Saturday, March 30, 2013

ชงรัฐผุด ไซเบอร์โฮม ส่งไอซีทีถึงบ้าน

ชงรัฐผุด ไซเบอร์โฮม ส่งไอซีทีถึงบ้าน
ภาวิช แจงช่วยแก้คุณภาพครู สสค.ชี้ไทยเผชิญปัญหาแก่-จน-โง่จากการเสวนาวิชาการนานาชาติด้านการศึกษาและประชุมปฏิบัติการเพื่อการปฏิรูปหลักสูตร โดยสำนัก งานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) องค์การยูเนสโก และคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตร ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตร ศธ. กล่าวว่า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ใช้อยู่ปัจจุบันใช้มานานกว่า 12 ปี ศธ.จึงต้องปรับให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเน้นหลักสูตรที่นำไปสู่การปฏิบัติ ทั้งข้อมูลจาก สสค.พบว่า คนกว่า 70% ของประเทศไม่ได้เรียนต่ออุดมศึกษาและต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน ดังนั้น การศึกษาพื้นฐานจึงไม่ควรตอบสนองเพียงแค่เด็กที่เข้าสู่อุดมศึกษา แต่ต้องรวมถึงเด็กกลุ่มใหญ่ของประเทศ และหลังจากที่รัฐบาลปฏิรูปหลักสูตรแล้ว ก็จะปฏิรูปครูต่อ เพราะพบการผลิตครูที่มีจำนวนมากแต่กระทบต่อคุณภาพและการมีงานทำ โดยปัจจุบันเรามีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ถึง 1 ล้านคน และเป็นครูอยู่ในระบบ 600,000 คน หรือครู 1 คน ต่อนักเรียน 19 คน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสม แต่ปัญหาคือความล้มเหลวของการกระจายครู ทำให้ขาดแคลนครูบางพื้นที่ หากมีระบบไอซีทีที่ดีก็จะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ ศธ.จึงกำลังเสนอให้รัฐบาลขับเคลื่อนระบบไอซีที จัดทำระบบไซเบอร์โฮม เพื่อใช้ไอซีทีที่เข้าถึงทุกบ้านด้าน ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รองประธานคณะกรรมการ สสค. คนที่ 2 กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาต้องนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไม่ใช่แค่ปฏิรูปเพื่อการศึกษา เพราะประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ 3 ด้านคือ “แก่ จน และโง่” นั่นคือ 1. ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมวัยชรา สิ่งที่เห็นขณะนี้คือโรงเรียนร้างและการยุบรวมโรงเรียน และอีก 10 ปีข้างหน้าจะเห็น ร.ร.อาชีวะร้าง 2. ความยากจน และ 3.ระดับการศึกษาแรงงานไทยที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ดังนั้น การศึกษาไทยต้องส่งเสริมให้วัยแรงงานได้ศึกษาต่อเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน ใช้โรงเรียนที่ว่างอยู่เป็นที่ฝึกอาชีพ.

