ข้าวโพดช่วยทานตะวันลดวัชพืช
วันที่ 17 ม.ค. 2556 สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) ได้อ้าง 'Sciencedaily' ที่รายงานว่า นักวิจัยของจีนพบว่าการปลูกข้าวโพดร่วมในแปลงปลูกทานตะวัน สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชกาฝาก ที่จัดเป็นวัชพืชที่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อแปลงปลูกผักและพืชที่ปลูกเป็นแถว (row crop) ทั้งในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในทานตะวันที่อาจทำให้ผลผลิตลดลงถึง 50% ซึ่งจากข้อมูลพบว่า 64% ของพื้นที่ปลูกทานตะวันในประเทศจีน คิดเป็นพื้นที่ 24,000 เอเคอร์ (ประมาณ 60,000 ไร่) ได้รับความเสียหายจากวัชพืชดังกล่าว
ทั้งนี้เนื่องจากวัชพืชกาฝาก ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของข้าวโพด จึงมีการศึกษาเพื่อนำข้าวโพดไปใช้ปลูกเป็นพืชล่อหรือพืชกับดัก (trap crop) ที่กระตุ้นการงอกของเมล็ดวัชพืชกาฝาก แต่ยับยั้งการเจริญและการอยู่รอดของวัชพืช ทำให้ไม่สามารถเข้าทำลายพืชหลัก (ทานตะวัน) ได้ และพบว่ามีข้าวโพดลูกผสม (hybrid) สายพันธุ์หนึ่งที่สามารถกระตุ้นให้วัชพืชกาฝาก งอกได้ดีและพบว่าสารที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริญของเมล็ดวัชพืช คือ strigolactone นั้น มีปริมาณมากที่สุดในรากของข้าวโพด
จากผลการวิจัยดังกล่าว ทีมวิจัยเตรียมนำไปออกแบบลักษณะการเพาะพันธุ์ที่เหมาะสมเพื่อให้ข้าวโพดสามารถแสดงคุณสมบัติการเป็นพืชล่อได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งเกษตรกรยังสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตของข้าวโพดเป็นรายได้เสริมหรือใช้เป็นอาหารสัตว์ได้เพิ่มเติมอีกด้วย
.........................................................................................
(หมายเหตุ : ภาพจาก http://www.ku.ac.th )
Thursday, January 17, 2013
อันตราย!ยานอนหลับชนิดใหม่กินถึงตาย
อันตราย!ยานอนหลับชนิดใหม่กินถึงตาย
เมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวเรื่องยานอนหลับชนิดใหม่อันตรายถึงชีวิต ว่า ได้รับรายงานมีการลักลอบนำเข้ายานอนหลับชนิดใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ โดย สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยึดของกลางจำนวน 2,940 เม็ด ส่งให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา นำไปตรวจวิเคราะห์ พบว่าด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์คล้ายดาว 4 แฉก และตัวเลข “028” อีกด้านมีตัวเลข “5” บรรจุในแผงพลาสติกใสสีแดง-อะลูมิเนียม บนแผงมีข้อความตัวอักษร “Erimin 5” (อีริมิน 5) จากการตรวจพิสูจน์ของห้องปฏิบัติการสำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบ "ฟีนาซีแพม" (Phenazepam หรือ Fenazepam) จัดเป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนส์ (Benzodiazepines) และมีฤทธิ์แรงกว่า "ไดอาซีแพม" (Diazepam) ซึ่งเป็นยานอนหลับที่เป็นที่รู้จักและสามารถซื้อได้ในร้านขายยาโดยมีใบสั่งแพทย์ แต่สารฟีนาซีแพมออกฤทธิ์แรงกว่าถึง 10 เท่า หรือหลับนานกว่า 60 ชั่วโมง ผู้ที่ใช้ยาดังกล่าวจะมีอาการง่วงซึม มึนงง สับสน สูญเสียการทรงตัว และสูญเสียความทรงจำ หากหยุดยาทันทีหลังได้รับยาขนาดสูง หรือเป็นระยะเวลานานอาจเกิดอาการถอนยา และถ้าใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์ หรือสารที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิแอต เป็นกลุ่มที่ทำจากอนุพันธ์ของฝิ่น หรือยานอนหลับอื่นๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้ “ไม่พบไนเมตาซีแพม ซึ่งเป็นส่วนผสมของอีริมิน 5 แต่ตรวจพบฟีนาซีแพม จึงสันนิษฐานว่าอาจมีการนำฟีนาซีแพมมาผลิตเป็นยาอีริมิน 5 ทดแทนไนเมตาซีแพม เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย เนื่องจากฟีนาซีแพมยังไม่ได้จัดเป็นสารควบคุมในประเทศไทย รวมทั้งในอนุสัญญาสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ขณะที่ไนเมตาซีแพมในประเทศไทยจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 อนุญาตใช้เฉพาะสถานพยาบาลเท่านั้น” นพ.นิพนธ์กล่าว อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวอีกว่า สารฟีนาซีแพมถูกสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในประเทศรัสเซีย เมื่อปี 2517 และนำไปใช้ในทางการแพทย์ในประเทศรัสเซียและบางประเทศในยุโรปตะวันออก รักษาโรคระบบประสาท และโรคลมชัก ใช้ประมาณ 1-1.5 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบการนำฟีนาซีแพมไปใช้ในทางที่ผิด กลุ่มผู้เสพนิยมเรียกยานี้ว่า "Phenny, P, Bonsai, Bonsai Supersleep และ "7 bromo-5" ส่วนการเสพมีหลายวิธี ได้แก่ การกิน การอมใต้ลิ้น การสูด และการฉีดเข้าเส้น นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกามีรายงานพบผู้เสพยาชนิดนี้เสียชีวิตจากการได้รับยาเกินขนาด ด้าน นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อีริมิน 5 เป็นยาที่ผลิตโดยบริษัท ซูมิโมโต ฟามาซูติคอลส์ ในประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วยตัวยาสำคัญชื่อ ไนเมตาซีแพม ขนาดยา 5 มิลลิกรัม เป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนส์ อนุญาตให้ใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ในประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย ถือเป็นสารควบคุม สำหรับประเทศไทยตัวยาดังกล่าวจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 แต่ยานี้ไม่มีการอนุมัติทะเบียนตำรับในประเทศไทย "ยาที่ถูกจับได้จึงเป็นยาที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศอื่นทั้งสิ้น พบว่ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิดในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย นิยมเรียกว่า ไฟว์-ไฟว์ (five-five) หรือ แฮปปี้ไฟว์ (Happy 5) สำหรับยาของกลางตรวจพบสารสำคัญไม่ตรงตามที่ระบุไว้ จึงเข้าลักษณะของวัตถุออกฤทธิ์ปลอม ผู้ขายมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท ส่วนผู้ผลิต หรือผู้นำเข้ามีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี และปรับตั้งแต่ 1-3 แสนบาท ไม่สามารถเอาผิดในเรื่องการผสมสารฟีนาซีแพมได้ เนื่องจากสารชนิดนี้ยังไม่ได้จัดเป็นสารควบคุมในประเทศไทย และในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพราะยังไม่มีการใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์" นพ.บุญชัยกล่าว เลขาธิการ อย. กล่าวอีกว่า ภายในปลายเดือนมกราคมนี้ จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทเพื่อจัดให้สารฟีนาซีแพมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 ใช้ได้เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น ก่อนนำเสนอต่อ รมว.สาธารณสุข ออกเป็นประกาศต่อไป ขณะที่ พล.ต.ต.สุวิทย์ เชิญศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา (ผบก.ภ.จว.สงขลา) ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดข้อมูลของ “ฟีนาซีแพม” ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้นำส่งตรวจสอบ รวมถึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของการตรวจยึดยานอนหลับชนิดนี้อย่างเร่งด่วน "ผมยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เบื้องต้นจะตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งว่า มีการจับกุมได้เมื่อไหร่ ที่สำคัญมีการใช้แพร่ระบาดกันจริงหรือไม่ หากเป็นยาที่มีอันตรายรุนแรงจริง จำเป็นต้องเข้มงวดกวดขันมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำมาใช้ก่ออาชญากรรม" พล.ต.ต.สุวิทย์กล่าว ส่วน ภก.ประพนธ์ อางตระกูล ผู้อำนวยการกองควบคุมวัตถุเสพติด อย. กล่าวว่า ยานอนหลับอีกหนึ่งกลุ่ม คือ อัลปราโซแลม (Alprazolam) ซึ่งมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือเรียกว่า "ยาเสียสาว" ขณะนี้ได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2555 โดยให้ยกระดับอัลปราโซแลมจากวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 4 เป็นประเภท 2 ใช้ได้เฉพาะในสถานพยาบาลรัฐและเอกชนเท่านั้น มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2556 ดังนั้น ร้านขายยาที่มีใบอนุญาตให้จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 หรือ 4 จะต้องส่งยาอัลปราโซแลมคืนผู้ผลิตทั้งหมดภายในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ส่วนสถานพยาบาลที่พิจารณาแล้วว่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาชนิดนี้ก็ต้องส่งคืนกลับผู้ผลิต ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลจากการสำรวจของ อย. พบคดีเกี่ยวกับยาอัลปราโซแลม เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2554-2555 รวมประมาณ 400-500 คดี มีผู้ตกเป็นเหยื่อเสียชีวิต 3-4 คดี คดีล่าสุดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่พัทยา จ.ชลบุรี สำหรับฤทธิ์ของยาดังกล่าวทำให้มึน งง หัวใจเต้นเร็ว ขาดสติ หากนำไปผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อเสริมฤทธิ์ให้มีความรุนแรง เป็นเหตุให้มีการนำไปใช้ในการล่อลวงผู้หญิง
เมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวเรื่องยานอนหลับชนิดใหม่อันตรายถึงชีวิต ว่า ได้รับรายงานมีการลักลอบนำเข้ายานอนหลับชนิดใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ โดย สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยึดของกลางจำนวน 2,940 เม็ด ส่งให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา นำไปตรวจวิเคราะห์ พบว่าด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์คล้ายดาว 4 แฉก และตัวเลข “028” อีกด้านมีตัวเลข “5” บรรจุในแผงพลาสติกใสสีแดง-อะลูมิเนียม บนแผงมีข้อความตัวอักษร “Erimin 5” (อีริมิน 5) จากการตรวจพิสูจน์ของห้องปฏิบัติการสำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบ "ฟีนาซีแพม" (Phenazepam หรือ Fenazepam) จัดเป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนส์ (Benzodiazepines) และมีฤทธิ์แรงกว่า "ไดอาซีแพม" (Diazepam) ซึ่งเป็นยานอนหลับที่เป็นที่รู้จักและสามารถซื้อได้ในร้านขายยาโดยมีใบสั่งแพทย์ แต่สารฟีนาซีแพมออกฤทธิ์แรงกว่าถึง 10 เท่า หรือหลับนานกว่า 60 ชั่วโมง ผู้ที่ใช้ยาดังกล่าวจะมีอาการง่วงซึม มึนงง สับสน สูญเสียการทรงตัว และสูญเสียความทรงจำ หากหยุดยาทันทีหลังได้รับยาขนาดสูง หรือเป็นระยะเวลานานอาจเกิดอาการถอนยา และถ้าใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์ หรือสารที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิแอต เป็นกลุ่มที่ทำจากอนุพันธ์ของฝิ่น หรือยานอนหลับอื่นๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้ “ไม่พบไนเมตาซีแพม ซึ่งเป็นส่วนผสมของอีริมิน 5 แต่ตรวจพบฟีนาซีแพม จึงสันนิษฐานว่าอาจมีการนำฟีนาซีแพมมาผลิตเป็นยาอีริมิน 5 ทดแทนไนเมตาซีแพม เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย เนื่องจากฟีนาซีแพมยังไม่ได้จัดเป็นสารควบคุมในประเทศไทย รวมทั้งในอนุสัญญาสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ขณะที่ไนเมตาซีแพมในประเทศไทยจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 อนุญาตใช้เฉพาะสถานพยาบาลเท่านั้น” นพ.นิพนธ์กล่าว อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวอีกว่า สารฟีนาซีแพมถูกสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในประเทศรัสเซีย เมื่อปี 2517 และนำไปใช้ในทางการแพทย์ในประเทศรัสเซียและบางประเทศในยุโรปตะวันออก รักษาโรคระบบประสาท และโรคลมชัก ใช้ประมาณ 1-1.5 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบการนำฟีนาซีแพมไปใช้ในทางที่ผิด กลุ่มผู้เสพนิยมเรียกยานี้ว่า "Phenny, P, Bonsai, Bonsai Supersleep และ "7 bromo-5" ส่วนการเสพมีหลายวิธี ได้แก่ การกิน การอมใต้ลิ้น การสูด และการฉีดเข้าเส้น นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกามีรายงานพบผู้เสพยาชนิดนี้เสียชีวิตจากการได้รับยาเกินขนาด ด้าน นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อีริมิน 5 เป็นยาที่ผลิตโดยบริษัท ซูมิโมโต ฟามาซูติคอลส์ ในประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วยตัวยาสำคัญชื่อ ไนเมตาซีแพม ขนาดยา 5 มิลลิกรัม เป็นยานอนหลับในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนส์ อนุญาตให้ใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ในประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย ถือเป็นสารควบคุม สำหรับประเทศไทยตัวยาดังกล่าวจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 แต่ยานี้ไม่มีการอนุมัติทะเบียนตำรับในประเทศไทย "ยาที่ถูกจับได้จึงเป็นยาที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศอื่นทั้งสิ้น พบว่ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิดในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย นิยมเรียกว่า ไฟว์-ไฟว์ (five-five) หรือ แฮปปี้ไฟว์ (Happy 5) สำหรับยาของกลางตรวจพบสารสำคัญไม่ตรงตามที่ระบุไว้ จึงเข้าลักษณะของวัตถุออกฤทธิ์ปลอม ผู้ขายมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท ส่วนผู้ผลิต หรือผู้นำเข้ามีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี และปรับตั้งแต่ 1-3 แสนบาท ไม่สามารถเอาผิดในเรื่องการผสมสารฟีนาซีแพมได้ เนื่องจากสารชนิดนี้ยังไม่ได้จัดเป็นสารควบคุมในประเทศไทย และในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพราะยังไม่มีการใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์" นพ.บุญชัยกล่าว เลขาธิการ อย. กล่าวอีกว่า ภายในปลายเดือนมกราคมนี้ จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทเพื่อจัดให้สารฟีนาซีแพมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 ใช้ได้เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น ก่อนนำเสนอต่อ รมว.สาธารณสุข ออกเป็นประกาศต่อไป ขณะที่ พล.ต.ต.สุวิทย์ เชิญศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา (ผบก.