยาบาลศูนย์ ลงไปจนถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพิ่มการตรวจคัดกรองหาภาวะออทิสติกในคลินิกสุขภาพเด็กดี (Well child clinic) ซึ่งให้บริการฉีดวัคซีนและติดตามพัฒนาการเด็กหลังคลอดทุกคนจนถึงอายุ 5 ปี โดยให้ตรวจเมื่อเด็กอายุ 1 ขวบครึ่งขึ้นไป เนื่องจากหากตรวจพบตั้งแต่ช่วง 2 ขวบปีแรก จะทำให้ผลการรักษาดีมาก แม้ไม่หายขาดแต่เด็กจะมีพัฒนาการด้านต่างๆ ดีขึ้น ช่วยเหลือตนเองได้ เข้าโรงเรียนได้ตามวัย ตั้งเป้าให้ครอบคลุมเด็กที่มีปัญหาอย่างน้อยร้อยละ 70ทางด้านนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า โรคออทิสติกเป็น 1 ใน 4 ของโรคทางจิตเวชในเด็ก ที่กรมฯมีนโยบายเพิ่มการเข้าถึงบริการฯ มักพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง 4 เท่า เด็กกลุ่มนี้จะต้องได้รับบริการคัดกรองหาความผิดปกติ และบำบัดรักษากระตุ้นพัฒนาการ และการปรับพฤติกรรมอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งเด็กออทิสติกมีความผิดปกติทางภาษาและสังคม จะแตกต่างกันที่ไอคิว โดยพบว่าร้อยละ 40 มีไอคิวปกติใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติในจำนวนนี้ร้อยละ 10 เป็นอัจฉริยะในบางด้าน เช่น การวาดภาพ หรือเล่นดนตรี อีกร้อยละ 20 มีไอคิวต่ำระดับน้อยถึงปานกลาง (50-69) เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนร่วมและฝึกอาชีพได้ อาจมีปัญหาพฤติกรรมร่วมด้วย ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 40 มีไอคิวต่ำกว่า 50 เป็นเด็กที่ชอบแสดงอาการก้าวร้าวแบบรุนแรง ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องผู้ปกครองสามารถสังเกตพบอาการออทิสติกได้ก่อนที่เด็กจะมีอายุ 3 ปี หรือเริ่มสังเกตอาการได้ชัดเจนเมื่ออายุประมาณ 1 ปีครึ่งขึ้นไป อาการหลักๆ คือพัฒนาการช้าใน 3 ด้านเช่น 1.ด้านสังคม เด็กจะไม่ยอมสบตา ไม่ชอบมองหน้าคนอื่น ไม่สนใจมองตามเมื่อเราเรียกชื่อ ไม่สนใจผู้อื่น ไม่ชี้นิ้วสั่งหรือบอกเมื่อต้องการของที่อยากได้ 2.ด้านภาษาเช่น เริ่มพูดได้ช้ากว่าเด็กปกติ หรือพูดได้แต่ไม่เป็นภาษา ฟังไม่รู้เรื่อง ชอบพูดคำเดิมๆ ซ้ำๆ ทั้งวัน  และ 3.ด้านพฤติกรรม เช่น ชอบอยู่ในโลกส่วนตัว มีพฤติกรรมซ้ำๆ ที่ไม่เหมาะสม ชอบมองวัตถุที่หมุนตลอดเวลา เช่น พัดลมหรือของเล่นที่หมุนๆ หากเด็กมีอาการที่กล่าวมา ขอให้รีบพาไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน  นายแพทย์วชิระ กล่าวต่อว่า สำหรับในการตรวจคัดกรองค้นหาเด็กนั้น กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาแบบตรวจมาตรฐาน ในเด็กอายุ 1-4 ปี เป็นแบบคำถาม 10 ข้อ แจกไปยังสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง และจัดอบรมแพทย์ เจ้าหน้าที่พยาบาลทั่วประเทศ หากตรวจพบภาวะเสี่ยง คือตอบตรงกับคำตอบในชุดคัดกรองตั้งแต่ 5 ข้อขึ้นไป จะส่งเข้ารับการบำบัดรักษา ส่งเสริมพัฒนาการ ปรับแก้พฤติกรรม และการบำบัดรักษาด้วยยา ซึ่งจะเพิ่มความสามารถทางภาษาและสติปัญญาได้ และให้ผลในการรักษาระยะยาวดีขึ้น โดยต้องประเมินเด็กเป็นระยะๆ และวางแผนรักษาดูแลที่เหมาะสม ร่วมกับครู บุคลากรทางการแพทย์ และพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อดูแลอย่างเหมาะสมตลอดชีวิต