วิจัยเด่น ม.ขอนแก่น กระติบข้าวไผ่ตะวัน ต่อยอดธุรกิจชุมชนสู่ตลาดโลก

วิจัยเด่น ม.ขอนแก่น กระติบข้าวไผ่ตะวัน ต่อยอดธุรกิจชุมชนสู่ตลาดโลก
ผลงานเด่นนักวิจัย ม.ขอนแก่น กระติบข้าวไผ่ตะวัน ต่อยอดธุรกิจชุมชน สู่ตลาดการค้าในระดับสากล หลังพัฒนาต่อยอดความคิด ตอบสนองความต้องการของลูกค้า แต่คงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไว้...หลังจากการจัดตั้งกลุ่มกระติบข้าวของชาวบ้านบ้านยางคำ ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2541 ที่ผ่านมา โดยได้รับงบประมาณจากศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียน อ.หนองเรือ เพื่อหารายได้เสริม หลังว่างจากงานประจำก็คือเกษตรกรรม เพื่อผลิตสินค้างานหัตถกรรมจัก โดยมีการขยายเครือข่ายภายในหมู่บ้าน ในรูปแบบของการทำงานเป็นทีม และเดินหน้าพัฒนาศักยภาพของสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และปรับโฉมเครื่องจักสานของหมู่บ้านแห่งนี้ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกที่ขึ้นชื่อของ จ.ขอนแก่นโดย ผศ.ดวงจันทร์ นาชัยสินธุ์ อาจารย์วิชาออกแบบนิเทศศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า จากเดิมชุมชนแห่งนี้ ได้ใช้ภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ด้วยการกำหนดลวดลายที่ใช้ในการจักสานกระติบข้าวด้วยลายดั้งเดิม หรือที่เรียกกันว่า ลายฝาบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ลายคุบ ลายสอง ลายสาม ลายดอกจิก ตลอดจนการทำลวดลายที่ละเอียด และมีการสานที่แน่นหนา อันเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่ม เดิมใช้วัสดุที่เป็นไม้ไผ่ในหมู่บ้าน ทั้งไผ่ไม้ปล้องห่างและไม้ไผ่สีสุก ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงทำให้ผลงานนั้นคล้ายกับผลิตภัณฑ์จากชุมชนต่างๆ ในหลายจังหวัดที่ผลิตขึ้นมาจำหน่ายเช่นกัน ทีมนักวิจัยจึงได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบถึงขั้นตอนการผลิตและร่วมประชุมร่วมกับชาวชุมชน ในการพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบเป็นครั้งที่ 2 โดยร่วมกันสร้างแนวคิดใหม่ให้กับชาวบ้าน ที่อ้างอิงถึงภาวะที่บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของโลก ปัญหาที่พบที่ผ่านมาคือ ผลิตภัณฑ์ขาดรูปแบบใหม่ๆ ความโดดเด่น ขาดลักษณะเฉพาะของรูปแบบ ที่มีความแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ และโครงสร้างของการบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการขาดการส่งเสริมในด้านรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ยังคงเอกลักษณ์พื้นถิ่น และขาดศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดอื่น เอกลักษณ์ในด้านลวดลายดั้งเดิม ที่มีมาแต่บรรพบุรุษ และสามารถนำมาประยุกต์ในรูปแบบสมัยใหม่ ที่ตรงต่อความต้องการของตลาด แต่ยังคงเอกลักษณ์ของลวดลาย การสานที่ละเอียด“การสร้างผลิตภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์ ที่เน้นให้เป็นไปในรูปแบบของการสร้างแนวคิด และสร้างกระบวนการให้เห็นถึงรูปแบบผลิตภัณฑ์ หัตถกรรมจักสานของหมู่บ้านที่มีรูปแบบเฉพาะตัว ด้วยการเปลี่ยนวัตถุดิบมาเป็นไม้ไผ่ตะวัน ซึ่งเป็นไม้ไผ่เฉพาะที่มีสีทอง และมีสีสันที่สวยงามโดดเด่น นำมาผลิตให้เป็นรูปแบบเฉพาะให้กับกลุ่มกระติบข้าว บ้านยางคำ เพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มสินค้าให้มีความโดดเด่น เกิดบุคลิกของสินค้าที่ดี มีความแตกต่างจากคู่แข่ง เป็นที่จดจำและประทับใจ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการบริโภคสินค้าในที่สุด” ผศ.ดวงจันทร์ กล่าวนายกองมี หมื่นแก้ว ประธานกลุ่มจักสานกระติบข้าวไผ่ตะวัน กล่าวว่า ความมีเอกลักษณ์ของชุมชน ทำให้ปัจจุบันกลุ่มฯ มีผลิตภัณฑ์ที่ออกจำหน่ายจากไม้ไผ่สีทองเนื้อดี รูปทรงแปลกตา ไม่ว่าจะเป็นปิ่นโต กระเป๋า รูปหัวใจ วงรี เพื่อให้เป็นกระเป๋าอเนกประสงค์มากกว่าการจักสานกระติบข้าวแบบเดิม อีกทั้งยังคงมีการใช้สีธรรมชาติจากเปลือกไม้มาทำการย้อมไม้ไผ่ในรูปแบบของการจับคู่สีที่ลงตัว ลวดลาย ที่ดูแปลกและสวยงาม ด้วยเทคนิคการย้อมสีพิเศษ เพื่อให้สีไม้ติดทนนาน ขณะเดียวกัน ชาวชุมชนยังคงมีการคิดค้นร่วมกับทีมนักวิจัยในการนำเอาวัสดุ ธรรมชาติที่เหลือใช้ อาทิ การนำหนามไม้ไผ่ ผลน้ำเต้า นำมาสร้างสรรค์เป็นโคมไฟ ที่แขวนชุด เสื้อผ้า รวมไปถึงการแยกผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ออกเป็น 3 รูปแบบ คือ กระติบเดี่ยว สามารถแยกชิ้นและการเก็บรักษาในรูปแบบวางช้อนกันแบบกระติบชุดของฝาก พร้อมฝาปิด-เปิด และห่อหุ้มด้วยชุดหิ้ว แบบกระติบชุดปิกนิก สามารถแยกชุดได้เป็น 4 ชุด พร้อมฝาปิด-เปิด และห่อหุ้มด้วยกล่องเก็บยกชุดของการออกแบบผลิตภัณฑ์ และการออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยใช้แนวคิดของการออกแบบจาก “วัฒนธรรมการกิน” จนทำให้วันนี้กระติบข้าวไม้ไผ่ตะวัน กลายเป็นสินค้าที่ขึ้นชื่อมีลักษณะที่โดดเด่นสวยงาม และยังคงต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เป็นเครื่องจักสานประเภทต่างๆ ที่มีประโยชน์ สามารถที่จะใช้สอยได้ครบทุกตามความต้องการของผู้บริโภค มีความสวยงาม แปลกใหม่ มีการเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม ทันสมัยกลุ่มกระติบข้าวบ้านยางคำได้ความคิดสร้างสรรค์ของการพัฒนารูปแบบที่หลากหลาย ทันสมัยและตรงตามความต้องการของลูกค้าจากแนวคิดวัฒนธรรมการกินที่พัฒนาเป็นแบบกระติบเดี่ยว แบบกระติบชุดของฝาก แบบกระติบชุดปิกนิก อีกทั้งการขยายกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งกระแสของการนิยมสินค้าหัตถกรรมจักสาน การย้อมสีตอกด้วยวัสดุธรรมชาติที่เน้นการจับคู่สีใหม่ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่หลากหลายได้รูปแบบที่เหมาะสม ในด้านประโยชน์ใช้สอย และความสวยงาม องค์ความรู้ที่เหมาะสม ที่เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ วิธีคิด รูปแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลง ต่อตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์จักสานในชุมชนที่ยั่งยืน เพิ่มรายได้ของชุมชนบ้านยางคำในการสร้างมูลค่า อีกทั้งในด้านจิตใจที่สนุก เกิดความภูมิใจกับสิ่งที่ผลิตอย่างมีเป้าหมาย ไฝ่รู้ในการสร้างงาน การออกแบบอย่างต่อเนื่อง สามารถเข้าคัดสรรได้เป็นสินค้า 3 ดาว และยังเป็นตัวแทนของ จ.ขอนแก่น.ผศ.ดวงจันทร์ นาชัยสินธุ์ กล่าวอีกว่า การพัฒนาองค์ความรู้การออกแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกประเภทงานหัตถกรรมจักสาน จากการใช้แนวคิดนิทานพื้นบ้านสินไซ สำหรับหมู่บ้านท่องเที่ยว อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น เป็นวิจัยคุณภาพ เน้นการสำรวจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก ประเภทงานหัตถกรรม จักสาน สำหรับหมู่บ้านท่องเที่ยว อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น ที่มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด และสามารถสู่ตลาดโลกได้ในอนาคต. 