ภ.จว.สงขลา) ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดข้อมูลของ “ฟีนาซีแพม” ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้นำส่งตรวจสอบ รวมถึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของการตรวจยึดยานอนหลับชนิดนี้อย่างเร่งด่วน "ผมยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เบื้องต้นจะตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งว่า มีการจับกุมได้เมื่อไหร่ ที่สำคัญมีการใช้แพร่ระบาดกันจริงหรือไม่ หากเป็นยาที่มีอันตรายรุนแรงจริง จำเป็นต้องเข้มงวดกวดขันมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำมาใช้ก่ออาชญากรรม" พล.ต.ต.สุวิทย์กล่าว ส่วน ภก.ประพนธ์ อางตระกูล ผู้อำนวยการกองควบคุมวัตถุเสพติด อย. กล่าวว่า ยานอนหลับอีกหนึ่งกลุ่ม คือ อัลปราโซแลม (Alprazolam) ซึ่งมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือเรียกว่า "ยาเสียสาว" ขณะนี้ได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2555 โดยให้ยกระดับอัลปราโซแลมจากวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 4 เป็นประเภท 2 ใช้ได้เฉพาะในสถานพยาบาลรัฐและเอกชนเท่านั้น มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2556 ดังนั้น ร้านขายยาที่มีใบอนุญาตให้จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 หรือ 4 จะต้องส่งยาอัลปราโซแลมคืนผู้ผลิตทั้งหมดภายในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ส่วนสถานพยาบาลที่พิจารณาแล้วว่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาชนิดนี้ก็ต้องส่งคืนกลับผู้ผลิต ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลจากการสำรวจของ อย. พบคดีเกี่ยวกับยาอัลปราโซแลม เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2554-2555 รวมประมาณ 400-500 คดี มีผู้ตกเป็นเหยื่อเสียชีวิต 3-4 คดี คดีล่าสุดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่พัทยา จ.ชลบุรี สำหรับฤทธิ์ของยาดังกล่าวทำให้มึน งง หัวใจเต้นเร็ว ขาดสติ หากนำไปผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อเสริมฤทธิ์ให้มีความรุนแรง เป็นเหตุให้มีการนำไปใช้ในการล่อลวงผู้หญิง
มทร.พระนครม.ชั้นนำแห่งโลกอาชีพ
มทร.พระนครม.ชั้นนำแห่งโลกอาชีพ
"คุณภาพบัณฑิต มทร.พระนคร อยู่ในระดับแนวหน้า เห็นได้จากอัตราการมีงานทำมากกว่าร้อยละ 80 มาตลอด ที่เหลือส่วนใหญ่ศึกษาต่อ หรือประกอบธุรกิจส่วนตัว สาเหตุที่บัณฑิตมีงานทำมาก เนื่องจากบัณฑิต มทร.พระนคร มีอัตลักษณ์ คือ เป็นบัณฑิตนักปฏิบัติ ที่ใฝ่รู้ สู้งาน เชี่ยวชาญเทคโนโลยี มีคุณธรรม นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังสอดแทรกเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และการเป็นผู้มีจิตสาธารณะให้แก่บัณฑิตอีกด้วย" รศ.ดวงสุดา เตโชติรส อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร(มทร.พระนคร) กล่าว อธิการบดี มทร.พระนคร อธิบายว่า 8 ปี มทร.พระนคร เป็นต้นกล้าที่กำลังเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรง มีรากฐานที่มั่นคง เติบโตมาจากสถาบันอาชีวศึกษาที่มีชื่อเสียงมานาน เช่น คณะบริหารธุรกิจเติบโตมาจากวิทยาเขตพณิชยการพระนคร ที่มีอายุ 112 ปี คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มาจากวิทยาเขตโชติเวช อายุกว่า 70 ปี เมื่อเป็นมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้มีความพร้อมกับการขยายการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ผลิตบัณฑิตให้มีความพร้อมปฏิบัติงาน สู่ตลาดแรงงานเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน พัฒนาหลักสูตรให้มีความเป็นสากล เช่น joint degree/ หลักสูตรภาษาอังกฤษ สหกิจในต่างประเทศ เป็นต้น และสนับสนุนด้านวิจัยและบริการสังคม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้เสริมสร้างสังคมอีกด้วย ที่สำคัญที่สุด มทร.พระนคร มีเป้าหมายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งโลกอาชีพ พัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพ คู่คุณธรรม สู่มาตรฐานสากล ต้องปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกาภิวัตน์ และประชาคมอาเซียน กล่าวคือในด้านการศึกษาระบบโลกาภิวัตน์สร้างความท้าทายให้แก่อุดมศึกษาใน 2 ลักษณะ คือ การจัดการศึกษาแบบไร้พรมแดน เช่น การศึกษาทางไกล การศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ต นักศึกษาไทยไปศึกษาในต่างประเทศ มหาวิทยาลัยต่างประเทศมาเปิดสอนในประเทศไทย โครงการแลกเปลี่ยนอาจารย์ เป็นต้น และอีกลักษณะคือ การรวมตัวของประชาชาติในอาเซียน ในรูปของ "ประชาคมอาเซียน" ภายในปี 2558 จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากร แรงงาน การค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนย้ายด้านความรู้ ภาษา และวัฒนธรรม มทร.พระนครจึงเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยตั้งเป้าหมายในการผลิตบัณฑิตให้มีความสามารถในการแข่งขันระดับสากล รวมทั้งสร้างความตระหนักและตื่นตัวให้แก่นักศึกษา ในเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นฐานความรู้ในการวิจัยร่วมกับภาคเอกชน ด้วยการพัฒนาหลักสูตรให้มีความเป็นสากล การพัฒนาบุคลากร ศักยภาพการวิจัย และการสร้างองค์ความรู้ มหาวิทยาลัยได้ทำยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และมีการลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาเซียน และอาเซียน +3 รศ.ดวงสุดา กล่าวว่า มทร.พระนคร เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ตามพันธกิจหลักทั้ง 4 ด้านของมหาวิทยาลัย ได้แก่ ด้านการจัดการเรียนการสอน การจัดการศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ จัดการศึกษาหลักสูตรร่วม (joint degree program และมีหลักสูตร English Program โดยการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับมหาวิทยาลัยในอาเซียน การแลกเปลี่ยนนักศึกษาเพื่อการฝึกงานและสหกิจระดับอาเซียน การแลกเปลี่ยนอาจารย์ บุคลากร นักวิจัย การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ และภาษาอาเซียน การจัดตั้งศูนย์อาเชียน ตามด้วยด้านวิจัย การทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย สถาบันภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา การลงนามในบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) เพื่อการดำเนินการความร่วมมือทางวิชาการ ของมทร.พระนครกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ทำให้นักวิจัยของมทร.พระนคร มีโอกาสเผยแพร่และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการ แบ่งตามกลุ่มความเชี่ยวชาญของแต่ละมหาวิทยาลัย ได้แก่ กลุ่มวิจัยด้านวิศวกรรม ด้านบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยว ด้านภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้าน ด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม โลจิสติกส์ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีการจัดประชุมวิชาการระดับนานาชาติ เพื่อเป็นเวทีให้นักวิจัยนำเสนอผลงาน เผยแพร่งานวิจัยและทำให้บุคคลสายวิชาการที่เข้าร่วมงานมีโอกาสศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดงานวิจัยในอนาคต การเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ระดับนานาชาติเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของบุคลากรทางการศึกษาและความเข้มแข็งทางวิชาการของมหาวิทยาลัย เปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งภายในกลุ่มประเทศอาเซียนและระดับนานาชาติ ด้านบริการวิชาการ จัดหลักสูตรการอบรมวิชาการเพื่อบริการแก่สถาบันการศึกษาหรือชุมชนอาเซียน เนื่องจากมทร.พระนคร เป็นผู้นำด้านการจัดการเรียนการสอนที่เน้นเทคโนโลยี จัดโครงการบริการทางวิชาการให้แก่ประเทศที่มีความต้องการพัฒนาบุคลากรและชุมชนอาเซียน มหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ เน้นการจัดการหลักสูตรอบรมวิชาการ การอบรมวิชาชีพให้แก่บุคลากรอาเซียนทั้งในประเทศและประเทศอาเซียน การส่งเสริมการเคลื่อนย้ายฝีมือแรงงานอย่างเสรีในประชาคมอาเซียน "มทร.พระนคร จัดการเรียนการสอน 6 อาชีพหลัก คือ วิศวกร สถาปนิก นักสำรวจ นักบัญชี การท่องเที่ยว แพทย์แผนไทย บัณฑิตทุกมหาวิทยาลัยของไทย ต้องเร่งพัฒนาฝีมือของตนเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ สามารถแข่งขันและเพิ่มอัตราการจ้างงานของสถานประกอบการในประชาคมอาเซียนให้สูงขึ้น นอกจากนี้บัณฑิตประเทศอาเซียนที่ต้องการเข้ามาทำงานในประเทศไทยจะต้องเรียนรู้ทักษะวิชาชีพที่จำเป็นที่สถานประกอบการของประเทศไทยกำหนด การจัดการเรียนการสอนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไอที เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน เนื่องจากทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่สมควรได้รับการพัฒนาให้ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารและโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมทั้งการดำเนินธุรกิจกับบริษัทต่างชาติ การส่งเสริมภาษาไทยให้เป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลายระหว่างประเทศในอาเซียนก็เป็นส่วนสำคัญที่เป็นการวางรากฐานการพัฒนาบุคลากรและการพัฒนาประเทศ" รศ.ดวงสุดา กล่าว ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมหรือกิจกรรมทางวิชาการด้านวัฒนธรรม เป็นกิจกรรมที่สำคัญต่อความร่วมมือระหว่างกัน ความเข้าใจด้านวัฒนธรรมทำให้การทำงานและความร่วมมือเป็นไปอย่างราบรื่น การแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมผ่านทางกิจกรรมทางวัฒนธรรม ได้แก่ การใช้ภาษาไทยในการละเล่น ศิลปะ นาฏศิลป์ ดนตรี ช่วยกระตุ้นให้นักศึกษาไทยและนักศึกษาอาเซียนมีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อธิการบดีมทร.พระนคร ทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดทั้งปวงเพื่อเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งโลกอาชีพ พัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพคู่คุณธรรม สู่มาตรฐานสากลต้องปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกาภิวัตน์ และประชาคมอาเซียน รวมทั้งการจัดให้นักศึกษา อาจารย์ เข้าร่วมกิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษและวัฒนธรรม ณ มหาวิทยาลัยอาเซียน ให้นักศึกษาและอาจารย์ของ มทร.พระนคร ได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยของประเทศอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านต่างๆ นอกเหนือจากด้านภาษาและวัฒนธรรม เช่น งานวิจัย งานพัฒนาการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ............................................... (มทร.พระนคร ม.ชั้นนำแห่งโลกอาชีพ ปั้นบัณฑิตคุณภาพ-คุณธรรมรับอาเซียน : โดย...กมลทิพย์ ใบเงิน - หทัยรัตน์ ดีประเสริฐ)
"คุณภาพบัณฑิต มทร.พระนคร อยู่ในระดับแนวหน้า เห็นได้จากอัตราการมีงานทำมากกว่าร้อยละ 80 มาตลอด ที่เหลือส่วนใหญ่ศึกษาต่อ หรือประกอบธุรกิจส่วนตัว สาเหตุที่บัณฑิตมีงานทำมาก เนื่องจากบัณฑิต มทร.พระนคร มีอัตลักษณ์ คือ เป็นบัณฑิตนักปฏิบัติ ที่ใฝ่รู้ สู้งาน เชี่ยวชาญเทคโนโลยี มีคุณธรรม นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังสอดแทรกเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และการเป็นผู้มีจิตสาธารณะให้แก่บัณฑิตอีกด้วย" รศ.ดวงสุดา เตโชติรส อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร(มทร.พระนคร) กล่าว อธิการบดี มทร.พระนคร อธิบายว่า 8 ปี มทร.พระนคร เป็นต้นกล้าที่กำลังเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรง มีรากฐานที่มั่นคง เติบโตมาจากสถาบันอาชีวศึกษาที่มีชื่อเสียงมานาน เช่น คณะบริหารธุรกิจเติบโตมาจากวิทยาเขตพณิชยการพระนคร ที่มีอายุ 112 ปี คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มาจากวิทยาเขตโชติเวช อายุกว่า 70 ปี เมื่อเป็นมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้มีความพร้อมกับการขยายการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ผลิตบัณฑิตให้มีความพร้อมปฏิบัติงาน สู่ตลาดแรงงานเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน พัฒนาหลักสูตรให้มีความเป็นสากล เช่น joint degree/ หลักสูตรภาษาอังกฤษ สหกิจในต่างประเทศ เป็นต้น และสนับสนุนด้านวิจัยและบริการสังคม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้เสริมสร้างสังคมอีกด้วย ที่สำคัญที่สุด มทร.พระนคร มีเป้าหมายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งโลกอาชีพ พัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพ คู่คุณธรรม สู่มาตรฐานสากล ต้องปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกาภิวัตน์ และประชาคมอาเซียน กล่าวคือในด้านการศึกษาระบบโลกาภิวัตน์สร้างความท้าทายให้แก่อุดมศึกษาใน 2 ลักษณะ คือ การจัดการศึกษาแบบไร้พรมแดน เช่น การศึกษาทางไกล การศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ต นักศึกษาไทยไปศึกษาในต่างประเทศ มหาวิทยาลัยต่างประเทศมาเปิดสอนในประเทศไทย โครงการแลกเปลี่ยนอาจารย์ เป็นต้น และอีกลักษณะคือ การรวมตัวของประชาชาติในอาเซียน ในรูปของ "ประชาคมอาเซียน" ภายในปี 2558 จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากร แรงงาน การค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนย้ายด้านความรู้ ภาษา และวัฒนธรรม มทร.พระนครจึงเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยตั้งเป้าหมายในการผลิตบัณฑิตให้มีความสามารถในการแข่งขันระดับสากล รวมทั้งสร้างความตระหนักและตื่นตัวให้แก่นักศึกษา ในเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นฐานความรู้ในการวิจัยร่วมกับภาคเอกชน ด้วยการพัฒนาหลักสูตรให้มีความเป็นสากล การพัฒนาบุคลากร ศักยภาพการวิจัย และการสร้างองค์ความรู้ มหาวิทยาลัยได้ทำยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และมีการลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาเซียน และอาเซียน +3 รศ.