ร้านหมอฟันทำ เมืองอลหม่าน

ร้านหมอฟันทำ เมืองอลหม่าน
ร้านหมอฟันแห่งหนึ่งในเมืองทัลซา รัฐโอกลาโฮมาของอเมริกา สร้างความโกลาหล ให้กับผู้เคยเป็นคนไข้จำนวน 7,000 คน เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประกาศเตือนชาวเมืองให้ไปตรวจว่า จะติดโรคเอดส์ โรคตับอักเสบชนิดบี หรือซี ด้วยหรือไม่ ทางสภาทันตแพทย์ของรัฐ ได้ไปสอบสวนการดำเนินงานของคลินิกหมอเวย์น ฮาร์ริงตัน หลังจากได้รับการร้องเรียนการติดโรคเมื่อกลางเดือนที่แล้ว และได้พบเบาะแสมากมาย ตั้งแต่การใช้เครื่องมือเครื่องไม้ที่เป็นสนิมกับคนไข้ที่เป็นโรค และการเทผงฟอกขาวใส่แผลจนแผลซีด เจ้าหน้าที่แจ้งว่า จะได้มีหนังสือไปถึงบรรดาคนไข้ของคลินิกแห่งนี้ทุกคน ให้มารับการตรวจโรค โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดทางศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า การไปทำฟัน แล้วติดโรคเอดส์ และโรคตับอักเสบชนิดบี หรือซี นั้น เป็นเรื่อง “ยากมาก”ดังที่เคยเกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้ เมื่อชาวเมืองโคโลราโด 8,000 คน ถูกเตือนให้ไปตรวจโรค เนื่องจากพบว่าทันตแพทย์บางคนนำเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วมาใช้อีก ซึ่งอาจทำให้คนไข้ติดเชื้อไวรัสจากเลือดได้ เมื่อ พ.ศ.2555 แต่ก็ไม่ปรากฏจนรายเดียว.

Monday, April 1, 2013

จี้ปรับหลักสูตรพื้นฐานแก้เด็กตกงาน

จี้ปรับหลักสูตรพื้นฐานแก้เด็กตกงาน
ผศ.ดร.สุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ในฐานะประธานสภาคณบดี คณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เปิดเผยว่า การปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เหมาะสม ต้องเป็นหลักสูตรที่ช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน และช่วยให้บัณฑิตมีคุณภาพ โดยต้องสอนให้เด็กรู้จักตนเอง และเลือกอาชีพได้ก่อนจบ ม.3 หลังจากนั้นให้ เลือกเรียนในสายที่เหมาะสมกับความถนัด ความสามารถ และจะทำให้มีงานทำเลี้ยงชีพได้ หลังสำเร็จการศึกษาภาคบังคับแล้ว ผู้เรียนต้องมีทางเลือก 3 ทาง คือ 1.สายวิชาการ อาทิ แพทย์ เภสัชกร ผู้พิพากษา เป็นต้น 2.สายอาชีพ อาทิ ช่างอุตสาหกรรม ช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสายอาชีพเฉพาะทาง เช่น ตำรวจ ทหาร 3.สายประกอบอาชีพ สำหรับผู้มีความสามารถเป็นพิเศษ เช่น นักกีฬา ศิลปิน นักร้อง นักแสดง จะเข้าสู่อาชีพที่มีรายได้มั่นคงประธาน ส.ค.ศ.ท.กล่าวอีกว่า หากผู้เรียนต้องการทำงานสายวิชาการก็ให้เข้าเรียนสายสามัญ ซึ่งไม่ควรเกินร้อยละ 40 ของนักเรียนทั้งประเทศ ผู้ที่ต้องการมีอาชีพให้เรียนสายอาชีพ ส่วนสายประกอบอาชีพ ก็เรียนนอกระบบ และตามอัธยาศัย อาชีพทั้ง 3 เส้นทาง มีระบบที่ให้ศึกษาต่อจนถึง ป.เอกได้ ทั้งนี้ หลักสูตรพื้นฐานจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของประเทศ ตราบใดที่นักเรียนสายสามัญศึกษายังมีมากกว่าร้อยละ 60 เหมือนปัจจุบัน ก็จะเกิดปัญหาแย่งชิงที่เรียน เด็กที่จบจำเป็นต้องเรียนต่อ ป.ตรี ทำให้มหาวิทยาลัยไม่มีคุณภาพในการรับเด็ก ปัจจุบันเด็กไม่รู้จักตนเอง ครูก็ไม่รู้จักนักเรียน พ่อแม่ก็ต้องส่งลูกเรียนสายสามัญไว้ก่อน ในที่สุดก็จะตกงาน.