ม.ขอนแก่นเจ๋ง! ผุดประติมากรรมช้าง เพิ่มมูลค่าเศษไม้

ม.ขอนแก่นเจ๋ง! ผุดประติมากรรมช้าง เพิ่มมูลค่าเศษไม้
มหาวิทยาลัยขอนแก่นโชว์ไอเดีย นำเศษไม้เพิ่มมูลค่า ผุดประติมากรรม ช้าง สร้างงานศิลปะ ส่งเสริมให้นักศึกษาและคณาจารย์ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม...ศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตน์ศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ดำเนินโครงการความร่วมมือประติมากรรมกับชุมชน 8 สถาบัน โดยมี ผศ.ดร.ชำนาญ บุญญาพุทธิพงศ์ รองอธิการฝ่ายพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และ รศ.ดร. เฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นที่ปรึกษาโครงการ และ อ.ธวัชชัย ช่างเกวียน อาจารย์ประจำสายวิชาทัศนศิลป์ สาขาวิชาประติมากรรม คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้รับผิดชอบโครงการ และได้ประสานความร่วมมือกับชุมชน 8 สถาบันของมหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดหาและดำเนินการ นำวัสดุไม้ที่ไม่ได้ใช้งาน มาเพิ่มมูลค่า ทั้งยังก่อให้เกิดความงามต่อภูมิทัศน์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และเป็นการเปิดโอกาสและส่งเสริมให้นักศึกษาและคณาจารย์ ได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน สภาพแวดล้อม ได้ฝึกปฏิบัติงานจริงนอกสถานที่ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทัศนคติในการทำงานศิลปะ รวมไปถึงประสบการณ์จริงในการเรียนรู้ร่วมกันกับชุมชนที่เข้าไปสร้างผลงาน เพิ่มทักษะ ความชำนาญในการสร้างสรรค์ผลงานมากขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาความสามารถทั้งในด้านสติปัญญา ความคิด ความเข้าใจต่อเพื่อนมนุษย์ที่ดำรงอยู่ในสังคมนำไปสู่การเป็นบุคคลในสังคมที่ดีต่อไปในอนาคตทางด้าน ผศ.ดร.ชำนาญ บุญญาพุทธิพงศ์ รองอธิการฝ่ายพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน มข.กล่าวว่า โครงการความร่วมมือประติมากรรมกับชุมชน 8 สถาบัน นั้น เป็นการนำเศษไม้จากไม้ล้ม หรือพวกเศษกิ่งไม้ต่างๆ ที่พบอยู่จำนวนมาก ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ควรนำมาใช้ประโยชน์ เช่นเป็นอุปกรณ์ตกแต่งห้องและสถานที่ต่างๆ คณะศิลปกรรมศาสตร์จึงได้จัดโครงการประติมากรรม ประดับภูมิทัศน์ขึ้น โดยนำเอาสิ่งของเหลือใช้แล้วนำมาประติมากรรม ไม้ เป็นสิ่งของเหลือใช้ เพื่อสู่การนำมาใช้ประโยชน์ให้ดีที่สุด รวมไปถึงทำให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ 8 สถาบันที่ได้เข้าร่วมโครงการ เกิดความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วม เสริมสร้างภูมิทัศน์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอย่างในการเรียนรู้นอกสถานที่ ด้านลักษณะผลงานนั้น ได้ตกลงร่วมกันในการทำเป็นรูปช้าง เนื่องจากช้างนับเป็นสัตว์มงคลคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย อีกทั้งยังมีความหมายที่ดี หากนำมาประดับตกแต่งบริเวณสนามหญ้ายังเพิ่มความงดงามให้สถานที่อีกด้วย อีกประการหนึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผู้นำทางด้านปัญญา งานด้านศิลปะก็เป็นการแสดงออกทางปัญญารูปแบบหนึ่ง ซึ่งผู้คนที่เข้ามาในมหาวิทยาลัย ก็จะได้มีโอกาสพบเห็นผลงานของนักศึกษาและบุคลากรอีกด้วย อันเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาและการมีส่วนร่วมของนักศึกษาอีกด้วย ผลงานประติมากรรม โขลงช้าง ที่เสร็จสมบูรณ์ สามารถ เข้าชมได้ที่ บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าอาคารสิริคุณากร สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2556 เป็นต้นไป 

Friday, March 29, 2013

เครื่องวัดความดัน รพ.ไม่ผ่านเกณฑ์

เครื่องวัดความดัน รพ.ไม่ผ่านเกณฑ์
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) ร่วมกับหน่วยงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ดำเนินโครงการ “สถาปนาขีดความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของระบบเครื่องมือวัดความดันโลหิตในประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล” เพื่อยกระดับมาตรฐานเครื่องวัดความดันโลหิต ให้เกิดผลการตรวจวัดที่ถูกต้อง แม่นยำ เบื้องต้นจากการลงพื้นที่สุ่มตัวอย่างในการทวนสอบความใช้ได้ของเครื่องวัดความดันโลหิตในโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กว่า 1,200 เครื่องทั่วประเทศ พบว่ามีเครื่องที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ประมาณ 20% ส่วนใหญ่เกิดจากขาดข้อมูลทางเทคนิคและอุปกรณ์พิเศษเฉพาะรุ่น ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการยกระดับควบคุมเครื่องวัดความดันโลหิตดังกล่าวทั้งในขั้นตอนของการกำหนดเกณฑ์ของเครื่องมือที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ และการกำหนดให้มีระบบการทดสอบตามระยะเวลา สำหรับเครื่อง ที่ใช้ในโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงกำหนดให้มีการทวนสอบการใช้งานทุก 2 ปีรมว.วท.กล่าวต่อว่า มว.ยังให้การสนับสนุนหน่วยงานภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทดสอบเครื่องวัดความดันโลหิต โดยร่วมกับสำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่ง วท.พร้อมผลักดันการพัฒนาวิธีการทดสอบ/สอบเทียบเครื่องมือทางการแพทย์อีกหลายรายการให้สอดคล้องกับวิธีการตามมาตรฐานสากล เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายเป็น Medical Hub ของประเทศไทย.

