Monday, November 19, 2012

โพลชี้เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว เมินขอคนช่วยเพราะอาย

โพลชี้เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว เมินขอคนช่วยเพราะอาย
“มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล” เปิดโพล์สะท้อนความรุนแรงในครอบครัว พบ ปชช.เมินขอความช่วยเหลือ  เหตุ 42.1% มาจากความอาย 37% ไม่รู้จักช่องทางช่วยเหลือ น่าห่วง 67.7% สื่อออนไลน์-ละคร มีอิทธิพลส่อเกิดความรุนแรง...วันที่ 19 พ.ย. ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันยุติความรุนแรงปี 2555 ภายในงานมีการเสวนาหัวข้อ “บทเรียน 5 ปี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว” พร้อมทั้งเปิดตัว “คู่มือ รู้สิทธิ..รู้ใช้” และเดินแจกสื่อสติกเกอร์เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงรอบบริเวณงานนายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลกล่าวว่า ผลสำรวจ “สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,005 ราย โดยมูลนิธิฯ ลงพื้นที่ระหว่าง 20 ต.ค.-10 พ.ย.ใน 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อำนาจเจริญ สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี ชุมพร และกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง ค้าขาย และพนักงานบริษัทความเข้าใจต่อปัญหาความรุนแรงในครอบครัว กลุ่มตัวอย่าง 70.7% ระบุว่า ความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ขณะเดียวกัน 19% ยังมองว่าการทะเลาะ การทุบตีในครอบครัวเป็นเรื่องปกติธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น เกือบครึ่ง หรือ 42.8% ไม่เคยเข้ามามีส่วนร่วมช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเลย และสถานที่ที่พบเห็นความรุนแรงในครอบครัวมากที่สุด 51.1% เพื่อนบ้าน/ชุมชน รองลงมา 35% พื้นที่จากสื่อโทรทัศน์/หนังสือพิมพ์ และ 11% พบเห็นในครอบครัวตนเอง  ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรง 67.7% มองว่าสื่อละคร สื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อการเลียนแบบพฤติกรรมความรุนแรง และที่สำคัญ 78.1% คิดว่ามาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ สอดคล้องกับงานวิจัยของ รพ.รามาธิบดีที่พบว่า ในครอบครัวที่มีคนดื่มสุราจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า “เมื่อถามถึงการรับรู้รับทราบ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงฯ พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 80.8 % รู้ว่า มีกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรง แต่ไม่รู้รายละเอียด และ 77.8% ทราบว่า มีหน่วยงานหรือมูลนิธิต่างๆ คอยให้คำแนะนำ แต่ปัจจัยที่ตอกย้ำ ทำให้ผู้ถูกกระทำไม่กล้าขอความช่วยเหลือเนื่องจาก 42.1% อาย 37% ไม่รู้ช่องทางขั้นตอนการรับคำปรึกษา 16.4% ไม่เชื่อว่าภาครัฐจะช่วยเหลือได้จริง และ 4.5% กลัวมีปัญหากระทบต่อหน้าที่การงาน กลัวถูกตำหนิ ไม่อยากให้คนอื่นรู้” นายจะเด็จ  กล่าวนายจะเด็จ กล่าวอีกว่า กลุ่มตัวอย่างมากถึง 85.6% ต้องการให้ผู้ถูกกระทำออกมาปกป้องสิทธิของตนเอง และ 89.2% ระบุว่ากฎหมายต้องบังคับใช้จริงจัง 78.8% ชุมชนควรมีส่วนร่วมแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และ 81% สื่อละครสื่อออนไลน์ไม่ควรยั่วยุหรือส่งเสริมพฤติกรรมเลียนแบบการใช้ความรุนแรงอย่างไรก็ตาม จากข้อมูลสะท้อนว่า แม้ประชาชนจะรู้ว่ามีกฎหมาย แต่ไม่ต้องการขอรับความช่วยเหลือ เพราะไม่มั่นใจในระบบบริการ เช่น อายจึงต้องยอมจำนน หรือตำรวจบางคนมองเป็นเรื่องส่วนตัวไม่รับแจ้งความทั้งนี้ หน่วยงานหลักอย่างกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันครอบครัวและสำนักงานกิจการสตรี ควรทำงานร่วมกัน ประชุมร่วมกันเพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำขณะ เดียวกันต้องสื่อสารให้ผู้ถูกกระทำทราบและเข้าใจเจตนาของกฎหมายฉบับนี้ให้ มากขึ้น เพื่อให้ผู้ที่ถูกกระทำออกมาใช้สิทธิ และในปีนี้เราจึงใช้แนวคิด “รู้สิทธิ รู้ใช้” ในการรณรงค์ รู้สิทธิคือรู้สิทธิของตัวเองตามกฎหมาย รู้ใช้คือรู้ว่ามีช่องทางช่วยเหลือ และพร้อมที่จะใช้กฎหมาย เพื่อหยุดความรุนแรง  ปกป้องตัวเองและแก้ปัญหาอย่างมีสตินางสาวอรุณี ศรีโต นายกสมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทย มีพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 แต่ปัญหาดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ภาครัฐส่วนหนึ่งยังไม่เข้าใจตัวบทกฎหมายของ พ.ร.บ.และมองว่าความรุนแรงเป็นคดีทั่วไปที่สามารถยอมความกันได้ และเป็นเรื่องในครอบครัว หากเจ้าหน้าที่รัฐทำให้ พ.ร.บ.ดังกล่าวมีความศักดิ์สิทธิ์ ตนเชื่อว่าจะสามารถลดผู้ที่จะกระทำความรุนแรงได้ และอยากให้หน่วยงานองค์กรท้องถิ่น เช่น อบต. เทศบาล มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในชุมชนด้วยอยากให้ผู้ที่ถูกกระทำ ความรุนแรงกล้าที่จะออกมาร้องขอให้กฎหมายคุ้มครองตนเอง เลิกที่จะอาย และต้องติดตามคดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐหันมาใส่ใจกับคดี ความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น นางอรุณีกล่าวด้าน นางเอ (นามสมมติ) ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงมานานกว่า 18 ปี และตัดสินใจใช้กฎหมายเป็นตัวช่วย กล่าวว่า หลายปีมาแล้วตนถูกกระทำความรุนแรงจากผู้ชายหมู่บ้านเดียวกัน ถูกทั้งทุบตี และเคยถูกกักขัง พอหนีออกมาได้ก็สับสนอยู่นานไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จากนั้นจึงเข้ารับคำปรึกษากับมูลนิธิ ซึ่งทางมูลนิธิฯได้ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ทั้งด้านจิตใจและกฎหมาย ทำให้ตนมีกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเองอีกครั้ง และสุดท้ายกฎหมายก็ช่วยให้เป็นอิสระคุ้มครองความปลอดภัยให้กับตนได้จริงๆยัง มีผู้หญิงที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงอีกจำนวนมากที่ต้องทุกข์ทรมาน เพราะความกลัวและไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมาทวงสิทธิ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนลุกขึ้นสู้ และอย่ากลัวที่จะนำกฎหมายไปเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือตัวเอง ขอให้ทุกคนรู้จักที่จะรักตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง รู้สิทธิตามกฎหมายและรู้จักใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์เพราะถ้าเราไม่ลุกขึ้น สู้จะไม่มีใครช่วยเราได้ นางเอ กล่าว.

No comments:

Post a Comment

Blog Archive