ดวงสุดา กล่าวว่า มทร.พระนคร เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ตามพันธกิจหลักทั้ง 4 ด้านของมหาวิทยาลัย ได้แก่ ด้านการจัดการเรียนการสอน การจัดการศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ จัดการศึกษาหลักสูตรร่วม (joint degree program และมีหลักสูตร English Program โดยการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับมหาวิทยาลัยในอาเซียน การแลกเปลี่ยนนักศึกษาเพื่อการฝึกงานและสหกิจระดับอาเซียน การแลกเปลี่ยนอาจารย์ บุคลากร นักวิจัย การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ และภาษาอาเซียน การจัดตั้งศูนย์อาเชียน ตามด้วยด้านวิจัย การทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย สถาบันภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา การลงนามในบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) เพื่อการดำเนินการความร่วมมือทางวิชาการ ของมทร.พระนครกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ทำให้นักวิจัยของมทร.พระนคร มีโอกาสเผยแพร่และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการ แบ่งตามกลุ่มความเชี่ยวชาญของแต่ละมหาวิทยาลัย ได้แก่ กลุ่มวิจัยด้านวิศวกรรม ด้านบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยว ด้านภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้าน ด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม โลจิสติกส์ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีการจัดประชุมวิชาการระดับนานาชาติ เพื่อเป็นเวทีให้นักวิจัยนำเสนอผลงาน เผยแพร่งานวิจัยและทำให้บุคคลสายวิชาการที่เข้าร่วมงานมีโอกาสศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดงานวิจัยในอนาคต การเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ระดับนานาชาติเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของบุคลากรทางการศึกษาและความเข้มแข็งทางวิชาการของมหาวิทยาลัย เปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งภายในกลุ่มประเทศอาเซียนและระดับนานาชาติ ด้านบริการวิชาการ จัดหลักสูตรการอบรมวิชาการเพื่อบริการแก่สถาบันการศึกษาหรือชุมชนอาเซียน เนื่องจากมทร.พระนคร เป็นผู้นำด้านการจัดการเรียนการสอนที่เน้นเทคโนโลยี จัดโครงการบริการทางวิชาการให้แก่ประเทศที่มีความต้องการพัฒนาบุคลากรและชุมชนอาเซียน มหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ เน้นการจัดการหลักสูตรอบรมวิชาการ การอบรมวิชาชีพให้แก่บุคลากรอาเซียนทั้งในประเทศและประเทศอาเซียน การส่งเสริมการเคลื่อนย้ายฝีมือแรงงานอย่างเสรีในประชาคมอาเซียน "มทร.พระนคร จัดการเรียนการสอน 6 อาชีพหลัก คือ วิศวกร สถาปนิก นักสำรวจ นักบัญชี การท่องเที่ยว แพทย์แผนไทย บัณฑิตทุกมหาวิทยาลัยของไทย ต้องเร่งพัฒนาฝีมือของตนเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ สามารถแข่งขันและเพิ่มอัตราการจ้างงานของสถานประกอบการในประชาคมอาเซียนให้สูงขึ้น นอกจากนี้บัณฑิตประเทศอาเซียนที่ต้องการเข้ามาทำงานในประเทศไทยจะต้องเรียนรู้ทักษะวิชาชีพที่จำเป็นที่สถานประกอบการของประเทศไทยกำหนด การจัดการเรียนการสอนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไอที เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน เนื่องจากทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่สมควรได้รับการพัฒนาให้ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารและโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมทั้งการดำเนินธุรกิจกับบริษัทต่างชาติ การส่งเสริมภาษาไทยให้เป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลายระหว่างประเทศในอาเซียนก็เป็นส่วนสำคัญที่เป็นการวางรากฐานการพัฒนาบุคลากรและการพัฒนาประเทศ" รศ.ดวงสุดา กล่าว ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมหรือกิจกรรมทางวิชาการด้านวัฒนธรรม เป็นกิจกรรมที่สำคัญต่อความร่วมมือระหว่างกัน ความเข้าใจด้านวัฒนธรรมทำให้การทำงานและความร่วมมือเป็นไปอย่างราบรื่น การแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมผ่านทางกิจกรรมทางวัฒนธรรม ได้แก่ การใช้ภาษาไทยในการละเล่น ศิลปะ นาฏศิลป์ ดนตรี ช่วยกระตุ้นให้นักศึกษาไทยและนักศึกษาอาเซียนมีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อธิการบดีมทร.พระนคร ทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดทั้งปวงเพื่อเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งโลกอาชีพ พัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพคู่คุณธรรม สู่มาตรฐานสากลต้องปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกาภิวัตน์ และประชาคมอาเซียน รวมทั้งการจัดให้นักศึกษา อาจารย์ เข้าร่วมกิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษและวัฒนธรรม ณ มหาวิทยาลัยอาเซียน ให้นักศึกษาและอาจารย์ของ มทร.พระนคร ได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยของประเทศอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านต่างๆ นอกเหนือจากด้านภาษาและวัฒนธรรม เช่น งานวิจัย งานพัฒนาการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ............................................... (มทร.พระนคร ม.ชั้นนำแห่งโลกอาชีพ ปั้นบัณฑิตคุณภาพ-คุณธรรมรับอาเซียน : โดย...กมลทิพย์ ใบเงิน - หทัยรัตน์ ดีประเสริฐ)
Tuesday, January 15, 2013
สธ.เล็งสั่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปี56เร็วขึ้น
สธ.เล็งสั่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปี56เร็วขึ้น
วันที่ 15 ม.ค. 2556 นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) กล่าวถึงการเตรียมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ว่า ขณะนี้ สธ.มีการติดตามการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด เอ เอช3เอ็น2(H3N2) วิคตอเรียในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด หากในอีก 1-2 เดือนสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น สธ.จะพิจารณาสั่งนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่จะใช้ในปี 2556 เร็วขึ้น โดยวัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่จากเชื้อได้ 3 สายพันธุ์ คือ ชนิดบี H1N1 และ H3N2 วิคตอเรีย ที่เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา 'หากสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกายังแรงอยู่ อาจจะต้องมีการสั่งนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่เร็วขึ้น เพราะเมื่อสั่งไปแล้วไม่ได้หมายความว่าจะได้ในทันที ต้องมีระยะเวลาของการรอวัคซีนด้วย และจะฉีดให้กับประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเร็วขึ้นด้วย จากที่เริ่มฉีดในเดือนมิถุนายน 2556 เลื่อนเร็วขึ้นเป็นเดือนพฤษภาคม 2556 โดยการฉีดจะต้องคิดใหม่ ต้องฉีดให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงครบ 100 % ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ 3-4 ล้านโด๊สเท่านั้น' นพ.ประดิษฐกล่าว อนึ่ง ในปี 2555 สธ.ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง มะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด เบาหวาน ธาลัสซีเมีย และภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ 2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 3.ผู้ มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม 4.ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 5.เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี 6.หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป และ7.บุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสัตว์ปีก จำนวน 3.55ล้าน คน ใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากปี 2554 จำนวน 1 ล้านคน โดยเป็นวัคซีน 3 สายพันธุ์เช่นเดียวกับที่จะใช้ในปีนี้ แต่ในส่วนของเชื้อH3N2 จะเป็นสายพันธุ์ย่อยเพิร์ธ ขณะที่ปี 2556 เป็น วิคตอเรีย รพ.แม่สอดเตือนระวังไข้หวัดใหญ่ ด้าน นายแพทย์สมยศ กรินทราทันต์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่า 'ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นมีผู้ป่วยด้วยไข้หวัดจำนวนมากไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแม่สอด จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง และทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ส่วนปัญหาที่น่าวิตกในขณะนี้คือ ไข้หวัดใหญ่ที่กำลังแพร่ระบาดในยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยขณะนี้ได้ระบาดเข้ามาถึงประเทศจีนแล้ว จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง ซึ่งใครยังไม่เคยฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ ขอให้ไปรับการฉีดวัคซีน เพราะปล่อยให้เป็นบ่อยๆโดยไม่ฉีดวัคซีนป้องกัน ก็จะทรมานมากยิ่งขึ้น' 'อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้ มีประชาชนทั้งชาวไทย และชาวพม่าป่วยด้วยไข้หวัด และไปใช้บริการที่โรงพยาบาลแม่สอดมากขึ้น ทางโรงพยาบาลต้องระดมแพทย์ และพยาบาลให้การบริการอย่างเต็มที่' เม็กซิโกพบไข้หวัดนกสายพันธุ์รุนแรงระบาด ส่วนทางด้านสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) ได้อ้าง 'ThePoultrySite' ที่รายงานว่า หน่วยงานด้านสัตวแพทย์ของเม็กซิโก รายงานการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์รุนแรง (HPAI) ซีโรไทป์ H7N3 จำนวน 2 ครั้ง ในฟาร์มไก่ไข่ของรัฐ Aguascalientes ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. 2556 โดยพบว่ามีสัตว์ปีกในกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด 284,755 ตัว ติดโรค 2,990 ตัว และตาย 740 ตัว ซึ่งสัตว์ปีกที่เหลือถูกนำไปทำลาย การระบาดของไวรัสไข้หวัดนก H7N3 ในเม็กซิโก มีรายงานครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2555 ทางตอนเหนือของรัฐ Jalisco ทำให้เม็กซิโกได้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดทั้งเชิงรุกและเชิงรับ นอกเหนือไปจากมาตรการควบคุมและกำจัด .................................................................................................. (หมายเหตุ : ภาพจากแฟ้มข่าว)
วันที่ 15 ม.ค. 2556 นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) กล่าวถึงการเตรียมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ว่า ขณะนี้ สธ.มีการติดตามการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด เอ เอช3เอ็น2(H3N2) วิคตอเรียในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด หากในอีก 1-2 เดือนสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น สธ.จะพิจารณาสั่งนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่จะใช้ในปี 2556 เร็วขึ้น โดยวัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่จากเชื้อได้ 3 สายพันธุ์ คือ ชนิดบี H1N1 และ H3N2 วิคตอเรีย ที่เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา 'หากสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกายังแรงอยู่ อาจจะต้องมีการสั่งนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่เร็วขึ้น เพราะเมื่อสั่งไปแล้วไม่ได้หมายความว่าจะได้ในทันที ต้องมีระยะเวลาของการรอวัคซีนด้วย และจะฉีดให้กับประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเร็วขึ้นด้วย จากที่เริ่มฉีดในเดือนมิถุนายน 2556 เลื่อนเร็วขึ้นเป็นเดือนพฤษภาคม 2556 โดยการฉีดจะต้องคิดใหม่ ต้องฉีดให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงครบ 100 % ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ 3-4 ล้านโด๊สเท่านั้น' นพ.ประดิษฐกล่าว อนึ่ง ในปี 2555 สธ.ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง มะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด เบาหวาน ธาลัสซีเมีย และภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ 2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 3.ผู้ มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม 4.ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 5.เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี 6.หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป และ7.บุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสัตว์ปีก จำนวน 3.55ล้าน คน ใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากปี 2554 จำนวน 1 ล้านคน โดยเป็นวัคซีน 3 สายพันธุ์เช่นเดียวกับที่จะใช้ในปีนี้ แต่ในส่วนของเชื้อH3N2 จะเป็นสายพันธุ์ย่อยเพิร์ธ ขณะที่ปี 2556 เป็น วิคตอเรีย รพ.แม่สอดเตือนระวังไข้หวัดใหญ่ ด้าน นายแพทย์สมยศ กรินทราทันต์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่า 'ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นมีผู้ป่วยด้วยไข้หวัดจำนวนมากไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแม่สอด จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง และทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ส่วนปัญหาที่น่าวิตกในขณะนี้คือ ไข้หวัดใหญ่ที่กำลังแพร่ระบาดในยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยขณะนี้ได้ระบาดเข้ามาถึงประเทศจีนแล้ว จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง ซึ่งใครยังไม่เคยฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ ขอให้ไปรับการฉีดวัคซีน เพราะปล่อยให้เป็นบ่อยๆโดยไม่ฉีดวัคซีนป้องกัน ก็จะทรมานมากยิ่งขึ้น' 'อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้ มีประชาชนทั้งชาวไทย และชาวพม่าป่วยด้วยไข้หวัด และไปใช้บริการที่โรงพยาบาลแม่สอดมากขึ้น ทางโรงพยาบาลต้องระดมแพทย์ และพยาบาลให้การบริการอย่างเต็มที่' เม็กซิโกพบไข้หวัดนกสายพันธุ์รุนแรงระบาด ส่วนทางด้านสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) ได้อ้าง 'ThePoultrySite' ที่รายงานว่า หน่วยงานด้านสัตวแพทย์ของเม็กซิโก รายงานการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์รุนแรง (HPAI) ซีโรไทป์ H7N3 จำนวน 2 ครั้ง ในฟาร์มไก่ไข่ของรัฐ Aguascalientes ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. 2556 โดยพบว่ามีสัตว์ปีกในกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด 284,755 ตัว ติดโรค 2,990 ตัว และตาย 740 ตัว ซึ่งสัตว์ปีกที่เหลือถูกนำไปทำลาย การระบาดของไวรัสไข้หวัดนก H7N3 ในเม็กซิโก มีรายงานครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2555 ทางตอนเหนือของรัฐ Jalisco ทำให้เม็กซิโกได้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดทั้งเชิงรุกและเชิงรับ นอกเหนือไปจากมาตรการควบคุมและกำจัด .................................................................................................. (หมายเหตุ : ภาพจากแฟ้มข่าว)