เครื่องป้องกันตายสะกิดให้รู้หัวใจวาย

เครื่องป้องกันตายสะกิดให้รู้หัวใจวาย
นักประดิษฐ์อุปกรณ์การแพทย์สวิตฯ ได้ประดิษฐ์เครื่องเตือนบอกอาการหัวใจจะวาย ให้รู้ก่อนหน้าได้หลายชั่วโมง มีขนาดเล็ก สามารถผ่าตัดใส่ยัดไว้ใต้ผิวหนังได้เครื่องทำงานโดยควรตรวจวัดโปรตีน น้ำตาลและกรดอินทรีย์ในเลือด ทำให้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพที่สำคัญเครื่องยังใช้กับคนไข้โรคมะเร็ง หรือเบาหวานเรื้อรัง ให้มันคอยเฝ้าอาการ และแจ้งเตือนให้รู้ก่อนที่จะปรากฏอาการขึ้นได้ทีมผู้ประดิษฐ์คนหนึ่งกล่าวว่า เครื่องใช้งานได้อย่างกว้างขวาง มันสามารถบอกให้รู้ว่าหัวใจจะวายขึ้นได้ก่อนหน้าได้หลายชั่วโมง เพราะเมื่อหัวใจเจ็บป่วย มันจะขับสารในกระบวนการสร้างและสลายออกมา.

ดาวหางเพชฌฆาตกวาดล้างไดโนเสาร์

ดาวหางเพชฌฆาตกวาดล้างไดโนเสาร์
นักวิทยาศาสตร์ฟันธงว่า ก้อนหินจากนอกโลก ซึ่งเข้าถล่มโลกของเราเมื่อ 65 ล้านปีก่อน จนเป็นเหตุให้สัตว์พวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์ลงหมด จะต้องเป็นดาวหาง ที่ทะยานมาอย่างรวดเร็วนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า หลุมยักษ์ “ชิกซูคลับ” โต 180 กม. ในเม็กซิโก เกิดจากก้อนอุกกาบาตยักษ์ที่ตกใส่โลก ทำให้ไดโนเสาร์และพันธุ์สัตว์ต่างๆ บนโลก ถูกทำลายลงมากถึงร้อยละ 70ในที่ประชุมวิทยาศาสตร์ของดาวนพเคราะห์ ที่อเมริกา ได้มีนักวิทยาศาสตร์แสดงความเห็นใหม่ ว่าหลุมยักษ์แห่งนั้น อาจจะเกิดจากวัตถุที่เล็กกว่า เพราะหลักฐานของการชนกัน ที่ได้จากชั้นตะกอนจากทั่วโลก ที่มีแร่อิริเดียมอยู่เป็นปริมาณสูงมาก ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในโลกตามปกติการศึกษาได้เค้าว่า การชนครั้งนั้น ก่อให้เกิดเศษสิ่งที่ถูกทำลายขึ้นน้อยมาก แสดงว่า ก้อนหินอวกาศมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่เมื่อดูขนาดของหลุม “ซิกชูคลับ” แล้ว จะเห็นได้ว่า ก้อนหินนั้นจะต้องทะยานมาราวกับจักรผัน ตามแบบของดาวหางเก่าแก่ ที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ นานเป็นร้อย เป็นพัน หรืออาจจะเป็นล้านปี สักหนหนึ่ง มากกว่า.

Sunday, March 31, 2013

เผย ก.ม.ใหม่ป้องกัน จดหมายเหตุชาติ สกัดลอกเลียน-ขโมยออกนอกประเทศ ตีฆ้องขอทุนสร้างสื่อปลอดภัย