สสส.สร้างเครือข่าย นักละครชุมชน ทั่วประเทศ

สสส.สร้างเครือข่าย นักละครชุมชน ทั่วประเทศ
นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ รองประธานกรรมการบริหารแผนงานสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากการที่ สสส.ได้ร่วมกับมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) จัดโครงการละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสนับสนุนให้เยาวชนนำทักษะการเล่นละครไปเป็นเครื่องมือสะท้อนปัญหาในชุมชน ระยะที่ 4 พบว่า เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับปัจเจก คือ ผู้ทำกิจกรรมเอง และในชุมชนซึ่งได้พูดคุยถึงประเด็นปัญหาหลังรับฟังการสะท้อนผ่านละคร พร้อมกันนี้โครงการยังได้สร้างเครือข่ายนักละครในแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ เพิ่มเติมจากมูลนิธิสื่อชาวบ้าน ซึ่งการทำกิจกรรมละครชุมชนอย่างต่อเนื่อง ยังทำให้รสนิยมด้านละครของเยาวชนเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ชื่นชอบละครเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียวได้เปลี่ยนเป็นการให้ความสำคัญกับประเด็นที่จะต้องสื่อสารด้วย นอกจากนี้ บางมหาวิทยาลัย อาทิ ม.มหาสารคาม ยังบรรจุวิชาละครชุมชนเป็นวิชาในหลักสูตร และกำลังเป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักศึกษาที่ต้องการพัฒนาศักยภาพการเป็นนักพัฒนานายพฤหัส พหลกุลบุตร หัวหน้าโครงการละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง กลุ่มมะขามป้อม กล่าวว่า กิจกรรมได้สร้างบุคลากรด้านงานละครเพื่อชุมชน โดยพัฒนาจากนักศึกษาผู้ร่วมกิจกรรมมาเป็นพี่เลี้ยงและเป็นนักพัฒนาท้องถิ่น ที่ใช้ละครสื่อสารประเด็นที่เป็นปัญหา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกลุ่มครูในโรงเรียนที่ใช้ละครเป็นหนึ่งในเครื่องมือการเรียนการสอนด้วย.

ชงรัฐผุด ไซเบอร์โฮม ส่งไอซีทีถึงบ้าน

ชงรัฐผุด ไซเบอร์โฮม ส่งไอซีทีถึงบ้าน
ภาวิช แจงช่วยแก้คุณภาพครู สสค.ชี้ไทยเผชิญปัญหาแก่-จน-โง่จากการเสวนาวิชาการนานาชาติด้านการศึกษาและประชุมปฏิบัติการเพื่อการปฏิรูปหลักสูตร โดยสำนัก งานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) องค์การยูเนสโก และคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตร ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตร ศธ. กล่าวว่า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ใช้อยู่ปัจจุบันใช้มานานกว่า 12 ปี ศธ.จึงต้องปรับให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเน้นหลักสูตรที่นำไปสู่การปฏิบัติ ทั้งข้อมูลจาก สสค.พบว่า คนกว่า 70% ของประเทศไม่ได้เรียนต่ออุดมศึกษาและต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน ดังนั้น การศึกษาพื้นฐานจึงไม่ควรตอบสนองเพียงแค่เด็กที่เข้าสู่อุดมศึกษา แต่ต้องรวมถึงเด็กกลุ่มใหญ่ของประเทศ และหลังจากที่รัฐบาลปฏิรูปหลักสูตรแล้ว ก็จะปฏิรูปครูต่อ เพราะพบการผลิตครูที่มีจำนวนมากแต่กระทบต่อคุณภาพและการมีงานทำ โดยปัจจุบันเรามีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ถึง 1 ล้านคน และเป็นครูอยู่ในระบบ 600,000 คน หรือครู 1 คน ต่อนักเรียน 19 คน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสม แต่ปัญหาคือความล้มเหลวของการกระจายครู ทำให้ขาดแคลนครูบางพื้นที่ หากมีระบบไอซีทีที่ดีก็จะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ ศธ.จึงกำลังเสนอให้รัฐบาลขับเคลื่อนระบบไอซีที จัดทำระบบไซเบอร์โฮม เพื่อใช้ไอซีทีที่เข้าถึงทุกบ้านด้าน ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รองประธานคณะกรรมการ สสค. คนที่ 2 กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาต้องนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไม่ใช่แค่ปฏิรูปเพื่อการศึกษา เพราะประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ 3 ด้านคือ “แก่ จน และโง่” นั่นคือ 1. ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมวัยชรา สิ่งที่เห็นขณะนี้คือโรงเรียนร้างและการยุบรวมโรงเรียน และอีก 10 ปีข้างหน้าจะเห็น ร.ร.อาชีวะร้าง 2. ความยากจน และ 3.ระดับการศึกษาแรงงานไทยที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ดังนั้น การศึกษาไทยต้องส่งเสริมให้วัยแรงงานได้ศึกษาต่อเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน ใช้โรงเรียนที่ว่างอยู่เป็นที่ฝึกอาชีพ.

Thursday, March 28, 2013

แนะผู้ขับรถบรรทุก ซดกาแฟเป็นมิตร

แนะผู้ขับรถบรรทุก ซดกาแฟเป็นมิตร
วารสาร “การแพทย์อังกฤษ” แจ้งว่า นักวิจัยเมืองจิงโจ้ศึกษาพบว่าโชเฟอร์รถบรรทุกหนัก ผู้ที่กินกาแฟแก้ง่วง เมื่อขับระยะทางไกล มักจะประสบอุบัติเหตุน้อยกว่าเพื่อนที่ไม่ได้กินนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ พบจากการศึกษาคนขับรถบรรทุกหนัก ที่เพิ่งเกิดเหตุร้ายมาหยกๆ 530 คน เปรียบเทียบกับผู้ที่ถือพวงมาลัยได้อย่างราบรื่นอีก 517 คน ได้ผลว่า คนขับที่ใช้กาแฟเป็นเพื่อน จะเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินกาแฟ ถึงร้อยละ 63 ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะกาแฟช่วยให้เกิดการตื่นตัวมากขึ้นกว่าปกติ แต่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนก็เตือนว่า อย่าไปคิดว่ากินกาแฟแล้วไม่ต้องนอนก็ได้อย่างไรก็ดี พวกคนขับเหล่านี้มากถึงร้อยละ 70 ต่างกล่าวว่า ถ้าหากรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกินไป จะพากันหยุดพักหลับนอนกลางทาง เหมือนอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ซึ่งเคยบอกไว้ว่า ไม่มีอะไรจะดับความเมื่อยล้าได้ดีเท่ากับการนอน.