เปิดม่านการศึกษา : 16 ม.ค.56
เปิดม่านการศึกษา : 16 ม.ค.56
0 แม้หลบไปอยู่หลังฉาก ไม่ได้นั่งเก้าอี้ว่าการ "ชินวรณ์ บุณยเกียรติ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จากพรรคประชาธิปัตย์ ก็อดเป็นห่วงอนาคตเด็กและเยาวชนไทยไม่ได้ 0 วงในกระซิบว่า เมื่อมีโอกาสได้ฝากฝังหลายเรื่องต่อ "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน จากพรรคเพื่อไทย ประมาณว่า "การศึกษาไม่มีคำว่าพรรคการเมือง"....สาธุ!! 0 ในฐานะเป็นทั้งครูและผู้บริหารสถานศึกษา ก่อนจะมาเป็นรัฐมนตรี "ครูชินวรณ์" ฝากฝังให้ "พงศ์เทพ" เดินหน้าเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กและเยาวชนไทย ก่อนเปิดเสรีอาเซียน ในหลายประเด็นร้อนที่ไม่ควรมองข้าม... 0 อาทิ กระทรวงศึกษาธิการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้อง "เอาจริง" กับ "คุณภาพการศึกษา" ของนักเรียนในทุกพื้นที่ ไม่ว่าภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑล ที่ดีอยู่แล้วก็ส่งเสริมสนับสนุนให้เดินหน้า ที่ย่ำแย่ก็เข้าไปคลุกคลีเพื่อหาทางเยียวยารักษาให้ถูกจุด 0 เมื่อนักเรียนมีคุณภาพแล้ว ต้องก้าวต่อตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ที่จะเกิดการพัฒนาหลักสูตร แลกเปลี่ยนครู แลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เอาจริงกับการพัฒนาด้านภาษาอาเซียน อาทิ ภาษาอังกฤษ ฯลฯ 0 ขณะที่ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมต้องกล้าที่จะเปิดสอนหลักสูตรอินเตอร์ แบบเอาจริง กระทรวงศึกษาธิการต้องไม่ไปบังคับออกกฎเกณฑ์อะไรมากมายที่ทำให้ชาวอุดมศึกษาเขาหนักใจ ภาคเอกชนที่ช่วยรัฐจัดการศึกษาก็ต้องดูแลลดหย่อนภาษีสนับสนุน เพราะลำพัง "รัฐ" ไม่สามารถจัดการศึกษาได้ดีมีคุณภาพ 0 เรียกได้ว่า ทุกประเด็นร้อน "ครูชินวรณ์" ฝากให้ "รมต.พงศ์เทพ" ผู้ประกาศลั่น การศึกษายุคปลอดการเมือง ช่วยขับเคลื่อนสานต่อ เพื่อนาคตของเราชาวไทย ไม่ใช่เพื่อพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด แต่หากการศึกษาไทย "มีคุณภาพ" บัณฑิตของไทยมีคุณภาพ โอกาสของการเข้าสู่การมีงานทำก็จะมีสูงมากตามไปด้วย ........................................ (คอลัมน์เปิดม่านการศึกษา : โดย...ครูแจ่ม)
0 แม้หลบไปอยู่หลังฉาก ไม่ได้นั่งเก้าอี้ว่าการ "ชินวรณ์ บุณยเกียรติ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จากพรรคประชาธิปัตย์ ก็อดเป็นห่วงอนาคตเด็กและเยาวชนไทยไม่ได้ 0 วงในกระซิบว่า เมื่อมีโอกาสได้ฝากฝังหลายเรื่องต่อ "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน จากพรรคเพื่อไทย ประมาณว่า "การศึกษาไม่มีคำว่าพรรคการเมือง"....สาธุ!! 0 ในฐานะเป็นทั้งครูและผู้บริหารสถานศึกษา ก่อนจะมาเป็นรัฐมนตรี "ครูชินวรณ์" ฝากฝังให้ "พงศ์เทพ" เดินหน้าเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กและเยาวชนไทย ก่อนเปิดเสรีอาเซียน ในหลายประเด็นร้อนที่ไม่ควรมองข้าม... 0 อาทิ กระทรวงศึกษาธิการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้อง "เอาจริง" กับ "คุณภาพการศึกษา" ของนักเรียนในทุกพื้นที่ ไม่ว่าภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑล ที่ดีอยู่แล้วก็ส่งเสริมสนับสนุนให้เดินหน้า ที่ย่ำแย่ก็เข้าไปคลุกคลีเพื่อหาทางเยียวยารักษาให้ถูกจุด 0 เมื่อนักเรียนมีคุณภาพแล้ว ต้องก้าวต่อตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ที่จะเกิดการพัฒนาหลักสูตร แลกเปลี่ยนครู แลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เอาจริงกับการพัฒนาด้านภาษาอาเซียน อาทิ ภาษาอังกฤษ ฯลฯ 0 ขณะที่ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมต้องกล้าที่จะเปิดสอนหลักสูตรอินเตอร์ แบบเอาจริง กระทรวงศึกษาธิการต้องไม่ไปบังคับออกกฎเกณฑ์อะไรมากมายที่ทำให้ชาวอุดมศึกษาเขาหนักใจ ภาคเอกชนที่ช่วยรัฐจัดการศึกษาก็ต้องดูแลลดหย่อนภาษีสนับสนุน เพราะลำพัง "รัฐ" ไม่สามารถจัดการศึกษาได้ดีมีคุณภาพ 0 เรียกได้ว่า ทุกประเด็นร้อน "ครูชินวรณ์" ฝากให้ "รมต.พงศ์เทพ" ผู้ประกาศลั่น การศึกษายุคปลอดการเมือง ช่วยขับเคลื่อนสานต่อ เพื่อนาคตของเราชาวไทย ไม่ใช่เพื่อพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด แต่หากการศึกษาไทย "มีคุณภาพ" บัณฑิตของไทยมีคุณภาพ โอกาสของการเข้าสู่การมีงานทำก็จะมีสูงมากตามไปด้วย ........................................ (คอลัมน์เปิดม่านการศึกษา : โดย...ครูแจ่ม)
สวัสดิภาพคุณภาพการศึกษาของขวัญครู
สวัสดิภาพคุณภาพการศึกษาของขวัญครู
วันที่ 16 มกราคม ตรงกับ "วันครูแห่งชาติ" วันนี้ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความต้องการอะไร อยากได้อะไรเป็นของขวัญ... ประเดิมด้วย ดร.สงวน อินทรักษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตาบา จ.นราธิวาส กล่าวว่า อยากได้ความปลอดภัยที่รัฐบาลต้องเข้มงวดเจ้าหน้าที่ อย่าให้เผอเรอในขณะทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากเกรงว่า หลังจากไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแล้ว กลัวว่ามาตรการในการรักษาความปลอดภัยจะหย่อนยานตามไปด้วย "ขอให้การทำหน้าที่มีความเข้มข้นตลอดเวลา" "ต่อมามาตรการในการควบคุมคุณภาพทางการศึกษา อยากให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยเฉพาะ สพฐ.มีมาตรการในการติดตาม ทางสำนักงานเขตพื้นที่ได้ลงตรวจสอบ ได้ลงควบคุม ได้ลงติดตาม แล้วก็ได้ให้กำลังใจและแก้ปัญหาให้โรงเรียนทุกแห่ง ปัจจุบันส่วนใหญ่โรงเรียนยังต้องบริหารงานกันตามยถากรรมกันเกือบทุกแห่ง เรามีเขตพื้นที่เยอะ แต่กลับกลายเป็นว่าสำนักงานเขตพื้นที่ไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงที่แท้จริง มีการควบคุมติดตามในระบบ แต่ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว สำนักงานเขตพื้นที่ไม่ได้ลงถึงโรงเรียน" ดร.สงวน กล่าว นายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านยะหา จ.ยะลา กล่าวว่า วันครูสิ่งที่อยากได้จริงๆ คือความสันติสุขในพื้นที่ และอยากจะให้กระทรวงศึกษาธิการคำนึงถึงระบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของนักเรียนอย่างแท้จริง ถ้าทำทั้ง 2 เรื่องนี้ได้ก็คงดีมาก เพราะระบบบริหารจัดการในกระทรวง ตั้งแต่ระดับกระทรวงจนถึงโรงเรียน มันต้องกระชับมากกว่านี้ ซึ่งขณะนี้มีช่องโหว่เยอะ ทำให้การศึกษาใต้ไม่มีคุณภาพ "ช่องโหว่ที่ว่า หมายถึงผู้บริหารระดับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาไม่สนใจการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยส่วนใหญ่ทั้ง 11 เขต ลองมาเจาะลึกดูให้จริงๆ ว่า มีสักกี่เขตที่เอาใจใส่ สนใจเรื่องการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง ไม่ค่อยมี ซึ่งตรงนี้สำคัญ เพราะระดับผู้อำนวยการเขตพื้นที่เปรียบเหมือนเกียร์ 1 ของรถ ถ้าเกียร์ 1 ไม่ขยับ เกียร์ 2, 3, 4 มันก็ว่างไปหมด อันนี้สำคัญ ประการต่อมาก็คือ ชาวการศึกษา ต้องเข้าใจเรื่องความมั่นคงในบริบทของพื้นที่ 3จังหวัดใต้ด้วย" นายประสิทธิ์ กล่าว นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า วันครูที่จะถึงนี้ เราได้คุยระหว่างโรงเรียนใน อ.ยะหา ว่า ต่อไปนี้จะพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อทำให้ชุมชนรู้สึกว่า โรงเรียนเป็นของเขา เป็นโรงเรียนชุมชน เมื่อก่อนเราก็มีโครงการโรงเรียนชุมชนอยู่แล้วสมัยคอมมิวนิสต์ แต่เรามายกเลิกในตอนหลัง เราเฉยๆ ก็เลยกลายเป็นช่องว่าง เราอ้างสถานการณ์ว่าไม่ปลอดภัย ก็เลยไม่ออกชุมชน ทำให้เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น "เรื่องสวัสดิการ ผมไม่อยากพูดถึง เพราะในสถานการณ์อย่างนี้เรามาพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวคงไม่เหมาะ" นายประสิทธิ์ กล่าว นายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า วันครูปีนี้ สิ่งที่ครูในพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ต้องการคือ 1.เรื่องสวัสดิภาพ ความปลอดภัย ให้มีความปลอดภัย ในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ให้มีคุณภาพ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนให้ได้ 2.เมื่อมีความปลอดภัยแล้ว อยากให้คุณครูที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งมีอยู่หลากหลายรูปแบบ หลายสถานภาพ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีพอควรแก่การครองตน ตามอัตภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างจริงใจและจริงจัง ในการที่จะมาเสริมแรง เสริมกำลังใจให้ครูในพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ "ในวันครูปีนี้ ขอบคุณพี่น้องเพื่อนครู และประชาชน ที่ให้กำลังใจ สนับสนุน การทำงานของพวกเรามาโดยตลอด และขอยืนยันว่า ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจ.สงขลา จะยืนหยัดในวิชาชีพครู เพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีผลสำเร็จทางการเรียน มุ่งพัฒนาเด็กให้มีคุณธรรม จริยธรรม พร้อมจะเป็นคนดีของสังคมในอนาคต" ประธานสมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าว ........................................................... ครูจูหลิงยังอยู่ในหัวใจ เพื่อนครู-นักเรียน ครบรอบ 6 ปีของการสูญเสีย ครูจูหลิง ปงกันมูล ร.ร.บ้านกูจิงลือปะ ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จากเหตุการณ์กลุ่มก่อความไม่สงบรุมทำร้ายจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2550 นายลุกมาน หะยีกาเล็ง ผอ.ร.ร.บ้านกูจิงลือปะ กล่าวว่า ถึงแม้จะเพิ่งมารับตำแหน่งที่โรงเรียนแห่งนี้ได้เพียง 6 เดือน และไม่ได้รู้จักครูจูหลิงเป็นการส่วนตัว แต่ในฐานะผู้ร่วมอาชีพเดียวกัน รู้สึกเสียใจอย่างมากต่อการจากไปของครูสาวตัวเล็กๆ คนนี้ และคิดว่าเป็นอุทาหรณ์และบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่เฉพาะรายของครูจูหลิงเท่านั้น แต่รวมถึงครูทั้ง 157 คน ที่ต้องเสียสละชีวิตจากน้ำมือของผู้ไม่หวังดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับบุคลากรทางการศึกษา เพราะครูไม่ได้ไปรบราฆ่าฟันใคร จับชอล์กจับหนังสือเพื่อสอนลูกศิษย์เท่านั้น โดยเฉพาะครูจูหลิงที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจากภาคเหนือ เพื่ออาสามาสอนเด็ก ทั้งๆ ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบแต่ใจเธอยิ่งใหญ่มาก มุ่งที่จะมาให้ความรู้แก่นักเรียนและก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุด ถึงแม้เหตุที่เกิดกับครูจูหลิงผ่านไป 6 ปี ครูที่เหลือยังไม่ลืม เพราะเหตุร้ายเกิดขึ้นกับครู ตอกย้ำความรู้สึกที่หวาดกลัวทุกวัน แทนที่ครูจะได้ทุ่มเทเพื่อการสอนอย่างเต็มที่ ต้องคอยพะวงอยู่กับความปลอดภัย กระทบหมดทั้งสุขภาพจิตและการสอน แต่ด้วยความเป็นครูต้องทำหน้าที่ต่อไปซึ่งใจได้แต่ภาวนาขอให้เหตุร้ายๆ ผ่านไปเสียที นางนุชอาสิกีน ลาบอ ครูชั้น ป.6 ร.ร.บ้านกูจิงลือปะ กล่าวว่า ครูจูหลิง หรือครูจุ้ย ยังอยู่ในใจตลอดเวลาไม่เคยลืม จดจำได้แม้กระทั่งวันแรกที่รู้จักจนกระทั่งวันที่ต้องสูญเสียเพื่อนคนนี้ไปอย่างโหดร้าย ยังเศร้าและคิดถึง โดยเก็บรูปถ่ายและข้อความที่เขียนไว้เวลาที่คิดถึง ที่ผ่านมาครูจุ้ยได้ทำหน้าที่ของครูที่ดีมากๆ ไม่เคยเห็นใครที่จริงจังและมีความสุขกับการทำหน้าที่ของครูได้เท่าเธอคนนี้ เพื่อนๆ ครู และเด็กๆ รักมาก วาดรูปเก่ง ทำกับข้าวเก่ง ซึ่งตนเองได้ยึดครูจุ้ยเป็นต้นแบบ และจะพยายามทำหน้าที่ของครูให้ดีเท่ากับครูจุ้ยให้ได้ ด.ญ.ซอรีฮะห์ กาซอ นักเรียนชั้น ป.6 กล่าวว่า ช่วงที่ครูจูหลิงถูกทำร้าย ตนเองอยู่ชั้นอนุบาล เลยไม่รู้เรื่อง แต่ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากครูและผลงานในห้องสมุดของโรงเรียนกูจิงลือปะ เสียดายที่ไม่ได้เรียนกับครูจุ้ย แต่เชื่อว่าครูยังคอยเฝ้ามองลูกศิษย์ที่นี่ด้วยความห่วงใย สัญญาว่าจะตั้งใจเรียน เพื่อจะไม่ทำให้ครูจุ้ยผิดหวัง ................................................................ (สวัสดิภาพ-คุณภาพการศึกษา ของขวัญที่ครู 3 จว.ใต้ต้องการ : โดย....สมชาย สามารถ / สัญฐิติ ขอจิตต์เมตต์)
