Sunday, December 30, 2012

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง

เดือนธ.ค.ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปีหน้าการเมืองปรองดอง
เอแบคโพล เผย ความสุขมวลรวมของคนไทยยังคงเพิ่มสูงต่อเนื่อง เดือน ธ.ค. อยู่ที่ 7.61 จากเต็ม 10 เพราะความเป็นหนึ่งเดียวในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ส่วนในปี 56 อยากให้นักการเมืองสร้างความปรองดอง และสิ่งที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นคือความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์...เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2555 น.ส.ปุณฑรีก์  อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลศึกษาวิจัย เรื่อง ความสุขประเทศไทยประจำปี 2555 กับ จุดแข็ง โอกาส แรงบันดาลใจ และผลลัพธ์ของประเทศไทยที่คนไทยต้องการในปี 2556 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จาก 7.40 ในเดือน ต.ค. มาอยู่ที่ 7.53 ในเดือน พ.ย. และมาอยู่ที่ 7.61 ในเดือน ธ.ค. โดยดัชนีความสุขที่มีค่าสูงสุดยังคงอยู่ จากการได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คืออยู่ที่ 9.54 รองลงมาคือบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 7.80 สุขภาพใจอยู่ที่ 7.63 สุขภาพกายอยู่ที่ 7.40 หน้าที่การงาน การประกอบอาชีพที่ทำอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 7.22 วัฒนธรรมประเพณีไทยอยู่ที่ 7.17 และภาพลักษณ์ของประเทศไทย คนไทยในสายตาต่างชาติ   อยู่ที่ 7.13 ตามลำดับส่วนองค์กรและคณะบุคคลที่ประชาชนเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างความปรองดองของคนในชาติในปี 2556 ที่จะมาถึงนี้ พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 35.2 ได้แก่ นักการเมือง รองลงมาคือ ร้อยละ 27.5 ได้แก่ สื่อมวลชน อันดับสามหรือร้อยละ 13.2 ได้แก่ กลุ่มนายทุน และการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รองลงไปคือ กองทัพ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ องค์กรอิสระ เช่น สถาบันศาล กรรมการสิทธิฯ และอื่นๆ เช่น วุฒิสมาชิก เป็นต้นเมื่อถามถึง “โอกาส” ของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรก หรือร้อยละ 45.9 ระบุเป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก รองลงมาร้อยละ 26.7 ระบุมีการค้าการลงทุนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 11.4 ระบุเป็นประเทศที่เจริญเติบโตด้วยเทคโนโลยี ร้อยละ 10.9 ระบุคนในชาติมั่งมี ร่ำรวย เป็นสุขและคุณธรรมมั่นคงในจิตใจของประชาชน และสุดท้ายคือร้อยละ 5.1 ระบุเป็นศูนย์รวมหรือฮับด้านสุขภาพและความสวยความงามของผู้คน ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อถามถึงจุดแข็งของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 36.7 ระบุเป็นประชาธิปไตย รองลงมาคือ ร้อยละ 23.3 เป็นประเทศเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ รองๆ ลงไปคือ ทำเลดีเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน มีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นเมืองแห่งโอกาส ตามลำดับสำหรับแรงบันดาลใจของคนไทยที่จะทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 48.9 ระบุความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รองลงมาร้อยละ 16.8 ระบุความเสียสละ ความกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน และรองลงไปคือ การให้อภัย มีความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความขยันหมั่นเพียร มีวินัย จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่คนไทยต้องการในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 38.1 ระบุความสงบสุข ร่มเย็น ความเป็นเอกภาพปรองดองของคนในชาติ รองลงมาคือร้อยละ 24.3 ระบุ ร่ำรวย มีกิน มีใช้ และรองๆ ลงไปคือ คุณธรรมและหลักศาสนา ความมั่นคงในจิตใจของผู้คน สุขภาพใจร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และเป็นที่ยอมรับชื่นชอบของนานาประเทศทั่วโลก ตามลำดับ พร้อมย้ำว่า ผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศชาติสงบสุขร่มเย็นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักให้อภัย และเกิดความปรองดองของคนในชาติขึ้นอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้จบปริญญาหรือการศึกษาสูงมากนัก และมีรายได้น้อยแต่คิดได้ และคิดเป็น มีวุฒิภาวะทางปัญญา โดยเล็งเห็นว่า ประเทศชาติและประชาชนจะอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์ ถ้านักการเมืองทำบทบาทที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตยโดยการลดความขัดแย้ง ในหมู่ประชาชนไม่ใช่ตัวสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน.

No comments:

Post a Comment

Blog Archive