เผยเด็ก-สตรีถูกกระทำรุนแรงถึงเข้ารพ. 1 รายต่อ 20 นาที

เผยเด็ก-สตรีถูกกระทำรุนแรงถึงเข้ารพ. 1 รายต่อ 20 นาที

หมากฝรั่งขวางการกินผักผลไม้

หมากฝรั่งขวางการกินผักผลไม้
วารสาร “พฤติกรรมการกิน” ของสหรัฐฯ รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจจะทำให้กินพวกขนมแผ่นกรอบ อย่างมันฝรั่งทอดกรอบ กับลูกอม ลูกกวาดอร่อยขึ้น ผิดกับเมื่อไปกินผักและผลไม้จะรู้สึกขมขึ้นนักวิจัยมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอแห่งอเมริกา ค้นพบปฏิกิริยานี้จากการศึกษา ทำให้รู้ว่า เพราะเมนทอลที่ผสมอยู่ในหมากฝรั่งบางแบบ ทำให้เมื่อไปกินผลไม้และผักเข้าจะรู้สึกเฝื่อนไป สารเคมีทำให้รสชาติเปลี่ยนแปลงไป แบบเดียวกับเมื่อไปกินน้ำผลไม้คั้น หลังจากเพิ่งแปรงฟันไปใหม่ๆก็จะรู้สึกไม่อร่อยเขายังได้ชี้แจงว่า ตามที่เคยมีผู้ศึกษาอ้างว่า เคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้ลดน้ำหนักได้นั้น กลับพบว่า ผลที่ออกมาขัดกัน และสงสัยว่าอาจเป็นเพราะรสเมนทอลไปทำปฏิกิริยากับสารอาหารในผักและผลไม้เกิดรสขมเข้า คนจึงไม่ชอบกินอาหารที่เป็นประโยชน์เหล่านี้มากกว่า.

กรมอนามัยจับมือสวนจิตรลดา พัฒนานมฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ

กรมอนามัยจับมือสวนจิตรลดา พัฒนานมฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จับมือโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา จัดประชุมพัฒนาคุณภาพนมฟลูออไรด์ในโครงการ นมฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุในประเทศไทย เตรียมพร้อมขยายผลไปยังพื้นที่ที่เด็กมีฟันผุสูง เน้นพัฒนาแนวการผลิตและควบคุมมาตรฐาน รวมทั้งการบริหารจัดการด้านการจัดส่งนมฟลูออไรด์จากโรงนมสู่นักเรียนอย่างมืออาชีพ...นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่องการพัฒนาคุณภาพนมฟลูออไรด์ ในโครงการนมฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุในประเทศไทย ว่า โครงการนมฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการของกรมอนามัย ที่ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา โดยความร่วมมือระหว่างกรมอนามัย โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การสนับสนุนด้านวิชาการจากองค์การอนามัยโลก รวมทั้งการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากมูลนิธิ The Borrow Foundation ประเทศอังกฤษ ในรูปแบบของการเสริมฟลูออไรด์ผ่านทางนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนเพื่อป้องกันฟันผุโดยขณะนี้สามารถขยายผลการดำเนินงานไปยังพื้นที่ที่มีเด็กฟันผุสูง 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชุมพร ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี สระแก้ว ชลบุรี กระบี่ และพัทลุง ครอบคลุมนักเรียนกว่า 950,000 คน โดยมีโรงนมที่ผ่านการฝึกอบรมวิธีการผลิตนมฟลูออไรด์อย่างมีคุณภาพ จากโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา และได้รับใบอนุญาตการผลิตนมฟลูออไรด์เฉพาะคราว จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รวมทั้งสิ้น 18 แห่ง โดยกรมอนามัยร่วมกับโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ได้ติดตาม ควบคุม กำกับ และพัฒนามาตรฐานการผลิตนมฟลูออไรด์ของทุกโรงนมอย่างต่อเนื่องนพ.เจษฎา ยังกล่าวถึงผลการนิเทศติดตามการดำเนินงานที่ผ่านมา ว่า การเพิ่มพูนความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างโรงนม ในการผลิตและควบคุมมาตรฐานตั้งแต่โรงนมถึงนักเรียน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กได้ดื่มนมฟลูออไรด์ที่มีประสิทธิผลในการป้องกัน ฟันผุ ดังนั้น ผลจากการประชุมในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาศักยภาพบุคลากรโรงนม ให้มีความรู้และเทคนิคในการผลิตนมฟลูออไรด์ให้อยู่ในมาตรฐานและมีคุณภาพที่ดี ภายใต้การควบคุมกำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา และกรมอนามัย จึงมั่นใจได้ว่า เด็กนักเรียนในจังหวัดที่ร่วมโครงการ จะได้ดื่มนมที่มีประสิทธิผลในการลดฟันผุ ควบคู่ไปกับการได้รับนมอันเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมของเด็ก พร้อมที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพที่สำคัญคือมีสุขภาพช่องปากที่ดี“จากแนวคิดขององค์การอนามัยโลกที่ส่งเสริมให้ใช้ฟลูออไรด์เสริมผ่านทางนม เป็นมาตรการหนึ่งในการป้องกันฟันผุ รวมทั้งโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ได้ให้ความร่วมมือในการผลิตนมฟลูออไรด์ขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และสนับสนุนให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมฟลูออไรด์พาสเจอร์ไรซ์ ขนาดบรรจุ 200 มิลลิลิตร ที่มีปริมาณฟลูออไรด์ 0.5 มิลลิกรัม ตามขนาดที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ และติดตามประเมินผลพบว่าเด็กในกรุงเทพมหานครที่ดื่มนมฟลูออไรด์ต่อเนื่อง เป็นเวลา 5 ปี จะมีประสิทธิผลลดโรคฟันผุในฟันแท้ได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้ดื่มนมฟลูออไรด์ ถึงร้อยละ 34.4 นอกจากนี้ ได้มีการศึกษาปริมาณฟลูออไรด์โดยรวมที่ได้รับในแต่ละวันของเด็กที่ดื่มนมฟลูออไรด์ พบว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม มีความปลอดภัยและไม่พบผลเสียในเรื่องฟันตกกระ จึงสมควรที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีต่อไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว.