วันที่ 16 มกราคม ตรงกับ "วันครูแห่งชาติ" วันนี้ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความต้องการอะไร อยากได้อะไรเป็นของขวัญ... ประเดิมด้วย ดร.สงวน อินทรักษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตาบา จ.นราธิวาส กล่าวว่า อยากได้ความปลอดภัยที่รัฐบาลต้องเข้มงวดเจ้าหน้าที่ อย่าให้เผอเรอในขณะทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากเกรงว่า หลังจากไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแล้ว กลัวว่ามาตรการในการรักษาความปลอดภัยจะหย่อนยานตามไปด้วย "ขอให้การทำหน้าที่มีความเข้มข้นตลอดเวลา" "ต่อมามาตรการในการควบคุมคุณภาพทางการศึกษา อยากให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยเฉพาะ สพฐ.มีมาตรการในการติดตาม ทางสำนักงานเขตพื้นที่ได้ลงตรวจสอบ ได้ลงควบคุม ได้ลงติดตาม แล้วก็ได้ให้กำลังใจและแก้ปัญหาให้โรงเรียนทุกแห่ง ปัจจุบันส่วนใหญ่โรงเรียนยังต้องบริหารงานกันตามยถากรรมกันเกือบทุกแห่ง เรามีเขตพื้นที่เยอะ แต่กลับกลายเป็นว่าสำนักงานเขตพื้นที่ไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงที่แท้จริง มีการควบคุมติดตามในระบบ แต่ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว สำนักงานเขตพื้นที่ไม่ได้ลงถึงโรงเรียน" ดร.สงวน กล่าว นายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านยะหา จ.ยะลา กล่าวว่า วันครูสิ่งที่อยากได้จริงๆ คือความสันติสุขในพื้นที่ และอยากจะให้กระทรวงศึกษาธิการคำนึงถึงระบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของนักเรียนอย่างแท้จริง ถ้าทำทั้ง 2 เรื่องนี้ได้ก็คงดีมาก เพราะระบบบริหารจัดการในกระทรวง ตั้งแต่ระดับกระทรวงจนถึงโรงเรียน มันต้องกระชับมากกว่านี้ ซึ่งขณะนี้มีช่องโหว่เยอะ ทำให้การศึกษาใต้ไม่มีคุณภาพ "ช่องโหว่ที่ว่า หมายถึงผู้บริหารระดับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาไม่สนใจการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยส่วนใหญ่ทั้ง 11 เขต ลองมาเจาะลึกดูให้จริงๆ ว่า มีสักกี่เขตที่เอาใจใส่ สนใจเรื่องการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง ไม่ค่อยมี ซึ่งตรงนี้สำคัญ เพราะระดับผู้อำนวยการเขตพื้นที่เปรียบเหมือนเกียร์ 1 ของรถ ถ้าเกียร์ 1 ไม่ขยับ เกียร์ 2, 3, 4 มันก็ว่างไปหมด อันนี้สำคัญ ประการต่อมาก็คือ ชาวการศึกษา ต้องเข้าใจเรื่องความมั่นคงในบริบทของพื้นที่ 3จังหวัดใต้ด้วย" นายประสิทธิ์ กล่าว นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า วันครูที่จะถึงนี้ เราได้คุยระหว่างโรงเรียนใน อ.ยะหา ว่า ต่อไปนี้จะพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อทำให้ชุมชนรู้สึกว่า โรงเรียนเป็นของเขา เป็นโรงเรียนชุมชน เมื่อก่อนเราก็มีโครงการโรงเรียนชุมชนอยู่แล้วสมัยคอมมิวนิสต์ แต่เรามายกเลิกในตอนหลัง เราเฉยๆ ก็เลยกลายเป็นช่องว่าง เราอ้างสถานการณ์ว่าไม่ปลอดภัย ก็เลยไม่ออกชุมชน ทำให้เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น "เรื่องสวัสดิการ ผมไม่อยากพูดถึง เพราะในสถานการณ์อย่างนี้เรามาพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวคงไม่เหมาะ" นายประสิทธิ์ กล่าว นายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า วันครูปีนี้ สิ่งที่ครูในพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ต้องการคือ 1.เรื่องสวัสดิภาพ ความปลอดภัย ให้มีความปลอดภัย ในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ให้มีคุณภาพ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนให้ได้ 2.เมื่อมีความปลอดภัยแล้ว อยากให้คุณครูที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งมีอยู่หลากหลายรูปแบบ หลายสถานภาพ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีพอควรแก่การครองตน ตามอัตภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างจริงใจและจริงจัง ในการที่จะมาเสริมแรง เสริมกำลังใจให้ครูในพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ "ในวันครูปีนี้ ขอบคุณพี่น้องเพื่อนครู และประชาชน ที่ให้กำลังใจ สนับสนุน การทำงานของพวกเรามาโดยตลอด และขอยืนยันว่า ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจ.สงขลา จะยืนหยัดในวิชาชีพครู เพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีผลสำเร็จทางการเรียน มุ่งพัฒนาเด็กให้มีคุณธรรม จริยธรรม พร้อมจะเป็นคนดีของสังคมในอนาคต" ประธานสมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าว ........................................................... ครูจูหลิงยังอยู่ในหัวใจ เพื่อนครู-นักเรียน ครบรอบ 6 ปีของการสูญเสีย ครูจูหลิง ปงกันมูล ร.ร.บ้านกูจิงลือปะ ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จากเหตุการณ์กลุ่มก่อความไม่สงบรุมทำร้ายจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2550 นายลุกมาน หะยีกาเล็ง ผอ.ร.ร.บ้านกูจิงลือปะ กล่าวว่า ถึงแม้จะเพิ่งมารับตำแหน่งที่โรงเรียนแห่งนี้ได้เพียง 6 เดือน และไม่ได้รู้จักครูจูหลิงเป็นการส่วนตัว แต่ในฐานะผู้ร่วมอาชีพเดียวกัน รู้สึกเสียใจอย่างมากต่อการจากไปของครูสาวตัวเล็กๆ คนนี้ และคิดว่าเป็นอุทาหรณ์และบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่เฉพาะรายของครูจูหลิงเท่านั้น แต่รวมถึงครูทั้ง 157 คน ที่ต้องเสียสละชีวิตจากน้ำมือของผู้ไม่หวังดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับบุคลากรทางการศึกษา เพราะครูไม่ได้ไปรบราฆ่าฟันใคร จับชอล์กจับหนังสือเพื่อสอนลูกศิษย์เท่านั้น โดยเฉพาะครูจูหลิงที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจากภาคเหนือ เพื่ออาสามาสอนเด็ก ทั้งๆ ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบแต่ใจเธอยิ่งใหญ่มาก มุ่งที่จะมาให้ความรู้แก่นักเรียนและก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุด ถึงแม้เหตุที่เกิดกับครูจูหลิงผ่านไป 6 ปี ครูที่เหลือยังไม่ลืม เพราะเหตุร้ายเกิดขึ้นกับครู ตอกย้ำความรู้สึกที่หวาดกลัวทุกวัน แทนที่ครูจะได้ทุ่มเทเพื่อการสอนอย่างเต็มที่ ต้องคอยพะวงอยู่กับความปลอดภัย กระทบหมดทั้งสุขภาพจิตและการสอน แต่ด้วยความเป็นครูต้องทำหน้าที่ต่อไปซึ่งใจได้แต่ภาวนาขอให้เหตุร้ายๆ ผ่านไปเสียที นางนุชอาสิกีน ลาบอ ครูชั้น ป.6 ร.ร.บ้านกูจิงลือปะ กล่าวว่า ครูจูหลิง หรือครูจุ้ย ยังอยู่ในใจตลอดเวลาไม่เคยลืม จดจำได้แม้กระทั่งวันแรกที่รู้จักจนกระทั่งวันที่ต้องสูญเสียเพื่อนคนนี้ไปอย่างโหดร้าย ยังเศร้าและคิดถึง โดยเก็บรูปถ่ายและข้อความที่เขียนไว้เวลาที่คิดถึง ที่ผ่านมาครูจุ้ยได้ทำหน้าที่ของครูที่ดีมากๆ ไม่เคยเห็นใครที่จริงจังและมีความสุขกับการทำหน้าที่ของครูได้เท่าเธอคนนี้ เพื่อนๆ ครู และเด็กๆ รักมาก วาดรูปเก่ง ทำกับข้าวเก่ง ซึ่งตนเองได้ยึดครูจุ้ยเป็นต้นแบบ และจะพยายามทำหน้าที่ของครูให้ดีเท่ากับครูจุ้ยให้ได้ ด.ญ.ซอรีฮะห์ กาซอ นักเรียนชั้น ป.6 กล่าวว่า ช่วงที่ครูจูหลิงถูกทำร้าย ตนเองอยู่ชั้นอนุบาล เลยไม่รู้เรื่อง แต่ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากครูและผลงานในห้องสมุดของโรงเรียนกูจิงลือปะ เสียดายที่ไม่ได้เรียนกับครูจุ้ย แต่เชื่อว่าครูยังคอยเฝ้ามองลูกศิษย์ที่นี่ด้วยความห่วงใย สัญญาว่าจะตั้งใจเรียน เพื่อจะไม่ทำให้ครูจุ้ยผิดหวัง ................................................................ (สวัสดิภาพ-คุณภาพการศึกษา ของขวัญที่ครู 3 จว.ใต้ต้องการ : โดย....สมชาย สามารถ / สัญฐิติ ขอจิตต์เมตต์)
Monday, January 14, 2013
เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : ทำไมเราแพ้ท้อง
เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : ทำไมเราแพ้ท้อง
สวัสดีคะน้องๆ วันเด็กที่ผ่านมา สุขสุดๆ ใช่เปล่าคะ ไงก็อย่าลืมปฏิบัติตามคำขวัญ "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน" ไปใช้กันนะคะ ส่วนคำถามที่น้องก้อยฝากถามพี่ว่า ทำไมเราแพ้ท้อง จากหนังสือ เหตุผลจองธรรมชาติ ที่เขียนโดย นายชัชพล เกียรติขจรธาดา อธิบายว่า อาการหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนแรกๆ ของการตั้งครรภ์ คือ อาการแพ้ท้อง ซึ่งเป็นภาวะที่จู่ๆ พฤติกรรมการกินก็เกิดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างกะทันหันและเกิดขึ้นอยู่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งลักษณะเช่นนี้น่าสนใจเพราะคล้ายกับอาการเบื่ออาหารเวลาไม่สบายที่เราคุยกันไปแล้ว ในคนที่แพ้ท้องความอยากอาหารจะเปลี่ยนไปจากอาหารที่เดิมเคยชอบ ก็จะกลายเป็นไม่ชอบ อาหารที่เคยไม่ชอบก็เกดอยากกินขึ้นมา และอาการเด่นอีกอย่าง คือ คลื่นไส้ อาเจียน ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาอาการแพ้ท้อง เกิดจากสองส่วน ส่วนแรกร่างกายของแม่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่สองคือ อาหารแต่ละชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องไม่เท่ากัน โดยมีอาหารที่กระตุ้น จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ และพวกพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากต้นไม้ เช่น เครื่องเทศชนิดต่างๆ กาแฟ และบุหรี่ ด้าน รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล Faculty of Medicine Siriraj Hospital กล่าวว่า การแพ้ท้องน่าจะเป็นกลไกของร่างกายคุณแม่ที่จะปฏิเสธสิ่งที่คุณแม่จะกินเข้าไปทุกชนิด เพราะกลัวว่าจะไปทำอันตรายต่อตัวลูกน้อยในท้อง เหตุที่เชื่อเช่นนั้น เพราะพบว่าส่วนมากแล้ว ช่วงเวลาที่คุณแม่แพ้ท้องมักจะเป็นช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกกำลังมีการสร้างอวัยวะต่างๆ มากมาย ภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว การสร้างอวัยวะต่างๆ จะเสร็จสิ้นเกือบหมดแล้ว การแพ้ท้องก็มักจะหายตามไปด้วย นอกจากนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับปริมาณของฮอร์โมนที่สร้างมาจากรกที่ชื่อว่า Human Chorionic Gonadotrophin หรือเรียกย่อๆ ว่า HCG ยิ่งมีเนื้อรกมากก็จะยิ่งสร้างฮอร์โมน HCG ได้มาก อาการแพ้ท้องก็จะยิ่งมากตามไปด้วย แล้วพบกันสัปดาห์หน้าคะ --------------------- (ทำไมเราแพ้ท้อง : เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : โดย...พี่ฮัมมิ่งเบิร์ด tan12_aa@hotmail.com)
สวัสดีคะน้องๆ วันเด็กที่ผ่านมา สุขสุดๆ ใช่เปล่าคะ ไงก็อย่าลืมปฏิบัติตามคำขวัญ "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน" ไปใช้กันนะคะ ส่วนคำถามที่น้องก้อยฝากถามพี่ว่า ทำไมเราแพ้ท้อง จากหนังสือ เหตุผลจองธรรมชาติ ที่เขียนโดย นายชัชพล เกียรติขจรธาดา อธิบายว่า อาการหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนแรกๆ ของการตั้งครรภ์ คือ อาการแพ้ท้อง ซึ่งเป็นภาวะที่จู่ๆ พฤติกรรมการกินก็เกิดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างกะทันหันและเกิดขึ้นอยู่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งลักษณะเช่นนี้น่าสนใจเพราะคล้ายกับอาการเบื่ออาหารเวลาไม่สบายที่เราคุยกันไปแล้ว ในคนที่แพ้ท้องความอยากอาหารจะเปลี่ยนไปจากอาหารที่เดิมเคยชอบ ก็จะกลายเป็นไม่ชอบ อาหารที่เคยไม่ชอบก็เกดอยากกินขึ้นมา และอาการเด่นอีกอย่าง คือ คลื่นไส้ อาเจียน ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาอาการแพ้ท้อง เกิดจากสองส่วน ส่วนแรกร่างกายของแม่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่สองคือ อาหารแต่ละชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องไม่เท่ากัน โดยมีอาหารที่กระตุ้น จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ และพวกพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากต้นไม้ เช่น เครื่องเทศชนิดต่างๆ กาแฟ และบุหรี่ ด้าน รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล Faculty of Medicine Siriraj Hospital กล่าวว่า การแพ้ท้องน่าจะเป็นกลไกของร่างกายคุณแม่ที่จะปฏิเสธสิ่งที่คุณแม่จะกินเข้าไปทุกชนิด เพราะกลัวว่าจะไปทำอันตรายต่อตัวลูกน้อยในท้อง เหตุที่เชื่อเช่นนั้น เพราะพบว่าส่วนมากแล้ว ช่วงเวลาที่คุณแม่แพ้ท้องมักจะเป็นช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกกำลังมีการสร้างอวัยวะต่างๆ มากมาย ภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว การสร้างอวัยวะต่างๆ จะเสร็จสิ้นเกือบหมดแล้ว การแพ้ท้องก็มักจะหายตามไปด้วย นอกจากนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับปริมาณของฮอร์โมนที่สร้างมาจากรกที่ชื่อว่า Human Chorionic Gonadotrophin หรือเรียกย่อๆ ว่า HCG ยิ่งมีเนื้อรกมากก็จะยิ่งสร้างฮอร์โมน HCG ได้มาก อาการแพ้ท้องก็จะยิ่งมากตามไปด้วย แล้วพบกันสัปดาห์หน้าคะ --------------------- (ทำไมเราแพ้ท้อง : เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : โดย...พี่ฮัมมิ่งเบิร์ด tan12_aa@hotmail.com)
แรงงานปรับตัวกลับถิ่นเกิด
แรงงานปรับตัวกลับถิ่นเกิด
หลังจากมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 300 บาท โดยมีผลบังคับใช้พร้อมกันทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 การปรับตัวครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ที่หลายฝ่ายเป็นกังวลว่าจะปรับตัวอย่างไร และสามารถผ่านพ้นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้หรือไม่ สุวัฒชัย อิษฎ์สกุลวงค์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เดย์ เทรดดิ้ง จำกัด กิจการนำเข้าสินค้าด้านเคมีอาหาร และยางขนาดเอสเอ็มอี มีลูกจ้าง 7 คน ย่านบางขุนเทียน กทม. กล่าวว่า ไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้ เพราะจ่ายค่าจ้างประมาณวันละ 500-600 บาทอยู่แล้ว โดยงานบางอย่างจะจ้างเอาท์ซอร์สทำ เช่น การขนส่งสินค้า จะได้ไม่ต้องไปลงทุนซื้อรถยนต์ หรือจ้างคนเพิ่ม แต่ที่อยากสะท้อนปัญหาไปถึงรัฐบาลคือ เรื่องค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า เป็นเรื่องปกติของธุรกิจ ที่หากเกิดความเสี่ยงหรือวิกฤติอะไรก็ตาม สิ่งแรกที่จะลดต้นทุนคือเลิกจ้างหรือลดคนงาน เพราะทำได้ง่ายที่สุด แต่ตอนนี้หลายกิจการใน กทม.และปริมณฑล กำลังประสบปัญหาขาดคนงาน เพราะลูกจ้างลาออกแล้วย้ายไปสมัครงานที่ต่างจังหวัด เนื่องจากได้ค่าจ้างวันละ 350 บาท แต่ถ้ากลับไปทำงาน ตจว.บ้านเกิด ได้ค่าจ้าง 300 บาท แถมค่าครองชีพถูกกว่าใน กทม.มาก "หากมีธุรกิจที่ไปไม่ไหว คิดว่ามันเป็นเพราะตัวธุรกิจของเขาเองที่ไปไม่ไหวจริงๆ มากกว่า นอกจากนี้ก็เป็นพวกกิจการสิ่งทอ ตัดเย็บเสื้อผ้า และพวกกิจการต่อเนื่องประมงทะเล ซึ่งใช้แรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะสิ่งทอ และตัดเย็บที่ลูกค้าจากต่างประเทศมีทางเลือกมากมายทั้งในกัมพูชา เวียดนาม" ด้าน คงศักดิ์ ธรานิศร กรรมการผู้จัดการโรงแรมพะเยานอร์ทเทิร์นเลค และนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.