เผย ก.ม.ใหม่ป้องกัน จดหมายเหตุชาติ สกัดลอกเลียน-ขโมยออกนอกประเทศ ตีฆ้องขอทุนสร้างสื่อปลอดภัย
นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการผลักดันเสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. ...เพื่อสร้างสื่อดีให้แก่เยาวชนและสังคม ว่า ขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณารับหลักการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อย่างไรก็ตาม วธ.ได้รับสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 10 ล้านบาท จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดำเนินโครงการให้ทุนสนับสนุนเครือข่ายทุกภาคส่วนที่สนใจผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ แต่ไม่มีทุนทรัพย์ โดยขอรับทุนได้ถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ สอบถามที่ สายด่วน 1765 หรือ www.m-culture.go.th หรือ www.c-me.go.thนางสุรีรัตน์ วงศ์เสงี่ยม รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ขณะนี้ พ.ร.บ. จดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ.2556 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้แล้ว โดยสาระสำคัญคือ มีการกำหนดภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ในการรวบรวมเอกสารต่างๆ และนำมาประเมินคุณค่าว่าอะไรจะต้องเก็บไว้ หรือไม่ต้องเก็บไว้ ทั้งจะทำให้เอกสารจดหมายเหตุได้รับการคุ้มครอง ใครจะมาทำซ้ำ เลียนแบบ จะต้องได้รับอนุญาต ซึ่งกรมศิลปากรจะจัดทำร่างระเบียบข้อ บังคับ หากมีการลักขโมยและขายออกนอกประเทศจะมีความผิดตามกฎหมาย“กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นการคุ้มครองเอกสารสำคัญของชาติ ไม่ให้ตกอยู่ในมือของต่างชาติ ห้ามนำออกนอกประเทศ ห้ามปลอมแปลงเอกสารเพื่อนำไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะที่ผ่านมามีการปลอมแปลงเอกสารจดหมายเหตุหลายฉบับ เพื่อนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์” นางสุรีรัตน์กล่าวและว่า นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้มีกองทุนส่งเสริมงานจดหมายเหตุ ซึ่งอาจจะนำไปจ้างบุคลากรทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถรวบรวมเอกสารข้อมูลได้อย่างครบถ้วน หลังจากนี้ วธ.จะชี้แจงกับทุกหน่วยงานให้เข้าใจกฎหมายฉบับนี้.

ตายเพราะเกลือ ปี 2,300,000 คน

ตายเพราะเกลือ ปี 2,300,000 คน
ที่ประชุมแพทย์สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน ได้รับรายงานว่า การกินเค็มทำให้มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาตและอื่นๆทั่วโลก แค่เมื่อปีพ.ศ.2553 ปีเดียว เป็นจำนวนถึง 2,300,000 คน เทียบเท่ากับร้อยละ 15 ของยอดผู้ถึงแก่กรรม ด้วยทุกสาเหตุทั้งหมดในจำนวนนี้เป็นผู้ชายเสียร้อยละ 60 ผู้หญิง ร้อยละ 40 ส่วนใหญ่นับได้เกือบ 1 ล้านคน หรือเป็นร้อยละ 40 ของยอดรวม เป็นการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของผู้ที่มีอายุไม่เกิน 69 ปี เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวาย เสียร้อยละ 42 โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ร้อยละ 41 นอกนั้น เสียชีวิตเพราะโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบอื่น.

แผ่นดินไหว หลอมทองคำ

แผ่นดินไหว หลอมทองคำ
วารสารวิชาการ “ธรณีศาสตร์” ของสหรัฐฯแจ้งว่า นักธรณีฟิสิกส์ ได้ศึกษาพบว่า แผ่นดินไหวทำให้เกิดแร่ทองคำขึ้นได้ เพราะน้ำที่ไหลร่วงลงไปตามรอยแยกของแผ่นดิน ระเหยกลายเป็นไอ ทิ้งแร่ทองตกตะกอนสะสมไว้ในชั้นเปลือกโลกผลการศึกษาทำให้ทราบถึงกลไกที่ทำให้เกิดการค้นพบแร่โลหะทีี่มีค่ากับแร่หินโป่งข่าม อยู่ปนกันตามแหล่งแร่ทองคำของโลกหลายแห่งนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ของออสเตรเลีย กล่าวในผลการศึกษาว่า เมื่อเกิดแผ่นดินไหว แนวการไหวจะเคลื่อนไปตามรอยแตกของแผ่นดิน ที่เรียกว่ารอยแยกของชั้นหินที่พื้นโลก รอยแยกใหญ่จะประกอบด้วยรอยแยกขนาดเล็ก ยาวไปตามแนวยาวหลายรอย ลึกลงไปตามรอยแยกเหล่านี้ สัก 10 กม. อุณหภูมิจะสูงอย่างไม่น่าเชื่อ บวกกับภายใต้แรงกดอันรุนแรง น้ำซึ่งมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซิลิกา และแร่ธาตุที่มีค่าจะหลอมรวมกันเกิดเป็นทองอยู่เป็นหย่อมๆ.

Blog Archive