สร้างรถกินลมแทนกินน้ำมัน

สร้างรถกินลมแทนกินน้ำมัน

โพลชี้ 56.8% ผู้หญิงยังลังเลทำแท้ง ต้องปรึกษาครอบครัว

โพลชี้ 56.8% ผู้หญิงยังลังเลทำแท้ง ต้องปรึกษาครอบครัว
เอแบคโพลล์ ชี้ 56.8% ของผู้หญิงยังลังเล ขอปรึกษาครอบครัว-คนรอบข้าง ก่อนตัดสินใจทำแท้ง ขณะตั้งครรภ์อายุเกิน 30 ปีขึ้นไป กลัวลูกที่ออกมามีพัฒนาการเรียนรู้ช้า หรือ เป็นดาวน์ซินโดรมวันที่ 28 มี.ค. นางสาวปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง เทคโนโลยีทางการแพทย์ จริยธรรม กับการตัดสินใจทำแท้งของสตรีตั้งครรภ์ในสังคมไทย กรณีศึกษาตัวอย่างกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 626 ตัวอย่าง ค่าความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 ดำเนินโครงการระหว่างเดือนกุมภาพันธ์–มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้หญิงที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.8 ระบุว่า ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์คือ ช่วงอายุระหว่าง 20 – 29 ปี ในขณะที่ร้อยละ 23.5 ระบุช่วงอายุระหว่าง 30 – 39 ปี ที่น่าพิจารณาคือ ผู้หญิงเกินครึ่งหรือร้อยละ 55.1 ระบุช่วงอายุที่มากเกินไป สำหรับการตั้งครรภ์คือ ช่วงอายุระหว่าง 30 – 39 ปี และร้อยละ 38.0 ระบุช่วงอายุระหว่าง 40 – 49 ปี ในขณะที่ร้อยละ 5.1 ระบุช่วงอายุ 50 – 59 ปีสำหรับเหตุผลที่ทำให้มีลูกตอนอายุมากนั้นพบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบหนึ่งในสามหรือร้อยละ 30.0 ระบุแต่งงานตอนอายุมาก รองๆ ลงมาคือ ร้อยละ 27.6 ระบุความพร้อมทางฐานะการเงิน ร้อยละ 22.8 ระบุความมั่นคงในชีวิตคู่ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆ อีก ได้แก่ ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ อยากได้ลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ และความมั่นใจในเทคโนโลยีทางการแพทย์ ตามลำดับส่วนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทารกหากตั้งครรภ์ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป ห้าอันดับแรกได้แก่ อันดับหนึ่งร้อยละ 53.8 ระบุมีพัฒนาการเรียนรู้ช้า อันดับสอง ร้อยละ 38.3 ระบุเด็กเป็นดาวน์ซินโดรม อันดับสาม ร้อยละ 38.0 ระบุอวัยวะในร่างกายไม่ครบสมบูรณ์ อันดับสี่ ร้อยละ 32.7 ระบุเด็กเป็นออทิสติก และอันดับที่ 5 ร้อยละ 26.2 ระบุครรภ์เป็นพิษ ตามลำดับนอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 56.7 ระบุว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันมีผลต่อการตัดสินใจตั้งครรภ์มีผลต่อการตัดสินมากถึงค่อนข้างมาก ร้อยละ 34.7 ระบุปานกลาง มีเพียงแค่ร้อยละ 5.7 ระบุมีผลค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่น่าสนใจคือกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.8 ระบุว่ายังลังเลไม่แน่ใจและต้องปรึกษาคนในครอบครัวก่อนว่าจะทำแท้งหรือไม่หากแพทย์วินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงต่อชีวิต ในขณะที่ร้อยละ 27.0 จะตัดสินใจทำแท้ง ทั้งนี้มีเพียงร้อยละ 16.2 ที่ตัดสินใจไม่ทำแท้งและพร้อมยอมรับความเสี่ยงผช.ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า จะเห็นได้ว่า ผู้หญิงที่ถูกศึกษามีเพียงส่วนน้อย ที่คำนึงถึงศีลธรรม-จริยธรรมที่เข้มแข็ง โดยจากการสัมภาษณ์เจาะลึกพบว่า พวกเธอคิดถึงเรื่อง “ชีวิตมนุษย์” ในครรภ์และ “ความเป็นลูก” ที่มาจากตัวของพวกเธอเป็นหลัก พวกเธอเห็นตรงกันว่า ถ้าตัดสินใจทำแท้งก็คือทำลายชีวิตของลูก ชีวิตของมนุษย์และจะเป็นบาปติดตัวไปตลอดอย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยังคงลังเล ไม่แน่ใจว่า จะทำแท้งหรือไม่ขึ้นอยู่กับการชี้แนะชี้นำของคนใกล้ชิดรอบข้าง แต่การที่ผลสำรวจพบว่าคนที่ตัดสินใจทำแท้งทันที มีอยู่เกินกว่า 1 ใน 4 ของผู้หญิงที่ถูกศึกษาทั้งหมดนั้น ถือว่า เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงในสังคมด้านศาสนาและวิทยาศาสตร์กันต่อไป.