พะเยา /รองประธานหอการค้าจังหวัดพะเยา กล่าวว่า ผู้ประกอบการในพะเยาต่างพยายามประคองตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหานี้ไปให้ได้ โดยไม่ขึ้นราคาสินค้าและบริการ หากไม่ไหวจริงๆ ก็จะต้องเจรจากับลูกจ้าง เพราะพะเยาเป็นจังหวัดเล็กๆ ปริมาณงานของลูกจ้างในแต่ละวันไม่มากนัก เช่น กิจการโรงแรมทำงานเฉลี่ยวันละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น หากไม่มีลูกค้าก็พักผ่อนไป แต่ถ้าลูกค้าเยอะก็ได้เงินเพิ่มพิเศษ หากใครรับไม่ได้ก็ให้สมัครใจลาออก และไม่มีการรับคนงานเพิ่ม "หลังการปรับค่าจ้าง 300 บาท อาจมีการเลิกจ้างหรือปิดกิจการ ประกอบกับมีธุรกิจโรงแรมใหม่ๆ ผุดตัวขึ้นในพะเยาอีกหลายแห่ง ส่วนแบ่งการตลาดก็ต้องถูกแบ่งออกไป ลูกจ้างเองก็ต้องมีปริมาณงานเพิ่มขึ้น เพราะนายจ้างจะไม่รับคนงานเพิ่ม ที่สำคัญคือ ต้องมีทักษะเพิ่มขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับค่าจ้างที่ได้รับ แต่อยากฝากถึงรัฐบาลว่า ตอนนี้ค่าไฟแพงมาก เมื่อปีสองปีก่อนจ่ายค่าไฟเดือนละ 6-7 หมื่นบาท แต่ตอนนี้ปรับขึ้นมาเป็นเดือนละประมาณ 1 แสนบาท ทั้งที่การใช้ไฟเท่าเดิม นับเป็นต้นทุนการผลิตที่น่าเป็นห่วงมาก" คงศักดิ์กล่าว อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน "เผดิมชัย สะสมทรัพย์" กลับมองว่า เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท ขอให้ผ่านไตรมาสแรกของปีนี้ไปก่อน โดยอ้างข้อมูลกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ว่า สถานประกอบการที่เลิกจ้างในช่วงปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นนั้น มีสาเหตุจากประสบปัญหาขาดทุนสะสมมานาน และยอดการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลงมากกว่า ล่าสุดได้เชิญผู้บริหารทั้ง 5 หน่วยงานของกระทรวงแรงงานมาหารือเพื่อกำชับให้เฝ้าระวังและประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง รวมทั้งกำหนดแนวทางช่วยเหลือแรงงานให้สอดรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น และให้ทุกหน่วยงานรายงานผลกระทบที่เกิดขึ้นมายังกระทรวงแรงงานเป็นระยะ ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือมาแล้ว 11 มาตรการ และกระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอรัฐบาลให้ออกมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจเพิ่มเติม โดยเน้นมาตรการภาษี เช่น การปรับลดภาษีหักเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2 ของเงินค่าจ้าง "เท่าที่ได้พูดคุยกัน พบว่า สถานประกอบการขนาดใหญ่ร้อยละ 80 กังวลเรื่องค่าวัตถุดิบ และยอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศจะลดลง มากกว่าเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้าง" นายเผดิมชัย กล่าว นาทีนี้ ทุกฝ่ายคงจะต้องประเมินสถานการณ์ ผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในต้นปีนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเหรียญมีสองด้าน การปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นวันละ 300 บาททั่วประเทศก็เช่นกัน
หลังจากมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 300 บาท โดยมีผลบังคับใช้พร้อมกันทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 การปรับตัวครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ที่หลายฝ่ายเป็นกังวลว่าจะปรับตัวอย่างไร และสามารถผ่านพ้นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้หรือไม่ สุวัฒชัย อิษฎ์สกุลวงค์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เดย์ เทรดดิ้ง จำกัด กิจการนำเข้าสินค้าด้านเคมีอาหาร และยางขนาดเอสเอ็มอี มีลูกจ้าง 7 คน ย่านบางขุนเทียน กทม. กล่าวว่า ไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้ เพราะจ่ายค่าจ้างประมาณวันละ 500-600 บาทอยู่แล้ว โดยงานบางอย่างจะจ้างเอาท์ซอร์สทำ เช่น การขนส่งสินค้า จะได้ไม่ต้องไปลงทุนซื้อรถยนต์ หรือจ้างคนเพิ่ม แต่ที่อยากสะท้อนปัญหาไปถึงรัฐบาลคือ เรื่องค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า เป็นเรื่องปกติของธุรกิจ ที่หากเกิดความเสี่ยงหรือวิกฤติอะไรก็ตาม สิ่งแรกที่จะลดต้นทุนคือเลิกจ้างหรือลดคนงาน เพราะทำได้ง่ายที่สุด แต่ตอนนี้หลายกิจการใน กทม.และปริมณฑล กำลังประสบปัญหาขาดคนงาน เพราะลูกจ้างลาออกแล้วย้ายไปสมัครงานที่ต่างจังหวัด เนื่องจากได้ค่าจ้างวันละ 350 บาท แต่ถ้ากลับไปทำงาน ตจว.บ้านเกิด ได้ค่าจ้าง 300 บาท แถมค่าครองชีพถูกกว่าใน กทม.มาก "หากมีธุรกิจที่ไปไม่ไหว คิดว่ามันเป็นเพราะตัวธุรกิจของเขาเองที่ไปไม่ไหวจริงๆ มากกว่า นอกจากนี้ก็เป็นพวกกิจการสิ่งทอ ตัดเย็บเสื้อผ้า และพวกกิจการต่อเนื่องประมงทะเล ซึ่งใช้แรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะสิ่งทอ และตัดเย็บที่ลูกค้าจากต่างประเทศมีทางเลือกมากมายทั้งในกัมพูชา เวียดนาม" ด้าน คงศักดิ์ ธรานิศร กรรมการผู้จัดการโรงแรมพะเยานอร์ทเทิร์นเลค และนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.พะเยา /รองประธานหอการค้าจังหวัดพะเยา กล่าวว่า ผู้ประกอบการในพะเยาต่างพยายามประคองตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหานี้ไปให้ได้ โดยไม่ขึ้นราคาสินค้าและบริการ หากไม่ไหวจริงๆ ก็จะต้องเจรจากับลูกจ้าง เพราะพะเยาเป็นจังหวัดเล็กๆ ปริมาณงานของลูกจ้างในแต่ละวันไม่มากนัก เช่น กิจการโรงแรมทำงานเฉลี่ยวันละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น หากไม่มีลูกค้าก็พักผ่อนไป แต่ถ้าลูกค้าเยอะก็ได้เงินเพิ่มพิเศษ หากใครรับไม่ได้ก็ให้สมัครใจลาออก และไม่มีการรับคนงานเพิ่ม "หลังการปรับค่าจ้าง 300 บาท อาจมีการเลิกจ้างหรือปิดกิจการ ประกอบกับมีธุรกิจโรงแรมใหม่ๆ ผุดตัวขึ้นในพะเยาอีกหลายแห่ง ส่วนแบ่งการตลาดก็ต้องถูกแบ่งออกไป ลูกจ้างเองก็ต้องมีปริมาณงานเพิ่มขึ้น เพราะนายจ้างจะไม่รับคนงานเพิ่ม ที่สำคัญคือ ต้องมีทักษะเพิ่มขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับค่าจ้างที่ได้รับ แต่อยากฝากถึงรัฐบาลว่า ตอนนี้ค่าไฟแพงมาก เมื่อปีสองปีก่อนจ่ายค่าไฟเดือนละ 6-7 หมื่นบาท แต่ตอนนี้ปรับขึ้นมาเป็นเดือนละประมาณ 1 แสนบาท ทั้งที่การใช้ไฟเท่าเดิม นับเป็นต้นทุนการผลิตที่น่าเป็นห่วงมาก" คงศักดิ์กล่าว อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน "เผดิมชัย สะสมทรัพย์" กลับมองว่า เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท ขอให้ผ่านไตรมาสแรกของปีนี้ไปก่อน โดยอ้างข้อมูลกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ว่า สถานประกอบการที่เลิกจ้างในช่วงปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นนั้น มีสาเหตุจากประสบปัญหาขาดทุนสะสมมานาน และยอดการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลงมากกว่า ล่าสุดได้เชิญผู้บริหารทั้ง 5 หน่วยงานของกระทรวงแรงงานมาหารือเพื่อกำชับให้เฝ้าระวังและประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง รวมทั้งกำหนดแนวทางช่วยเหลือแรงงานให้สอดรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น และให้ทุกหน่วยงานรายงานผลกระทบที่เกิดขึ้นมายังกระทรวงแรงงานเป็นระยะ ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือมาแล้ว 11 มาตรการ และกระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอรัฐบาลให้ออกมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจเพิ่มเติม โดยเน้นมาตรการภาษี เช่น การปรับลดภาษีหักเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2 ของเงินค่าจ้าง "เท่าที่ได้พูดคุยกัน พบว่า สถานประกอบการขนาดใหญ่ร้อยละ 80 กังวลเรื่องค่าวัตถุดิบ และยอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศจะลดลง มากกว่าเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้าง" นายเผดิมชัย กล่าว นาทีนี้ ทุกฝ่ายคงจะต้องประเมินสถานการณ์ ผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในต้นปีนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเหรียญมีสองด้าน การปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นวันละ 300 บาททั่วประเทศก็เช่นกัน
เปิดม่านการศึกษา : 15 ม.ค.56
เปิดม่านการศึกษา : 15 ม.ค.56
0 "80 พรรษาพระราชินี ราษฎร์รัฐภักดี ครูศรีแผ่นดิน" คำขวัญวันครูประจำปี 2556 เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระคุณครูและเป็นการส่งเสริมเชิดชูวิชาชีพครู ในการจัดงานวันครูครั้งที่ 57 ในปีนี้ 0 แว่วว่า สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ จะจัดงานยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยจัดงานวันครูแห่งชาติปีนี้ ภายใต้แนวคิด "เฉลิมพระเกียรติพระแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นครู" ในวันที่ 16 มกราคม 2556 ได้รับเกียรติจาก "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน 0 สพม.19 รับบริจาคหนังสือ..."กมลชน กรวยทอง" หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ร.ร.เชียงคาน จ.เลย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 19 เลย-หนองบัวลำภู แจ้งว่า ทางกลุ่มสาระภาษาไทยมีความประสงค์จะขอรับบริจาคหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเกี่ยวกับบทกวี เรื่องสั้น สารคดี และอื่นๆ เพื่อใช้ในการจัดค่าย "จุดประกายฝัน เพาะเมล็ดพันธุ์วรรณกรรมและรักการอ่านสานสู่ฝัน รุ่นที่ 3 ประจำปี 2556 ที่ลุ่มน้ำโขง ร.ร.เชียงคาน 0 งานนี้มีนักคิด นักเขียน หลายท่านร่วมเป็นวิทยากร ในวันที่ 25-27 มกราคม 2556 ผู้ที่มีความประสงค์จะร่วมบริจาคสามารถส่งไปได้ที่กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ร.ร.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย 42110 หรือขอรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 08-4793-0099 0 จุฬาฯ ติวเข้ม....สถานีวิทยุจุฬาฯ จัดโครงการ "สรุปเข้ม ครั้งที่ 9" ตอน "ก้าวสู่ฝัน ด้วยมหัศจรรย์ 3G (Good Give Great)" วันที่ 19-20 และ 26-27 ม.ค.2556 ณ หอประชุมจุฬาฯ ติวฟรีทั้งหมด 9 วิชา เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอบแอดมิชชั่นส์ โอเน็ต แกต/แพต ติดตามได้ทาง www.curadio.chula.ac.th หรือ www.facebook.com/curadio หรือฟังในรายการเปิดประตูสู่มหาวิทยาลัย ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.30-21.30 น.ทางสถานีวิทยุจุฬาฯ เอฟเอ็ม 101.5 เมกะเฮิรตซ์ ............................... (คอลัมน์เปิดม่านการศึกษา : โดย...ครูแจ่ม)
0 "80 พรรษาพระราชินี ราษฎร์รัฐภักดี ครูศรีแผ่นดิน" คำขวัญวันครูประจำปี 2556 เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระคุณครูและเป็นการส่งเสริมเชิดชูวิชาชีพครู ในการจัดงานวันครูครั้งที่ 57 ในปีนี้ 0 แว่วว่า สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ จะจัดงานยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยจัดงานวันครูแห่งชาติปีนี้ ภายใต้แนวคิด "เฉลิมพระเกียรติพระแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นครู" ในวันที่ 16 มกราคม 2556 ได้รับเกียรติจาก "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน 0 สพม.19 รับบริจาคหนังสือ..."กมลชน กรวยทอง" หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ร.ร.เชียงคาน จ.เลย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 19 เลย-หนองบัวลำภู แจ้งว่า ทางกลุ่มสาระภาษาไทยมีความประสงค์จะขอรับบริจาคหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเกี่ยวกับบทกวี เรื่องสั้น สารคดี และอื่นๆ เพื่อใช้ในการจัดค่าย "จุดประกายฝัน เพาะเมล็ดพันธุ์วรรณกรรมและรักการอ่านสานสู่ฝัน รุ่นที่ 3 ประจำปี 2556 ที่ลุ่มน้ำโขง ร.ร.เชียงคาน 0 งานนี้มีนักคิด นักเขียน หลายท่านร่วมเป็นวิทยากร ในวันที่ 25-27 มกราคม 2556 ผู้ที่มีความประสงค์จะร่วมบริจาคสามารถส่งไปได้ที่กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ร.ร.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย 42110 หรือขอรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 08-4793-0099 0 จุฬาฯ ติวเข้ม....สถานีวิทยุจุฬาฯ จัดโครงการ "สรุปเข้ม ครั้งที่ 9" ตอน "ก้าวสู่ฝัน ด้วยมหัศจรรย์ 3G (Good Give Great)" วันที่ 19-20 และ 26-27 ม.ค.2556 ณ หอประชุมจุฬาฯ ติวฟรีทั้งหมด 9 วิชา เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอบแอดมิชชั่นส์ โอเน็ต แกต/แพต ติดตามได้ทาง www.curadio.chula.ac.th หรือ www.facebook.com/curadio หรือฟังในรายการเปิดประตูสู่มหาวิทยาลัย ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.30-21.30 น.ทางสถานีวิทยุจุฬาฯ เอฟเอ็ม 101.5 เมกะเฮิรตซ์ ............................... (คอลัมน์เปิดม่านการศึกษา : โดย...ครูแจ่ม)
Sunday, January 13, 2013
มทร.ธัญบุรีเปิดบ้าน สร้างงานสู่สังคม
มทร.ธัญบุรีเปิดบ้าน สร้างงานสู่สังคม
ว่ากันว่า งาน “มทร.ธัญบุรี สร้างสรรค์วิชาการ สร้างงานสู่สังคม” ปีที่ 4 ระหว่างวันที่ 18-20 มกราคมนี้ ณ มทร.ธัญบุรี คลองหก อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จะมีทั้งงานวิชาการ ที่หอประชุม มทร.ธัญบุรี เสนอผลงานทางวิชาการ และการประกวดโครงงานของนักศึกษา การจัดนิทรรศการ เช่น โครงการส่งเสริมการใช้สื่อเพื่อการเรียนการสอนผ่านห้องเรียนออนไลน์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โครงการนิทรรศการเทคโนโลยีอากาศยานไร้นักบินและการเผยแพร่ผลงานวิจัยอากาศยานไร้นักบินขนาดเล็ก นอกจากนี้มีการจัดกิจกรรมดนตรีในสวนบัว เดินแฟชั่นโชว์ จัดอบรมการทำดอกบัวสดอบแห้ง สาธิตอาหารจากบัว เช่น เมี่ยงบัวหลวง น้ำรากบัว ขนมสายบัว โครงการประกวดภาพถ่าย “บัวในรั้วราชมงคลธัญบุรี” โครงการวัฒนธรรมราชมงคลธัญบุรี สื่อสารวัฒนธรรมไทยร่วมใจสู่อาเซียน คือการแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ 10 ประเทศอาเซียน จัดแสดงศิลปะของกลุ่มประชาคมอาเซียน แสดงวัฒนธรรมประจำชาติของนักศึกษาประเทศต่างๆ สาธิตการทำสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ อาทิ การทำซองใส่มือถืออาเซียน การทำตุ๊กตาอาเซียน การทำถุงผ้าลดโลกร้อนลายดอกไม้อาเซียน ทว่าไฮไลท์ รศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมทร.ธัญบุรี บอกว่า อยู่ที่โอเพ่นเฮ้าส์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้เข้าเยี่ยมชมคณะต่างๆ มีการโชว์นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ อบรมทางวิชาการ ถนนสายวัฒนธรรมประชาคมอาเซียน การแข่งขันรายการ พบปะผู้ปกครองนักศึกษา คืนสู่เหย้า แสดงผลงานนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ของคณาจารย์และนักศึกษา การฝึกอบรมด้านอาชีพต่างๆ มากมาย ภายในงานยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย เช่น การออกบูธจำหน่ายสินค้าโอท็อป ร้านจำหน่ายพันธุ์ไม้ "งานนี้องค์การนักศึกษามีการเตรียมรุ่นพี่ของแต่ละคณะ และสมาชิกองค์การนักศึกษาจำนวน 40 คน ให้ความรู้บริการข้อมูล เมื่อนักเรียนมีข้อสงสัย “ในการเปิดบ้านต้อนรับนักเรียน ความอบอุ่นของรุ่นพี่ ถือเป็นสิ่งแรกที่จะสร้างความประทับใจให้น้องๆ ที่เข้ามา ต้องการหาข้อมูลในการเข้าศึกษาต่อ” โอเพ่นเฮ้าส์ของมหาวิทยาลัย จึงเป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวตัดสินในการเข้าศึกษาต่อ" “อั้น” ปิยะพันธ์ วงมา นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาระบบสารสนเทศ คณะบริหารธุรกิจ อุปนายกคนที่ 2 องค์การนักศึกษา มทร.ธัญบุรี กล่าว “พงษ์” พงษ์พัฒน์ ถาพร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 (หลักสูตรต่อเนื่อง) สาขาอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคมนายกสโมสรนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ บอกว่า คณะจะนำนวัตกรรมของภาควิชาทั้งของคณาจารย์ และนักศึกษามาโชว์ ยกตัวอย่าง หุ่นยนต์ที่ไปคว้ารางวัลมาจากเวทีต่างๆ เช่น รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การแข่งขัน TPA PLC Competition 2012 Robo’s Chair ball รางวัลชนะเลิศอันดับ 2 การแข่งขันหุ่นยนต์ ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2555 Peng On Dai Gat และทางคณะยังเปิดอบรมทางด้านวิศวกรรม เช่น โครงการอบรมการวิเคราะห์ระบบประปาโดยใช้แบบจำลอง EPANET2.0 “อาร์ม” ไพรินทร์ เที่ยงผดุง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ นายกสโมสรนักศึกษาคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ บอกว่า คณะได้ร่วมมือกับคณะศิลปกรรมศาสตร์และคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน จัด “ถนนสายวัฒนธรรม” วัฒนธรรมราชมงคลธัญบุรี สื่อสารวัฒนธรรมไทยร่วมใจสู่อาเซียน โดยตลอดถนนสายวัฒนธรรมจะมีการแสดงผลงาน และสาธิต ยกตัวอย่าง สาขาเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ การออกแบบและตัดเย็บชุดประจำชาติอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ สาขาเทคโนโลยีงานประดิษฐ์สร้างสรรค์ สาธิตการประดิษฐ์ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน และสาขาอาหารและโภชนาการ สาธิตการทำงานจากบัว การทำเมี่ยงบัว น้ำรากบัว ขนมสายบัว แฟชั่นในสวนบัว อบรมการทำดอกบัวสดแห้ง ส่วนคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน “โจ้” วีรพงศ์ เวชกุล นักศึกษาชั้นปีที่ 3 (หลักสูตรต่อเนื่อง) สาขาเทคโนโลยีมัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน นายกสโมสรนักศึกษา เล่าว่า คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชนได้เตรียมความพร้อมในการนำผลงานของนักศึกษาออกมาโชว์ จุดเด่นของแต่ละสาขา จัดการประกวดภาพถ่ายจากบัว มทร.ธัญบุรี ผู้ที่สนใจสามารถส่งภาพถ่ายเข้าประกวดได้ รวมกับคณะศิลปกรรมศาสตร์ และคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ในการจัดถนนสายวัฒนธรรม ทางคณะจะสอนตัดต่อด้วยระบบ CG สดๆ บนถนนสายวัฒนธรรม กิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย โรงเรียนหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี งานนี้ข่าวว่า มทร.ธัญบุรี จัดเต็ม สอบถามได้ที่ โทร.0-2549-4990-4 หรือทาง www.rmutt.ac.th .................................................. (มทร.ธัญบุรีเปิดบ้าน สร้างงานสู่สังคม : คอลัมน์ท่องโลกการเรียนรู้)
ว่ากันว่า งาน “มทร.ธัญบุรี สร้างสรรค์วิชาการ สร้างงานสู่สังคม” ปีที่ 4 ระหว่างวันที่ 18-20 มกราคมนี้ ณ มทร.ธัญบุรี คลองหก อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จะมีทั้งงานวิชาการ ที่หอประชุม มทร.ธัญบุรี เสนอผลงานทางวิชาการ และการประกวดโครงงานของนักศึกษา การจัดนิทรรศการ เช่น โครงการส่งเสริมการใช้สื่อเพื่อการเรียนการสอนผ่านห้องเรียนออนไลน์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โครงการนิทรรศการเทคโนโลยีอากาศยานไร้นักบินและการเผยแพร่ผลงานวิจัยอากาศยานไร้นักบินขนาดเล็ก นอกจากนี้มีการจัดกิจกรรมดนตรีในสวนบัว เดินแฟชั่นโชว์ จัดอบรมการทำดอกบัวสดอบแห้ง สาธิตอาหารจากบัว เช่น เมี่ยงบัวหลวง น้ำรากบัว ขนมสายบัว โครงการประกวดภาพถ่าย “บัวในรั้วราชมงคลธัญบุรี” โครงการวัฒนธรรมราชมงคลธัญบุรี สื่อสารวัฒนธรรมไทยร่วมใจสู่อาเซียน คือการแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ 10 ประเทศอาเซียน จัดแสดงศิลปะของกลุ่มประชาคมอาเซียน แสดงวัฒนธรรมประจำชาติของนักศึกษาประเทศต่างๆ สาธิตการทำสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ อาทิ การทำซองใส่มือถืออาเซียน การทำตุ๊กตาอาเซียน การทำถุงผ้าลดโลกร้อนลายดอกไม้อาเซียน ทว่าไฮไลท์ รศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมทร.ธัญบุรี บอกว่า อยู่ที่โอเพ่นเฮ้าส์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้เข้าเยี่ยมชมคณะต่างๆ มีการโชว์นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ อบรมทางวิชาการ ถนนสายวัฒนธรรมประชาคมอาเซียน การแข่งขันรายการ พบปะผู้ปกครองนักศึกษา คืนสู่เหย้า แสดงผลงานนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ของคณาจารย์และนักศึกษา การฝึกอบรมด้านอาชีพต่างๆ มากมาย ภายในงานยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย เช่น การออกบูธจำหน่ายสินค้าโอท็อป ร้านจำหน่ายพันธุ์ไม้ "งานนี้องค์การนักศึกษามีการเตรียมรุ่นพี่ของแต่ละคณะ และสมาชิกองค์การนักศึกษาจำนวน 40 คน ให้ความรู้บริการข้อมูล เมื่อนักเรียนมีข้อสงสัย “ในการเปิดบ้านต้อนรับนักเรียน ความอบอุ่นของรุ่นพี่ ถือเป็นสิ่งแรกที่จะสร้างความประทับใจให้น้องๆ ที่เข้ามา ต้องการหาข้อมูลในการเข้าศึกษาต่อ” โอเพ่นเฮ้าส์ของมหาวิทยาลัย จึงเป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวตัดสินในการเข้าศึกษาต่อ" “อั้น” ปิยะพันธ์ วงมา นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาระบบสารสนเทศ คณะบริหารธุรกิจ อุปนายกคนที่ 2 องค์การนักศึกษา มทร.ธัญบุรี กล่าว “พงษ์” พงษ์พัฒน์ ถาพร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 (หลักสูตรต่อเนื่อง) สาขาอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคมนายกสโมสรนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ บอกว่า คณะจะนำนวัตกรรมของภาควิชาทั้งของคณาจารย์ และนักศึกษามาโชว์ ยกตัวอย่าง หุ่นยนต์ที่ไปคว้ารางวัลมาจากเวทีต่างๆ เช่น รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การแข่งขัน TPA PLC Competition 2012 Robo’s Chair ball รางวัลชนะเลิศอันดับ 2 การแข่งขันหุ่นยนต์ ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2555 Peng On Dai Gat และทางคณะยังเปิดอบรมทางด้านวิศวกรรม เช่น โครงการอบรมการวิเคราะห์ระบบประปาโดยใช้แบบจำลอง EPANET2.0 “อาร์ม” ไพรินทร์ เที่ยงผดุง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ นายกสโมสรนักศึกษาคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ บอกว่า คณะได้ร่วมมือกับคณะศิลปกรรมศาสตร์และคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน จัด “ถนนสายวัฒนธรรม” วัฒนธรรมราชมงคลธัญบุรี สื่อสารวัฒนธรรมไทยร่วมใจสู่อาเซียน โดยตลอดถนนสายวัฒนธรรมจะมีการแสดงผลงาน และสาธิต ยกตัวอย่าง สาขาเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ การออกแบบและตัดเย็บชุดประจำชาติอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ สาขาเทคโนโลยีงานประดิษฐ์สร้างสรรค์ สาธิตการประดิษฐ์ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน และสาขาอาหารและโภชนาการ สาธิตการทำงานจากบัว การทำเมี่ยงบัว น้ำรากบัว ขนมสายบัว แฟชั่นในสวนบัว อบรมการทำดอกบัวสดแห้ง ส่วนคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน “โจ้” วีรพงศ์ เวชกุล นักศึกษาชั้นปีที่ 3 (หลักสูตรต่อเนื่อง) สาขาเทคโนโลยีมัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน นายกสโมสรนักศึกษา เล่าว่า คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชนได้เตรียมความพร้อมในการนำผลงานของนักศึกษาออกมาโชว์ จุดเด่นของแต่ละสาขา จัดการประกวดภาพถ่ายจากบัว มทร.ธัญบุรี ผู้ที่สนใจสามารถส่งภาพถ่ายเข้าประกวดได้ รวมกับคณะศิลปกรรมศาสตร์ และคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ในการจัดถนนสายวัฒนธรรม ทางคณะจะสอนตัดต่อด้วยระบบ CG สดๆ บนถนนสายวัฒนธรรม กิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย โรงเรียนหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี งานนี้ข่าวว่า มทร.ธัญบุรี จัดเต็ม สอบถามได้ที่ โทร.0-2549-4990-4 หรือทาง www.rmutt.ac.th .................................................. (มทร.ธัญบุรีเปิดบ้าน สร้างงานสู่สังคม : คอลัมน์ท่องโลกการเรียนรู้)
แนะทำวิจัยร่วมกันเพื่อก้าวทันอาเซียน
แนะทำวิจัยร่วมกันเพื่อก้าวทันอาเซียน
ในอีก 2 ปีข้างหน้า ปี 2558 ที่จะมาถึง ประเทศไทยและเพื่อนบ้านอีก 9 ประเทศ จะก้าวสู่การเป็น "อาเซียนหนึ่งเดียว" กันแล้ว ทำให้ทุกหน่วยงานได้เตรียมความพร้อมเพื่อจะเข้าสู่อาเซียนอย่างเต็มภาคภูมิ โดยเฉพาะบรรดาสถาบันการศึกษาที่จะเป็นเบ้าหลอมบัณฑิตและเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ต่างเตรียมพร้อมเพื่อจะให้บัณฑิตของตนเองที่จบออกไปมีคุณภาพที่สุด ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) แม้เป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่น "ไกลปืนเที่ยง" แต่จะว่าไปแล้ว มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีจำนวนนักศึกษามากไม่แพ้สถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ แต่ละปีมีบัณฑิตที่ผลิตและส่งออกไปสู่ตลาดแรงงานเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่าปีละ 1 หมื่นคน และที่นี่ก็ได้เตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่อาเซียนมากไม่แพ้สถาบันอื่น ทั้งเรื่องการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรอาเซียนศึกษาที่มีห้องเรียนอาเซียนให้นักศึกษาจากทุกประเทศในภูมิภาคมานั่งเรียนเรื่องราวเดียวกัน ครูผู้สอนคนเดียวกัน รวมไปถึงการประเมินคุณภาพการเรียนรู้ด้วยการสอบภาษาอังกฤษก่อนจะจบออกเป็นบัณฑิตด้วย ไม่เพียงเท่านั้น "ศุภชัย สมัปปิโต" อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คนหนุ่มไฟแรงที่เหลือเวลาอยู่ในตำแหน่งอีกไม่มากนัก มองว่า การจะพร้อมเข้าสู่อาเซียนได้ไม่ใช่แค่พูดภาษาอังกฤษได้ หรือการเรียนภาษาอาเซียนเท่านั้น แต่การพร้อมนั่นหมายถึง การรู้เขารู้เราอย่างแท้จริงด้วยการทำงานวิจัยร่วมกัน "ในอนาคตอาเซียนจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าในอาเซียนเรื่องการโอนย้าย การถ่ายเทแรงงานจากประเทศใดประเทศหนึ่งมองว่าจะเป็นจริงในบางอาชีพ แต่ไม่ใช่ทุกอาชีพ ประเทศไทยอาจจะขาดแคลนฝีมือแรงงานขั้นต่ำหรือแรงงานฝีมือไม่มีปริญญา ซึ่งตรงนี้เป็นจุดอ่อนของการศึกษาในประเทศไทยที่ไม่มีคนเรียนอาชีวะ แต่หันไปเรียนแต่สายปริญญา จบปริญญาไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไร อันนี้ก็คือจุดอ่อนของการบริหารจัดการของประเทศไทย ขณะเดียวกันทางฝ่ายอาชีวะผลิตแรงงานที่มีฝีมือในการทำงานเป็น แต่อาชีวะก็มีจุดอ่อนตรงไม่มีครู ไม่มีครุภัณฑ์" อธิการบดี มมส.บอกถึงการก้าวสู่อาเซียน ในทัศนะของเขา ศุภชัย ยังเพิ่มเติมด้วยว่า ในมุมมองการเคลื่อนย้ายแรงงาน อาเซียนในอนาคตในบางสาขาอาชีพอาจจะมีปัญหาอุปสรรค เช่น อาชีพที่ต้องใช้ภาษา สังเกตว่า แม้แต่โรงแรมที่อยู่รอบตัวเราเป็นโรงแรมเล็กๆ แต่รีเซฟชั่นที่เป็นพนักงานต้อนรับด้านหน้า ยังต้องใช้แรงงานจากเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ เพราะคนไทยทำไม่ได้ มีปัญหาเรื่องภาษา คนไทยต้องไปทำอย่างอื่น อย่างเป็นคนดูแลห้อง พนักงานเสิร์ฟ ซึ่งระดับแรงงานก็ต่ำลงไป อันนี้คือจุดอ่อนเราต้องเสริมเรื่องภาษาอังกฤษ แต่ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด "ทางตะวันออกกลางเอง เขาให้เงินเดือนหนึ่งแสนสำหรับพยาบาลที่จะไปดูแลคนของเขา แต่ปัญหาคือ เราเองผลิตพยาบาลออกมาไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะในประเทศไทยเราเองพยาบาลก็ไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเปิดอาเซียนก็มีบางอาชีพเท่านั้นที่จะไปสู่อาเซียนได้ หวังว่าอาเซียนก็เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้น แต่ว่าเป้าหมายจริงๆ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามต้องการคือ ยกระดับมหาวิทยาลัยให้เป็นที่ยอมรับของสากล ซึ่งตอนนี้วิธีการประเมินของเราก็คือ เรากำลังอยู่ในช่วงของการให้องค์กรระดับนานาชาติ TF มาประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัย คือการประเมินพบว่า ยังไม่ดีมีจุดอ่อนในหลายๆ เรื่องจุดอ่อนแรกก็คือ เรายังไม่มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอน สองเรายังไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ในอาเซียนหรือในเอเชียมาจ้างนิสิตของเราไปทำงาน ซึ่งถ้าจะยกระดับมหาวิทยาลัยให้เป็นที่ยอมรับเราต้องทำในส่วนนี้ก่อน" ศุภชัย บอก ส่วนการรองรับของมหาวิทยาลัยนั้น ศุภชัย บอกว่า มหาวิทยาลัยมีการเปิดห้องเรียนอาเซียน ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะดึงนักศึกษาของอาเซียนมาเรียน แต่มันก็เป็นจุดอ่อนมากพอสมควร เพราะคนที่มาจากต่างประเทศจะต้องมาเรียนร่วมกันภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดอาจทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนลดลง จริงๆ แล้วการเข้าสู่อาเซียนเป็นเรื่องของประสบการณ์ เพราะว่าในเวลานี้คนที่อยากเรียนประเทศไทยมีน้อย เพื่อนบ้านเราเองจะมีสักกี่คนที่อยากมาเรียนในเมืองไทย หากเขาจะมาก็คือจะต้องมาแบบมีข้อแลกเปลี่ยน คือเราให้ทุน เราช่วยเหลือ แต่หากเขามีทางเลือก การเข้ามาเรียนในไทยก็เป็นทางเลือกสุดท้าย “ความจริงแล้ว ที่จะทำให้อาเซียนสัมฤทธิ์ผลได้คือ เรื่องของการทำวิจัยร่วมกัน จะได้รู้เขารู้เรามีการแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน เพราะการที่รู้เขารู้เรามันอาจจะทำให้เราและเขาอยู่ร่วมกันได้ และเราต้องปรับทัศนคติในเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องของความขัดแย้ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเรื่องเหตุผล เพราะว่ายุคสมัยนี้เป็นสังคมที่ไม่มีใครยอมใคร ถึงเขาเป็นประเทศเล็กๆ ถ้าเราลดเรื่องทิฐิตรงนี้ความสัมพันธ์เรื่องอื่นมันก็จะดีขึ้น การทำมาค้าขาย การร่วมมือทางเศรษฐกิจจะดี การไปมาหาสู่ก็จะง่ายขึ้น นั่นคือการเข้าสู่อาเซียนอย่างแท้จริง” อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าว --------------------- ('ศุภชัย สมัปปิโต' แนะทำวิจัยร่วมกันเพื่อก้าวทันอาเซียน : ปัญญาพร สายทอง ... เรื่อง / เสาวนีย์ วิชิต ... ภาพ)