Tuesday, March 26, 2013

สทศ.เผยสถิติคะแนนเฉลี่ยไอเน็ต

สทศ.เผยสถิติคะแนนเฉลี่ยไอเน็ต
รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า สทศ.ได้ประกาศผลทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านอิสลาม ศึกษาหรือไอเน็ตประจำปีการศึกษา  2555  ทางเว็บไซต์  www.niets.or.th แล้ว โดยผลวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานของคะแนนไอเน็ตมีดังนี้ ระดับตอนต้น อัลกุรอาน-อัลตัฟซีร เฉลี่ย 43.20, อัลหะดิษ เฉลี่ย 43.28, อัลอากีดะฮฺ เฉลี่ย 42.00, อัลฟิกฮฺ เฉลี่ย 40.97, อัตตารีค เฉลี่ย 45.67, อัลอัคลาก เฉลี่ย 47.80, ภาษามลายู เฉลี่ย 45.47, ภาษาอาหรับ เฉลี่ย 36.51 ระดับตอนกลาง อัลกุรอาน-อัลตัฟซีร เฉลี่ย 40.49, อัลหะดิษ เฉลี่ย 52.55, อัลอากีดะฮฺ เฉลี่ย 48.77, อัลฟิกฮฺ เฉลี่ย 39.77, อัตตารีค เฉลี่ย 40.24, อัลอัคลาก เฉลี่ย 59.11, ภาษามลายู เฉลี่ย 41.17, ภาษาอาหรับ เฉลี่ย 39.75 และระดับตอนปลาย อัลกุรอาน-อัลตัฟซีร เฉลี่ย 46.13, อัลหะดิษ เฉลี่ย 44.60, อัลอากีดะฮฺ เฉลี่ย 39.63, อัลฟิกฮฺ เฉลี่ย 37.45, อัตตารีค เฉลี่ย 33.07, อัลอัคลาก เฉลี่ย 53.49, ภาษามลายู เฉลี่ย 39.85, ภาษาอาหรับ เฉลี่ย 36.64รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าวว่า สำหรับช่วงคะแนนที่มีนักเรียนทำได้จำนวนมากกว่าช่วงอื่นในการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต ปีการศึกษา 2555 ของ ม.6 ใน 5 วิชาหลักมีดังนี้ ว่า ภาษาไทย สอบ 391,662 คน ช่วงคะแนน 40.01-50.00 มีนักเรียนทำได้มากที่สุด 76,913 คน สังคมศึกษา สอบ 392,914 คน ช่วง 30.01-40.00 คะแนน 186,316 คน ภาษาอังกฤษ สอบ 392,468 คน ช่วง 10.01-20.00 คะแนน 221,175 คน คณิตศาสตร์ สอบ 392,818 คน ช่วง 10.01-20.00 คะแนน 187,004 คน วิทยาศาสตร์ สอบ 391,524 คน ช่วง 20.01-30.00 คะแนน 147,036 คน.

วธ.จัดใหญ่ฉลองสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ 231 ปี

วธ.จัดใหญ่ฉลองสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ 231 ปี
นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม แถลงข่าวการจัดงานวัฒนธรรมนำไทย ฉลองวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ 231 ปีว่า วธ.ได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จัดงานดังกล่าวขึ้น ระหว่างวันที่ 20-22 เม.ย. ณ บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่หอประติมากรรมต้นแบบถึงสวนสันติชัยปราการ ถ.หน้าพระลาน ถ.หน้าพระธาตุ ถ.พระอาทิตย์ เพื่อระลึกบุญคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งจะมีการจัดพิธีทำบุญตักบาตร สวดมนต์ บวงสรวง บริเวณศาลหลักเมือง ที่สำคัญทุกวัดในเกาะรัตนโกสินทร์ จะมีพิธีเจริญพุทธมนต์พร้อมกันด้วย เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความเป็นสิริมงคล ในวันที่ 21 เม.ย. ซึ่งถือเป็นวันที่พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้พระราชทานพิธีลงเสาหลักเมือง ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์นายสนธยา กล่าวต่อไปว่า 2. จัดมหกรรมอาหารไทย ซึ่งมีอาหารจากสภาวัฒนธรรมเขตกรุงเทพมหานครมาออกร้าน มีการนวดแผนไทย มีการแสดงร้องระบำละคร ที่โรงละครวังหน้า การแสดงสังคีตศาลา การแสดงดนตรีร่วมสมัยเจริญกรุง การแสดงหุ่นรามเกียรติ์ การแสดงโขนเด็ก การแสดงดนตรียามเย็น การแสดงรัตนศิลป์ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนิทรรศการมหานครอมรรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช 2325-ปัจจุบัน 3.การยกพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ให้ขึ้นสู่ความเป็นเขตเมืองเก่าที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ ซึ่งในอนาคตหวังว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของประเทศ.

วิจัยพบเนื้อหาแท็บเล็ตไม่หนุนการสอน

วิจัยพบเนื้อหาแท็บเล็ตไม่หนุนการสอน
ตัวชี้วัดหลักสูตรเคร่งบูรณาการยาก จี้ ศธ.ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนายวรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง นักวิจัยโครงการวิจัยยุทธศาสตร์การปฏิรูป การศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างความรับผิดชอบ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า จากการวิจัยโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาแกนกลางของนักเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่า เนื้อหาหลักสูตรแกนกลางปีการศึกษา 2551 ที่จัดทำขึ้นล่าสุดนั้น มีการสอดแทรกแนวคิดการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปมากขึ้น แต่ตัวชี้วัดและเกณฑ์การประเมินผลตามตัวชี้วัดในมาตรฐานการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มมีความละเอียดและซ้ำซ้อน ส่งผลให้เนื้อหาหลักสูตรที่เรียนในแต่ละโรงเรียนไม่แตกต่างกัน เพราะจะต้องปฏิบัติตามตัวชี้วัดที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เช่น วิชาภาษาอังกฤษ ชั้น ป.1-6 ยังอยู่ที่เรื่องการแนะนำ แสดงให้เห็นว่าความซ้ำซ้อนของเนื้อหาว่ามีค่อนข้างมาก ทั้งตัวชี้วัดก็มีความละเอียดมาก ทำให้การสอนเชิงบูรณาการทำได้ยาก“โครงสร้างชั่วโมงเรียนของเด็กไทย พบว่า เด็กประถมเรียนไม่เกิน 1,000 ชั่วโมง ม.ต้นไม่เกิน 1,200 ชั่วโมง ม.ปลาย ไม่น้อยกว่า 3,600 ชั่วโมง เทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว มีชั่วโมงเรียนเฉลี่ยของนักเรียนอยู่ที่ประมาณ 700-800 ชั่วโมงต่อปีเท่านั้น ดังนั้น นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่จะให้ลดชั่วโมงเรียนของเด็ก จำเป็นต้องพิจารณาเนื้อหาและวิธีการสอนของครูด้วยว่าควรปฏิบัติอย่างไร โดยอาจเน้นเฉพาะการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นจากการเรียนในแต่ละวิชา ควบคู่กับการสอนผ่านโครงงานเพื่อให้เด็กฝึกปฏิบัติจริง และสามารถใช้เวลาในการเรียนรู้นอกห้องเรียนได้มากขึ้น” นายวรพจน์กล่าวและว่า สำหรับเนื้อหาการเรียนผ่านแท็บเล็ตพบว่า การใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนยังทำได้ไม่ดี เนื้อหาเน้นการแปลงจากหนังสือเรียนมาเป็นไฟล์พีดีเอฟ ดังนั้น ศธ.ควรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น เทคนิคเสมือนจริง เพื่อเรียนรู้แผ่นดินไหว ซึ่งเด็กจะเห็นภาพ 3 มิติ หรือภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น.

Monday, March 25, 2013

ร้องบิ๊ก ศธ.ไม่โปร่งใส

ร้องบิ๊ก ศธ.ไม่โปร่งใส
เมื่อวันที่ 25 มี.ค. บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กลุ่มภาคีเครือข่ายต่อต้านคอรัปชันภาคใต้ตอนบนนำรถกระบะติดตั้งเครื่องขยายเสียงกล่าวคำปราศรัยโจมตี 3 ผู้บริหาร ศธ. ได้แก่ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา และ ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรณีบริหารงานไม่โปร่งใส พร้อมยื่นข้อเรียกร้องให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ตรวจสอบ โดยนายเจษฎา เทพเลื่อน ประธานภาคีเครือข่าย กล่าวว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายได้รับเรื่องร้องเรียนจากหลายภาคส่วนว่า ศธ.มีการทุจริตทุกขั้นตอน ทั้งกินเงินบริจาคครูใต้ กินเงินครุภัณฑ์อาชีวศึกษา และกินเงินสอบครูผู้ช่วย เงินแป๊ะเจี๊ยะ จึงขอให้ตรวจสอบและจะรอผลภายใน 45 วัน หากไม่ได้ผลก็จะมาประท้วงอีกครั้ง.

แท็บเล็ตสะดุดรอถกทีโออาร์อีกรอบ

แท็บเล็ตสะดุดรอถกทีโออาร์อีกรอบ
นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ตว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องการกำหนดคุณสมบัติของบริษัทที่จะเข้าประมูลการจัดซื้อแท็บเล็ต ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เป็นการประมูลแบบสากล โดยเปิดให้บริษัททั้งในไทยและต่างประเทศเข้าร่วม ดังนั้น คุณสมบัติผู้เข้าประมูลทั้ง 2 ส่วนต้องมีการกำหนดที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยภาพรวมทั้ง 2 ส่วนจะเน้นว่าต้องเป็นบริษัทที่ทำเรื่องคอมพิวเตอร์ และเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องการซื้อขายคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง ไม่ใช่บริษัทนายหน้าหรือโรงงานผลิตคอมพิวเตอร์ ส่วนการทำทีโออาร์นั้นจะมีการปรึกษาขั้นตอนรายละเอียดกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังอีกครั้ง ซึ่งจะประชุมวันที่ 28 มี.ค.นี้ด้าน ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า อะไรที่ยังไม่ชัดเจนต้องหารือกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง โดยเฉพาะขั้นตอนการกำหนดทีโออาร์ และคุณสมบัติผู้ขาย เพราะส่วนที่เป็นมาตรฐานของกรมบัญชีกลางกำหนดมาเฉพาะผู้ขายในประเทศเป็นหลักเท่านั้น เรื่องนี้ที่ประชุมมีความเห็น 2 ส่วนว่าควรทำฉบับภาษาไทยอย่างเดียว อีกส่วนเห็นว่าควรทำภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งต้องหารือกรมบัญชีกลางว่าจะเหมาะสมหรือไม่อย่างไร เนื่องจากขณะนี้มีรายละเอียดที่ต้องทำให้เกิดความรอบคอบ ดังนั้นการดำเนินการขั้นตอนต่างๆอาจจะขยับปฏิทินบ้างเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง แต่จะให้แล้วเสร็จก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ส่วนจะมีการแบ่งสัดส่วนการประมูลระหว่างบริษัทในไทยและต่างประเทศหรือไม่นั้น ทุกบริษัทมีสิทธิ์เท่ากันหมด.

น้ำมันมะกอก ไม่ทอนอายุสั้น

น้ำมันมะกอก ไม่ทอนอายุสั้น
วารสาร “การแพทย์อังกฤษ” ออนไลน์ เปิดเผยว่า นักวิทยาศาสตร์สเปนพบว่า การบริโภคอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันมะกอก หรือดอกทานตะวัน จะไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจ หรืออายุสั้นวารสารได้ย้ำว่า การศึกษาได้ทำกันที่ในสเปน ซึ่งเป็นชาติริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ใช้น้ำมันมะกอก หรือดอกทานตะวันทอดอาหารเป็นประจำกันอยู่แล้ว ดังนั้น หากเป็นในชาติอื่นที่ใช้น้ำมันแข็งๆ หรือใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ อาจจะไม่มีผลอย่างเดียวกันก็ได้ตามชาติตะวันตกและชาติอื่นๆ การทอดอาหารเป็นวิธีหลักในการปรุงอาหารอย่างหนึ่ง   อาหารทอดทำให้มันให้พลังงานได้มากขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากได้ดูดซึมเอาไขมันจากน้ำมันเข้าไปในตัวเพิ่ม.

Blog Archive