ในอีก 2 ปีข้างหน้า ปี 2558 ที่จะมาถึง ประเทศไทยและเพื่อนบ้านอีก 9 ประเทศ จะก้าวสู่การเป็น "อาเซียนหนึ่งเดียว" กันแล้ว ทำให้ทุกหน่วยงานได้เตรียมความพร้อมเพื่อจะเข้าสู่อาเซียนอย่างเต็มภาคภูมิ โดยเฉพาะบรรดาสถาบันการศึกษาที่จะเป็นเบ้าหลอมบัณฑิตและเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ต่างเตรียมพร้อมเพื่อจะให้บัณฑิตของตนเองที่จบออกไปมีคุณภาพที่สุด ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) แม้เป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่น "ไกลปืนเที่ยง" แต่จะว่าไปแล้ว มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีจำนวนนักศึกษามากไม่แพ้สถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ แต่ละปีมีบัณฑิตที่ผลิตและส่งออกไปสู่ตลาดแรงงานเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่าปีละ 1 หมื่นคน และที่นี่ก็ได้เตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่อาเซียนมากไม่แพ้สถาบันอื่น ทั้งเรื่องการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรอาเซียนศึกษาที่มีห้องเรียนอาเซียนให้นักศึกษาจากทุกประเทศในภูมิภาคมานั่งเรียนเรื่องราวเดียวกัน ครูผู้สอนคนเดียวกัน รวมไปถึงการประเมินคุณภาพการเรียนรู้ด้วยการสอบภาษาอังกฤษก่อนจะจบออกเป็นบัณฑิตด้วย ไม่เพียงเท่านั้น "ศุภชัย สมัปปิโต" อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คนหนุ่มไฟแรงที่เหลือเวลาอยู่ในตำแหน่งอีกไม่มากนัก มองว่า การจะพร้อมเข้าสู่อาเซียนได้ไม่ใช่แค่พูดภาษาอังกฤษได้ หรือการเรียนภาษาอาเซียนเท่านั้น แต่การพร้อมนั่นหมายถึง การรู้เขารู้เราอย่างแท้จริงด้วยการทำงานวิจัยร่วมกัน "ในอนาคตอาเซียนจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าในอาเซียนเรื่องการโอนย้าย การถ่ายเทแรงงานจากประเทศใดประเทศหนึ่งมองว่าจะเป็นจริงในบางอาชีพ แต่ไม่ใช่ทุกอาชีพ ประเทศไทยอาจจะขาดแคลนฝีมือแรงงานขั้นต่ำหรือแรงงานฝีมือไม่มีปริญญา ซึ่งตรงนี้เป็นจุดอ่อนของการศึกษาในประเทศไทยที่ไม่มีคนเรียนอาชีวะ แต่หันไปเรียนแต่สายปริญญา จบปริญญาไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไร อันนี้ก็คือจุดอ่อนของการบริหารจัดการของประเทศไทย ขณะเดียวกันทางฝ่ายอาชีวะผลิตแรงงานที่มีฝีมือในการทำงานเป็น แต่อาชีวะก็มีจุดอ่อนตรงไม่มีครู ไม่มีครุภัณฑ์" อธิการบดี มมส.บอกถึงการก้าวสู่อาเซียน ในทัศนะของเขา ศุภชัย ยังเพิ่มเติมด้วยว่า ในมุมมองการเคลื่อนย้ายแรงงาน อาเซียนในอนาคตในบางสาขาอาชีพอาจจะมีปัญหาอุปสรรค เช่น อาชีพที่ต้องใช้ภาษา สังเกตว่า แม้แต่โรงแรมที่อยู่รอบตัวเราเป็นโรงแรมเล็กๆ แต่รีเซฟชั่นที่เป็นพนักงานต้อนรับด้านหน้า ยังต้องใช้แรงงานจากเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ เพราะคนไทยทำไม่ได้ มีปัญหาเรื่องภาษา คนไทยต้องไปทำอย่างอื่น อย่างเป็นคนดูแลห้อง พนักงานเสิร์ฟ ซึ่งระดับแรงงานก็ต่ำลงไป อันนี้คือจุดอ่อนเราต้องเสริมเรื่องภาษาอังกฤษ แต่ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด "ทางตะวันออกกลางเอง เขาให้เงินเดือนหนึ่งแสนสำหรับพยาบาลที่จะไปดูแลคนของเขา แต่ปัญหาคือ เราเองผลิตพยาบาลออกมาไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะในประเทศไทยเราเองพยาบาลก็ไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเปิดอาเซียนก็มีบางอาชีพเท่านั้นที่จะไปสู่อาเซียนได้ หวังว่าอาเซียนก็เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้น แต่ว่าเป้าหมายจริงๆ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามต้องการคือ ยกระดับมหาวิทยาลัยให้เป็นที่ยอมรับของสากล ซึ่งตอนนี้วิธีการประเมินของเราก็คือ เรากำลังอยู่ในช่วงของการให้องค์กรระดับนานาชาติ TF มาประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัย คือการประเมินพบว่า ยังไม่ดีมีจุดอ่อนในหลายๆ เรื่องจุดอ่อนแรกก็คือ เรายังไม่มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอน สองเรายังไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ในอาเซียนหรือในเอเชียมาจ้างนิสิตของเราไปทำงาน ซึ่งถ้าจะยกระดับมหาวิทยาลัยให้เป็นที่ยอมรับเราต้องทำในส่วนนี้ก่อน" ศุภชัย บอก ส่วนการรองรับของมหาวิทยาลัยนั้น ศุภชัย บอกว่า มหาวิทยาลัยมีการเปิดห้องเรียนอาเซียน ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะดึงนักศึกษาของอาเซียนมาเรียน แต่มันก็เป็นจุดอ่อนมากพอสมควร เพราะคนที่มาจากต่างประเทศจะต้องมาเรียนร่วมกันภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดอาจทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนลดลง จริงๆ แล้วการเข้าสู่อาเซียนเป็นเรื่องของประสบการณ์ เพราะว่าในเวลานี้คนที่อยากเรียนประเทศไทยมีน้อย เพื่อนบ้านเราเองจะมีสักกี่คนที่อยากมาเรียนในเมืองไทย หากเขาจะมาก็คือจะต้องมาแบบมีข้อแลกเปลี่ยน คือเราให้ทุน เราช่วยเหลือ แต่หากเขามีทางเลือก การเข้ามาเรียนในไทยก็เป็นทางเลือกสุดท้าย “ความจริงแล้ว ที่จะทำให้อาเซียนสัมฤทธิ์ผลได้คือ เรื่องของการทำวิจัยร่วมกัน จะได้รู้เขารู้เรามีการแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน เพราะการที่รู้เขารู้เรามันอาจจะทำให้เราและเขาอยู่ร่วมกันได้ และเราต้องปรับทัศนคติในเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องของความขัดแย้ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเรื่องเหตุผล เพราะว่ายุคสมัยนี้เป็นสังคมที่ไม่มีใครยอมใคร ถึงเขาเป็นประเทศเล็กๆ ถ้าเราลดเรื่องทิฐิตรงนี้ความสัมพันธ์เรื่องอื่นมันก็จะดีขึ้น การทำมาค้าขาย การร่วมมือทางเศรษฐกิจจะดี การไปมาหาสู่ก็จะง่ายขึ้น นั่นคือการเข้าสู่อาเซียนอย่างแท้จริง” อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าว --------------------- ('ศุภชัย สมัปปิโต' แนะทำวิจัยร่วมกันเพื่อก้าวทันอาเซียน : ปัญญาพร สายทอง ... เรื่อง / เสาวนีย์ วิชิต ... ภาพ)
เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : ทำไมเราแพ้ท้อง
เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : ทำไมเราแพ้ท้อง
สวัสดีคะน้องๆ วันเด็กที่ผ่านมา สุขสุดๆ ใช่เปล่าคะ ไงก็อย่าลืมปฏิบัติตามคำขวัญ "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน" ไปใช้กันนะคะ ส่วนคำถามที่น้องก้อยฝากถามพี่ว่า ทำไมเราแพ้ท้อง จากหนังสือ เหตุผลจองธรรมชาติ ที่เขียนโดย นายชัชพล เกียรติขจรธาดา อธิบายว่า อาการหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนแรกๆ ของการตั้งครรภ์ คือ อาการแพ้ท้อง ซึ่งเป็นภาวะที่จู่ๆ พฤติกรรมการกินก็เกิดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างกะทันหันและเกิดขึ้นอยู่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งลักษณะเช่นนี้น่าสนใจเพราะคล้ายกับอาการเบื่ออาหารเวลาไม่สบายที่เราคุยกันไปแล้ว ในคนที่แพ้ท้องความอยากอาหารจะเปลี่ยนไปจากอาหารที่เดิมเคยชอบ ก็จะกลายเป็นไม่ชอบ อาหารที่เคยไม่ชอบก็เกดอยากกินขึ้นมา และอาการเด่นอีกอย่าง คือ คลื่นไส้ อาเจียน ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาอาการแพ้ท้อง เกิดจากสองส่วน ส่วนแรกร่างกายของแม่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่สองคือ อาหารแต่ละชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องไม่เท่ากัน โดยมีอาหารที่กระตุ้น จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ และพวกพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากต้นไม้ เช่น เครื่องเทศชนิดต่างๆ กาแฟ และบุหรี่ ด้าน รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล Faculty of Medicine Siriraj Hospital กล่าวว่า การแพ้ท้องน่าจะเป็นกลไกของร่างกายคุณแม่ที่จะปฏิเสธสิ่งที่คุณแม่จะกินเข้าไปทุกชนิด เพราะกลัวว่าจะไปทำอันตรายต่อตัวลูกน้อยในท้อง เหตุที่เชื่อเช่นนั้น เพราะพบว่าส่วนมากแล้ว ช่วงเวลาที่คุณแม่แพ้ท้องมักจะเป็นช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกกำลังมีการสร้างอวัยวะต่างๆ มากมาย ภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว การสร้างอวัยวะต่างๆ จะเสร็จสิ้นเกือบหมดแล้ว การแพ้ท้องก็มักจะหายตามไปด้วย นอกจากนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับปริมาณของฮอร์โมนที่สร้างมาจากรกที่ชื่อว่า Human Chorionic Gonadotrophin หรือเรียกย่อๆ ว่า HCG ยิ่งมีเนื้อรกมากก็จะยิ่งสร้างฮอร์โมน HCG ได้มาก อาการแพ้ท้องก็จะยิ่งมากตามไปด้วย แล้วพบกันสัปดาห์หน้าคะ --------------------- (ทำไมเราแพ้ท้อง : เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : โดย...พี่ฮัมมิ่งเบิร์ด tan12_aa@hotmail.com)
สวัสดีคะน้องๆ วันเด็กที่ผ่านมา สุขสุดๆ ใช่เปล่าคะ ไงก็อย่าลืมปฏิบัติตามคำขวัญ "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน" ไปใช้กันนะคะ ส่วนคำถามที่น้องก้อยฝากถามพี่ว่า ทำไมเราแพ้ท้อง จากหนังสือ เหตุผลจองธรรมชาติ ที่เขียนโดย นายชัชพล เกียรติขจรธาดา อธิบายว่า อาการหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนแรกๆ ของการตั้งครรภ์ คือ อาการแพ้ท้อง ซึ่งเป็นภาวะที่จู่ๆ พฤติกรรมการกินก็เกิดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างกะทันหันและเกิดขึ้นอยู่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งลักษณะเช่นนี้น่าสนใจเพราะคล้ายกับอาการเบื่ออาหารเวลาไม่สบายที่เราคุยกันไปแล้ว ในคนที่แพ้ท้องความอยากอาหารจะเปลี่ยนไปจากอาหารที่เดิมเคยชอบ ก็จะกลายเป็นไม่ชอบ อาหารที่เคยไม่ชอบก็เกดอยากกินขึ้นมา และอาการเด่นอีกอย่าง คือ คลื่นไส้ อาเจียน ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาอาการแพ้ท้อง เกิดจากสองส่วน ส่วนแรกร่างกายของแม่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่สองคือ อาหารแต่ละชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องไม่เท่ากัน โดยมีอาหารที่กระตุ้น จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ และพวกพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากต้นไม้ เช่น เครื่องเทศชนิดต่างๆ กาแฟ และบุหรี่ ด้าน รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล Faculty of Medicine Siriraj Hospital กล่าวว่า การแพ้ท้องน่าจะเป็นกลไกของร่างกายคุณแม่ที่จะปฏิเสธสิ่งที่คุณแม่จะกินเข้าไปทุกชนิด เพราะกลัวว่าจะไปทำอันตรายต่อตัวลูกน้อยในท้อง เหตุที่เชื่อเช่นนั้น เพราะพบว่าส่วนมากแล้ว ช่วงเวลาที่คุณแม่แพ้ท้องมักจะเป็นช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกกำลังมีการสร้างอวัยวะต่างๆ มากมาย ภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว การสร้างอวัยวะต่างๆ จะเสร็จสิ้นเกือบหมดแล้ว การแพ้ท้องก็มักจะหายตามไปด้วย นอกจากนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับปริมาณของฮอร์โมนที่สร้างมาจากรกที่ชื่อว่า Human Chorionic Gonadotrophin หรือเรียกย่อๆ ว่า HCG ยิ่งมีเนื้อรกมากก็จะยิ่งสร้างฮอร์โมน HCG ได้มาก อาการแพ้ท้องก็จะยิ่งมากตามไปด้วย แล้วพบกันสัปดาห์หน้าคะ --------------------- (ทำไมเราแพ้ท้อง : เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : โดย...พี่ฮัมมิ่งเบิร์ด tan12_aa@hotmail.com)
Subscribe to:
Posts (Atom)
Blog Archive
-
▼
2013
(252)
- ► 04/21 - 04/28 (12)
- ► 04/14 - 04/21 (9)
- ► 04/07 - 04/14 (21)
- ► 03/31 - 04/07 (21)
- ► 03/24 - 03/31 (18)
- ► 03/10 - 03/17 (12)
- ► 03/03 - 03/10 (18)
- ► 02/24 - 03/03 (21)
- ► 02/17 - 02/24 (21)
- ► 02/10 - 02/17 (9)
- ► 02/03 - 02/10 (27)
- ► 01/27 - 02/03 (18)
- ► 01/20 - 01/27 (21)
-
▼
01/13 - 01/20
(12)
- ข้าวโพดช่วยทานตะวันลดวัชพืช
- อันตราย!ยานอนหลับชนิดใหม่กินถึงตาย
- มทร.พระนครม.ชั้นนำแห่งโลกอาชีพ
- สธ.เล็งสั่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปี56เร็วขึ้น
- เปิดม่านการศึกษา : 16 ม.ค.56
- สวัสดิภาพคุณภาพการศึกษาของขวัญครู
- เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : ทำไมเราแพ้ท้อง
- แรงงานปรับตัวกลับถิ่นเกิด
- เปิดม่านการศึกษา : 15 ม.ค.56
- มทร.ธัญบุรีเปิดบ้าน สร้างงานสู่สังคม
- แนะทำวิจัยร่วมกันเพื่อก้าวทันอาเซียน
- เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ : ทำไมเราแพ้ท้อง
- ► 01/06 - 01/13 (12)
-
►
2012
(129)
- ► 12/30 - 01/06 (21)
- ► 12/23 - 12/30 (6)
- ► 12/16 - 12/23 (15)
- ► 12/09 - 12/16 (10)
- ► 12/02 - 12/09 (21)
- ► 11/25 - 12/02 (16)
- ► 11/18 - 11/25 (13)
- ► 11/11 - 11/18 (7)
- ► 11/04 - 11/11 (12)
- ► 10/28 - 11/04 (4)
- ► 10/21 - 10/28 (4)
-
►
2010
(475)
- ► 06/13 - 06/20 (16)
- ► 05/30 - 06/06 (5)
- ► 05/23 - 05/30 (25)
- ► 05/16 - 05/23 (44)
- ► 05/09 - 05/16 (55)
- ► 05/02 - 05/09 (15)
- ► 04/25 - 05/02 (25)
- ► 04/18 - 04/25 (19)
- ► 04/11 - 04/18 (25)
- ► 04/04 - 04/11 (80)
- ► 03/28 - 04/04 (40)
- ► 03/14 - 03/21 (126)